สุภาษิตคำพังเพยราชรถมาเกย ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ร. ราชรถมาเกย

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยราชรถมาเกย

ที่มาของสำนวน สำนวนนี้เป็นสำนวนที่มาจากประเพณีการปฏิบัติในสมัยโบราณ เมื่อพระมหากษัตริย์สิ้นพระชนม์โดยที่ยังไม่มีผู้สืบราชสมบัติ ไม่มีพระราชโอรสหรือพระยุพราช ตามธรรมเนียมขุนนางข้าราชการทั้งหลายจะพร้อมใจกันเสี่ยงราชรถ คือจัดรถพระที่นั่งผูกม้าแล้วปล่อยไปเพื่อเสี่ยงทาย ม้านำรถไปหยุดอยู่ตรงผู้ใด ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีบุญซึ่งเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองเลือกให้มาเป็นพระมหากษัตริย์ ขุนนางข้าราชการทั้งหลายก็จะเชิญผู้นั้นให้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ได้รับโชค ลาภ หรือยศ ตําแหน่ง มาถึงโดยไม่รู้ตัวหรือคาดฝันมาก่อน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยราชรถมาเกย

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตราชรถมาเกย

  • ราชรถมาเกยแท้ๆ สมชายซื้อหวยมาทั้งชีวิตเกือบ 30 ปี และงวดนี้เป็นงวดสุดท้ายที่เขาจะเลิกอย่างถาวร กลับถูกรางวัลใหญ่ก่อนเลิกเล่น เลยสบายไปทั้งชาติ
  • อยู่ๆ เด็กวัดอย่างเขาก็มีราชรถมาเกย เมื่อเศรษฐีใหญ่ออกตามหาลูกชาย แล้วพบว่าเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลที่พลัดพลากจากกันมา 20 ปีก็เลยรับไปอยู่ด้วย
  • ฉันโชคดีจริงๆ ได้สามีที่เป็นผู้ชายที่เสียสละดูแลปกป้องทุกอย่าง เหมือนราชรถมาเกย ฉันจะต้องดูแลเขาให้ดีที่สุดอย่างที่เขาดีแลฉันเช่นกัน
  • อยู่ดีๆ ท่านอธิบดีก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต รองอธิบดีก็มีเรื่องพัวพันกับการทุจริต เขาจึงได้เลื่อนเป็นอธิบดีแทน ราชรถมาเกยโดยไม่ทันรู้ตัวเลย
  • การเป็นคนดีสักวันหนึ่งย่อมส่งผลดีต่อเรา ให้สร้างแต่ความดี ขยันทำมาหากิน สักวันราชรถจะมาเกยถึงที่อย่างแน่นอน

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยยักษ์ปักหลั่น ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ย. ยักษ์ปักหลั่น

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยยักษ์ปักหลั่น

ที่มาของสำนวน เป็นชื่อยักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีเรื่องราวว่า พระรามทรงใช้ให้หนุมาน ชมพูพาน และองคต นำผ้าสไบและพระธำมรงค์ไปถวายนางสีดาที่ถูกทศกัณฐ์ลักพาตัวไปไว้ที่กรุงลงกา. เมื่อทั้งสามยกกองทัพมาหยุดพักที่ริมสระโบกขรณี ได้พบกับยักษ์ปักหลั่นก็ต่อสู้กัน เมื่อยักษ์ปักหลั่นรู้ว่าเป็นทหารของพระรามจึงเล่าเรื่องราวของตนว่า เดิมตนเป็นเทวดาคอยรับใช้พระอินทร์อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ได้ลอบเป็นชู้กับนางฟ้าชื่อมาลี จึงถูกพระอินทร์สาปให้เป็นยักษ์มาเฝ้าสระโบกขรณีอยู่ที่ป่าหิมพานต์ และจะพ้นคำสาปได้ก็ต่อเมื่อถูกทหารของพระรามฆ่าตาย จึงอ้อนวอนให้หนุมานฆ่า หนุมานสงสารจึงขอให้องคตซึ่งเป็นหลานของพระอินทร์เป็นผู้สังหารยักษ์ปักหลั่นแทน

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ใช้เป็นคำเปรียบผู้มีรูปร่างใหญ่โตราวกับยักษ์ปักหลั่น กล่าวคือ ผู้มีรูปร่างใหญ่โต กำยำ สูงใหญ่

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยยักษ์ปักหลั่น

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตยักษ์ปักหลั่น

  • นักบาสหนุ่ม วัย 21 ปีจากแบดเจอร์ เปิดฉากอย่างรวดเร็วด้วยการวิ่ง จากนั้นใช้ร่างยักษ์ปักหลั่นโถมเข้าใส่ก่อนที่กระโดดชู้ตบาสด้วยความสูงตามไป
  • การแข่งขันบาสเกตบอลในครั้งนี้พวกเราคงต้องฝึกซ้อมกันอย่างหนัก เพราะได้ข่าวมาว่าทีมคู่แข่งรอบนี้แต่ละคนตัวสูงใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่น
  • นี่แพมดู รปภ.คนนั้นสิ รูปร่างยังกะยักษ์ปักหลั่น สูงขาว แถมหล่ออีกด้วย สเปคฉันเลย
  • ครอบครัวของเขาเป็นทหาร ผู้ชายทุกคนจึงถูกฝึกให้มีความอดทน ออกกำลังกายอย่างหนักจนร่างกายใหญ่โตเหมือนยักษ์ปักหลั่น
  • สมชายและสมหมายเป็นพี่น้องกัน แต่ความสูงห่างกันละเรื่อง สมชายตัวเล็กนิดเดียว ส่วนสมหมายสูงอย่างกับยักษ์ปักหลั่น

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยราบเป็นหน้ากลอง ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ร. ราบเป็นหน้ากลอง

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยราบเป็นหน้ากลอง

ที่มาของสำนวน มาจากธรรมชาติของหนังกลอง ปกติธรรมดาหน้ากลองจะขึงด้วยหนังสัตว์ เช่น หนังวัว หรือ หนัง ควาย ที่ฟอกแล้ว และขูดเอาขนออกจนหมดสิ้น แล้วนำมาขึงให้ตึงมันจึงราบเรียบเสมอกันไม่มีลุ่มๆ ดอนๆ และไม่มีขนสัตว์ติดอยู่เลย ชนิดที่เรียกว่าเมื่อเอามือไปลูบแล้วจะไม่มีการสะดุด ดังนั้นหน้ากลอง จึงมีความราบเรียบมากๆ จึงนำมาอุปมาอุปไมยเปรียบ หมายถึง ความราบเรียบ

สรุปความหมายของสำนวนนี้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ราบเรียบ หมดสิ้น หมดเสี้ยนหนาม เป็นการกระทำที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด การกำจัดได้อย่างหมดสิ้นไม่เหลือ หรือการทำให้สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่สูญสิ้นไปทันทีไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยราบเป็นหน้ากลอง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตราบเป็นหน้ากลอง

  • พายุทอร์นาโดหลายสิบลูกถล่มสหรัฐฯ เสียหายหายรัฐ เมืองหลายเมืองราบเป็นหน้ากลอง
  • กลุ่มหัวรุนแรงซุ่มผลิตอาวุธสงครามกำลังทำร้ายล้างมหาศาล เพื่อจะถล่มประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาให้ราบเป็นหน้ากลอง
  • อุทกภัยที่เกิดขึ้นในภาคใต้ครั้งนี้นับว่ารุนแรงมาก พายุพัดถล่มบ้านเรือนพินาศเสียหายราบเป็นหน้ากลอง ไม่มีเหลือแม้แต่หลังเดียว
  • พื้นที่ตรงนี้ครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครังใหญ่ขึ้นจนทำให้สิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือนในบริเวณนั้นเตียนราบเป็นหน้ากลอง
  • สงครามยูเครน-รัสเซีย ทำยูเครนเสียหายหนัก หมู่บ้านราบเป็นหน้ากลอง ไม่ต่างจากสงครามโลกครั้งที่ 2

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยไก่ได้พลอย ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. ไก่ได้พลอย

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสุภาษิตไก่ได้พลอย

ที่มาของสำนวน ตามธรรมชาติของไก่มักหาอาหารกินโดยใช้ตีนคุ้ยเขี่ยไปบนพื้นดิน ชอบกินเมล็ดพืช เช่น ข้าวเปลือก หรือกินแมลงตัวเล็กๆ เช่น ปลวก มด หรือหนอนบางชนิด ดังนั้นถ้าไก่คุ้ยเขี่ยดินไปพบพลอย หรือมีใครหยิบยื่นพลอยที่เป็นอัญมณีที่สวยงามให้ ไก่ก็จะไม่สนใจ เพราะไม่ใช่อาหาร กินไม่ได้ แต่ถ้าเอาข้าวเปลือกแม้เพียงเมล็ดเดียวมาแลกกับพลอย ไก่ต้องเลือกข้าวเปลือกอย่างแน่นอน สำนวนนี้มักเปรียบกับคนที่ไม่รู้ค่าของสิ่งของที่มีอยู่หรือได้มา

สำนวนนี้ยังมีปรากฏอยู่ในนิทานอีสปคือ ไก่กับไข่มุก

สรุปความหมายของสำนวนนี้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ได้สิ่งที่มีค่าแต่ไม่รู้คุณค่า หรือตนเองไม่ได้รู้จักคุณค่าของสิ่งๆ นั้นแม้แต่นิดเดียว แม้มันจะมีค่ามีประโยชน์แค่ไหนก็ตาม กล่าวคือ สิ่งของล้ำค่าอาจไม่มีประโยชน์เลย หากตกไปอยู่กับคนที่ไม่รู้คุณค่า

สำนวนที่คล้ายกัน ยื่นแก้วให้วานร (วานรได้แก้ว), หัวล้านได้หวี, ตาบอดได้แว่น

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยไก่ได้พลอย

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตไก่ได้พลอย

  • เงินจะอยู่กับคนที่รู้คุณค่าของมันเท่านั้น คนที่ไม่รู้ค่าใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ต่อให้เยอะแค่ไหน สักวันเงินก็หมดไปอยู่ดี ไก่ได้พลอยฉันใด คนก็ฉันนั้น
  • ฉันละเสียดายความสามารถในการทำอาหารของสะใภ้บ้านนั้นจริงๆ ทั้งๆที่เธอทำอาหารอร่อยมาก แต่ที่บ้านกลับให้เธอทำแต่งานบ้านจำพวกซักผ้า ถูบ้าน เก็บกวาด ไม่ยอมให้เธอทำอาหารให้กิน อย่างที่โบราณว่าไว้ “ไก้ได้พลอย” จริงๆเลยนะนั่น
  • “ไก่ได้พลอย” สำนวนนี้มักใช้พูดจาเปรียบเทียบคนได้ของดี มีของดีอยู่ใกล้ตัว แต่กลับไม่รู้จักใช้ให้ป็นประโยชน์ ไม่รู้คุณค่าในของสิ่งนั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นธรรมดาปกติของคนเรา มักจะไม่เป็นค่าของดีที่อยู่ใกล้ตัว จะเห็นค่าก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นไม่อยู่แล้ว
  • สมทรงเคยมีแฟนเป็นลูกสาวคนรวย เธอเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ดูแลเขาอย่างดี แต่เขาก็ไม่ค่อยจะใส่ใจ ดูแลเธอมากนัก เหมือนไก่ได้พลอย ได้ของดีอยู่กับตัว แต่ไม่รู้คุณค่า กว่าจะรู้ก็สายไป เมื่อเธอได้จากไปแล้ว
  • ผมสูญเสียทุกอย่างเพราะโหยหาแต่สิ่งที่ไม่มี ต้องสละครอบครัวที่ดี มีโอกาสที่ดี มีแฟน มีหน้าที่การงานที่ดี แต่กลับทิ้ง โอกาสหรือไม่ใช้โอกาสนั้นๆ ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ดันไปโหยหาแต่สิ่งไม่ดีอย่างการพนัน ผมพลาดจริงๆ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยพลอยฟ้าพลอยฝน ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ พ. พลอยฟ้าพลอยฝน

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยพลอยฟ้าพลอยฝน

ที่มาของสำนวน พลอย เป็นคำกริยา หมายความว่า ตั้งใจเข้าไปร่วมด้วย ประสมไปด้วย คำว่า พลอย ในความหมายหลังนี้อาจใช้ในสำนวนว่า พลอยฟ้าพลอยฝน คำว่าฟ้าและฝน ในสำนวนนี้ หมายถึง ฝนที่ตกลงมาจากฟ้า ใช้ว่าฝนฟ้าหรือฟ้าฝน สรุปแล้วในความหมายว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ก็ต้องร่วมรับเคราะห์ไปกับเขาด้วย เปรียบเหมือนพลอยเปียกฝนไปด้วยเมื่อฝนตกลงมาถูกคนอื่นนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ก็ร่วมรับเคราะห์ไปกับเขาด้วย กล่าวคือ การร่วมรับเคราะห์ หรือสิ่งไม่ดีไปกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยพลอยฟ้าพลอยฝน

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตพลอยฟ้าพลอยฝน

  • เพราะเขาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่มีข่าวเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น จึงพลอยฟ้าพลอยฝนโดนปลดจากตำแหน่งไปด้วย
  • เขาเดินผ่านมาเห็นขบวนแห่ขันหมากก็นึกสนุก พลอยฟ้าพลอยฝนเดินเข้าขบวนไปกับเขาด้วย
  • คุณครูเรียกนักเรียนไปอมรมและทำโทษเนื่องจากมีเหตการณ์ทุจริตในการสอบ แต่ฉันต้องพลอยฟ้าพลอยฝนโดนทำโทษไปด้วยเพราะอยู่กลุ่มเดียวกัน
  • คุณพ่อเรียกน้องไปดุ ฉันก็พลอยฟ้าพลอยฝนโดนดุไปด้วย
  • อยากหารายได้ดีๆ หนีจากตลาดหุ้น มาตลาดคริปโต ก็ยังพลอยฟ้าพลอยฝนขาดทุนเหมือนเดิมอยู่ดี ซวยจริงๆ เรา

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยพลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ พ. พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยพลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้

ที่มาของสำนวน กฎหมายตราสามดวงใช้ทั้งสีน และสิน สำนวนที่ว่านี้มีอยู่ในกฎหมายลักษณะผัวเมียสมัยพระเจ้าอู่ทอง

ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดให้ไปสู่ขอลูกสาวหลานสาวท่าน บิดามารดา ญาติแห่งหญิงตกปากให้ได้กินขันหมากท่านแล้ว ชายหาผิดมิได้ บิดามารดาญาติแห่งหญิงคิดกินแหนงแคลงใจแกล้งจะมิให้หญิงนั้นแก่ชาย แปรปากหลากคำหาที่กลัวมิได้ ครั้นชายผู้อื่นมาสู่ขออีก บิดามารดา หญิงนั้นก็รับ กลับกินขันหมากชายนั้นเล่า ถ้าชายทั้งสองเป็นความกัน ท่านว่าให้ลูกสาวนั้นแก่ชายผู้มาสู่ขอก่อน แล้วให้เอาขันหมากชายภายหลังนั้นตั้งไหม บิดามารดาหญิงทวีคูน ยกทุนให้เจ้าของ เหลือนั้นเป็นสีนไหม กึ่งพินัยกึ่ง แล้วให้ใช้ค่าฤชาทำเนียมให้แก่ชายภายหลังด้วย เพราะมันทะนงศักดิ์สามหาวล่วงความเมืองท่าน ถ้าบิดามารดาหญิงตกปากให้ บุตรีเป็นภรรยาชาย บิดามารดาหญิงรับสีนสอดขันหมากแห่งชายไว้แล้ว แลกลับถ้อยคำมิให้เล่าไซ้ ให้คิดเอาค่าตัวหญิงนั้นตามกระเสียรอายุแล้ว ให้คืนสีนสอดนั้นจงถ้วน เหตุพลั้งปากเสียสีน พลาดตีนตกต้นไม้”

กล่าวคือเมื่อตกปากรับคำการสู่ขอแล้ว จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง และ เกิดการฟ้องร้องกันขึ้นมา บิดามารดาฝ่ายหญิงจะต้องเสียค่าสีนไหมทันที … ครับผม ต่อๆ มาคำว่าสีน หรือสิน ที่มีความหมายว่าเงิน, ทรัพย์ ก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นศีล ที่มีความหมายว่า ข้อบัญญัติทางพระพุทธศาสนาที่กำหนดการปฏิบัติกาย และ วาจา เช่น ศีลห้า, ศีลแปด, การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ พูดหรือ ทำอะไรโดยไม่ระมัดระวังย่อมเกิดความเสียหาย

กล่าวคือ การพลั้งปากพูดคำ รับคำไปโดยไม่ทันได้คิด และต่อมาก็ทำอย่างที่พูดไม่ได้ก็จะกลายเป็นคนที่เสียคำสัตย์ไป และอาจจะทำให้การงานต่างๆ ได้รับความเสียหาย ต่อไปจะไม่มีคนเชื่อถืออีก

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยพลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตพลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้

  • ทำอะไรให้คิดก่อนเสมอ พูดไปแล้วเอากลับคืนไม่ได้ เพราะถ้าพลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้อย่างแน่นอน เสียแล้ว เสียเลย
  • นักธุรกิจใหม่คนนี้เข้าตำราพลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้จริงๆ เพิ่งเข้าวงการอสังหาฯ มาไม่ทันไรก็ไปตวาด มีเรื่องมีราวกับนักธุรกิจคนอื่นเสียแล้ว สงสัยจะได้ไม่นาน
  • ดาราดังๆ มักจะมีผู้จัดการไว้คอยรับงาน ไม่ใช่รับงานด้วยตนเองจนมั่วไปหมด มันจะกลายไปเป็น พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้
  • ไม่น่าไปตัดสินใจอะไรเร็วเกินไปเลย ทำให้เลือกบ้านได้แย่กว่าที่จะเป็น เฮ้อ! พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้แท้ๆ แทนที่จะอดใจรอไปก่อน ดันรีบโอนเงินจอง
  • พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้! นี่แหละผลทำอะไรไม่คิด ไปลงทุนในหุ้นไม่ศึกษาก่อน สุดท้ายขาดทุนยับเกือบหมดตัว

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยพร้าขัดหลังเล่มเดียว ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ พ. พร้าขัดหลังเล่มเดียว

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยพร้าขัดหลังเล่มเดียว

ที่มาของสำนวน พร้าขัดหลัง คือเอาพร้าเหน็บหลังมา จึงเปรียบกับถ้าเป็นคนดีมีมานะ มีความขยันทำมาหากินแล้ว แม้ไม่มีเงินทองติดตัว มีเพียงมีดพร้าติดตัวเล่มเดียว ก็สามารถหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องและสามารถสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างหลักปักฐานได้

สำนวนนี้มีปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนนางทองประศรีไปสู่ขอนางพิมให้พลายแก้ว ตอนนั้นพลายแก้วไมได้มีฐานะร่ำรวยอะไร นางศรีประจันแม่นางพิมได้ตอบคำสู่ขอว่า

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ คนดีถ้าขยัน มีความมุมานะ ก็สามารถตั้งตัวได้

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยพร้าขัดหลังเล่มเดียว

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตพร้าขัดหลังเล่มเดียว

  • ขยันต่อไปนะเหมือนกับพร้าขัดหลังเล่มเดียว ไม่นานนายก็ตั้งตัวได้ ขอให้สู้ ขอให้อดทน
  • ใครเขาจะให้นายกู้เงินแม้แต่พร้าขัดเล่มเดียวยังไม่มี ดีแต่พูดแล้วจะเอาอะไรเป็นประกัน จะเชื่อใจได้อย่างไรว่านายจะไม่โกง
  • ผมเป็นเด็กบ้านนอก มาทำงานเมืองกรุงด้วยพร้าขัดหลังเล่มเดียว สู้ชีวิตจนตั้งตัวได้ ผมภูมิใจกับชีวิตตัวเองจริงๆ ที่สู้มาได้ถึงขนาดนี้
  • พ่อไม่ขออะไรมากแค่ขอให้คนที่จะมาเป็นลูกเขยเป็นคนดี ไม่ต้องร่ำรวยอะไรต่อให้มีพร้าขัดหลังเล่มเดียว พ่อก็ยกลูกสาวให้แล้ว
  • ถึงเราจะจน แต่เรามีสมอง มีเวลา มีความมุมานะ แม้พร้าขัดหลังเล่มเดียว ก็สามารถสร้างได้ด้วยสมองและมือของเรา เกิดเป็นคนแล้ว อย่าได้ท้อกับชีวิตเด็ดขาด

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยพกหินดีกว่าพกนุ่น ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ พ. พกหินดีกว่าพกนุ่น

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยพกหินดีกว่าพกนุ่น

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงหินเป็นของหนัก ยากที่ลมจะพัดให้โยกหรือลอยขึ้นลงได้ ส่วนนุ่นเป็นของเบายามถูกลมกระพือพัด ก็ย่อมลอยไปตามลมอย่างง่ายดาย แม้ตกลงพื้นล่างแล้ว ครั้นลมแรงก็กลับลอยขึ้นสู่เบื้องบนได้อีก จะหยุดนิ่งไม่ต้องหมุนขึ้นลงตามกระแสลมอย่างหินไม่ได้

แง่คิดทางธรรมจะเห็นได้ว่า คนใจหนักแน่นมีลักษณะคล้ายพกหิน หรือเป็นเหมือนหิน คือ ควบคุมใจของตนให้เป็นปกติคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา ในเมื่อต้องประสบอารมณ์อันชอบหรือชัง ก็สะกดใจเอาไว้ได้ ไม่เคลิบเคลิ้มหลงใหลหรือแสดงความวุ่นวายออกมาให้ปรากฏ เรียกว่าไม่แสดงอาการขึ้นๆ ลงๆ ส่อให้เห็นคุณลักษณะแห่งความเป็นบัณฑิตอย่างชัดเจน ทั้งเป็นคนมีเหตุผลไม่คล้อยตามลมปากของคนอื่นง่ายๆ

ส่วนคนใจไม่หนักแน่น มีลักษณะคล้ายนุ่น หรือพกนุ่น จะแสดงธาตุแท้ของตนให้คนอื่นเห็นง่ายๆ โดยเมื่อประสบกับอารมณ์ที่ชอบหรือชัง ก็แสดงอาการลิงโลดและซบเซาจนเห็นอย่างถนัด ไม่มีสติควบคุมตนเอง ตลอดจนเคลิ้มตามลมปากผู้อื่นอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นลักษณะของพาลชนคือ คนเขลาอย่างแท้จริง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ควรมีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น ดีกว่าเป็นคนจิตใจโลเลหูเบาเคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดของผู้อื่นง่ายๆ

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยพกหินดีกว่าพกนุ่น

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตพกหินดีกว่าพกนุ่น

  • เพราะนายเป็นคนใจคอหนักแน่นแหละเราถึงได้คบหากันมาถึงทุกวันนี้ เหมือนโบราณว่าพกหินดีกว่าพกนุ่น
  • คุณมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้างานมีลูกน้องในปกครองเป็นสิบคน คุณควรจะคิดพิจารณาไตร่ตรองเหตุผลให้ดีก่อนที่จะลงโทษใคร พกหินดีกว่าพกนุ่นอย่าหูเบาเชื่อคนง่ายนักเลย
  • คุณควรจะเชื่อใจเมียตัวเองให้มากกว่าคำพูดของคนอื่นนะ เหมือนที่เขาว่าพกหินดีกว่าพกนุ่น
  • เธอเป็นพี่น้องกันต้องรู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี พกหินดีกว่าพกนุ่นอย่าใจเบาหลงเชื่อคำพูดของคนภายนอก
  • การทำธุรกิจจงทำจิตให้ให้เข็มแข็งหนักแน่น ดีกว่าหูเบาเชื่อคำคนอื่นโดยไม่ตรึกตรองก่อน จงมีความเชื่อในศรัทธา และจุดยืนของตนเอง และกล้าลงมืออย่างกล้าหาญ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยพระมาลัยมาโปรด ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ พ. พระมาลัยมาโปรด

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยพระมาลัยมาโปรด

ที่มาของสำนวน พระมาลัย (พระอัครสาวกของพระพุทธเจ้า ที่มีอิทธิฤทธิ์ดับไฟนรกที่กำลังลุกโชนโชติช่วง เผาไหม้บรรดาสัตว์นรกอยู่นั้นให้ดับได้) ได้มาแสดงความเมตตากรุณาโดยปลดเปลื้องความเดือดร้อนให้แก่มวลมนุษย์

โดยพระมาลัยเป็นเรื่องที่พระภิกษุชาวสิงหลแต่งขึ้น เมื่อประมาณ พ.ศ. 9๐๐ เศษ ดังนี้ พระอรหันต์องค์หนึ่งซึ่งมากด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา กมลจิตสงบจากกิเลส ที่มีนามว่า พระมาลัยเทวเถระ ท่านยังชอบเข้าฌานสมาบัติไปเมืองนรกบ่อยๆ และทุกครั้งที่ท่านไปท่านจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ดับไฟนรกที่กำลังลุกโชนโชติช่วง เผาไหม้บรรดาสัตว์นรกอยู่นั้นให้ดับ พร้อมกับบันดาลให้ฝนเทลงมาตกต้องร่างที่ร้อนของสัตว์นรกนั้น ขณะเดียวกันก็บันดาลลมให้กระพือพัดต้นงิ้ว และภูเขาไฟ รวมทั้งอีกาปากเหล็กทั้งหลายให้กระจัดพลัดพรายไปจนหมด แล้วบันดาลให้น้ำที่กำลังเดือดพล่านในกระทะทองแดงกลายเป็นน้ำเย็น และมีรสหวานปานน้ำผึ้ง ให้พวกสัตว์นรกเหล่านั้นได้ดื่มกินกันอย่างสำราญ จากนั้นก็ได้แสดงธรรมโปรดเป็นที่ซาบซึ้งใจทั่วกัน พวกสัตว์นรกทั้งหลายเมื่อได้ฟังธรรมจบแล้ว ต่างพากันยกมือไหว้แล้วพูดว่า พระคุณเจ้าขอรับ ได้โปรดเวทนาพวกข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปถึงโลกมนุษย์แล้ว ขอจงได้ไปบอกญาติของข้าพเจ้าให้ทำบุญอุทิศส่วนบุญมาให้ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจะได้พ้นกรรมเร็วๆ เจ้าข้า

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ผู้ที่มาช่วยเหลือในยามที่กําลังตกทุกข์ได้ยากได้ทันท่วงที กล่าวคือ บุคคลที่มาให้ช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ในช่วงเวลาที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยพระมาลัยมาโปรด

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตพระมาลัยมาโปรด

  • ในวันที่พายุเข้าฝนตกหนักจนทำให้รถเสียกลางทาง เขาก็บังเอิญผ่านมาเจอพอดีเหมือนพระมาลัยมาโปรดจริงๆ
  • ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังตัดสินใจว่าจะจ่ายค่าเช่าห้องก่อน หรือนำไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟก่อนดี คุณพ่อก็ได้โทรศัพท์มาว่า ได้โอนเงินค่าใช้จ่ายมาให้แล้ว โอ! พระมาลัยมาโปรดแท้ๆ
  • ฉันก็ถูกโจรขโมยกระเป๋าในวันแรกก้าวเข้าสู่ประเทศอเมริกา แต่ก็เหมือนพระมาลัยมาโปรดฉันได้เจอกับเพื่อนสมัยเด็กๆ เธอได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือและให้ที่พักพิง ทำให้ฉันผ่านคืนวันร้ายๆมาได้
  • เมื่อเดือนก่อน ป้าสมศรีป่วยหนัก ต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ป้าสมศรีไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา ยายสมพรซึ่งเป็นเพื่อนบ้านเมื่อทราบข่าวเลยช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้ ป้าสมศรีซึ้งใจ เปรียบป้าสมพรเป็นดั่งพระมาลัยมาโปรดเลยที่เดียว
  • เรากำลังจะโดนธนาคารยึดบ้าน เพราะค้างค่างวดมานาน จู่ๆ ก็ได้รับเงินมรดกจากคุณปู่ ซึ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะปลดหนี้ทั้งหมดได้ ปู่คือพระมาลัยมาโปรดโดยแท้

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยพระยาเทครัว ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ พ. พระยาเทครัว

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยพระยาเทครัว

ที่มาของสำนวน ท้าวความกลับไปในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่หนึ่ง หรือพระเจ้าอู่ทอง ครั้งนั้นโปรดให้พระราเมศวร ราชโอรส ซึ่งครองเมืองลพบุรี นำทัพไปตีเมืองกัมพูชา ปรากฏว่าทัพจำนวนห้าพันนาย ของพระราเมศวรเพลี่ยงพล้ำแตกยับเยินกลับมา พระเจ้าอู่ทองจึงให้ขุนตำรวจไปทูลเชิญสมเด็จพระบรมราชาธิราช เจ้าเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพระพี่เขย ให้นำทัพไปช่วยพระราชนัดดา ผลปรากฏว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชหรือขุนหลวงพะงั่วโชว์ฝีมือได้จะแจ้ง สามารถตีเมืองนครหลวงหรือนครธมแตก แล้วโปรดให้ “เทครัวชาวกัมพูชาเข้ามาไว้ในพระนครศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก”

นั่นเป็นหลักฐานชั้นต้นที่บ่งว่า มีการใช้คำว่า “เทครัว” ในความหมาย “ย้ายถิ่นฐานบ้านช่องห้องหอของพลเมืองหนึ่งๆ ไปโดยไม่เหลือหลอ” แล้วต่อมาก็กลายพันธุ์เป็นการเล่นชู้สู่สาวได้ทั้งแม่ทั้งลูกหรือทั้งพี่ทั้งน้องในเวลาเดียวกันด้วย

ว่ากันว่า จอมพลผ้าขาวม้าแดงคนดังก็เป็นนักเทครัวตัวยงกับขุนแผนด้วย เพราะภายหลังอสัญกรรมไปแล้ว มีการสืบประวัติว่า ท่านจอมพลนั้นเคยได้แม่ลูกคู่หนึ่งมาเป็นอนุ (คำว่า อนุ แปลว่า น้อย ใช้ในความหมายว่าเป็นเมียน้อย ศัพท์เต็มๆ นั้นคือ อนุภรรยา แต่ตัดให้สั้นเพื่อให้เข้ากับลิ้นของคนไทยเลยกลายเป็นเพียง อนุ- แต่ก็ยังคงแปลว่า เมียน้อย ในความหมายเท่าเดิม)

เป็นสำนวนส่อฟ้องอุปนิสัยใจคอของผู้ชายพายเรือ กินรวบหัวรวบหาง เอาทั้งพี่ทั้งน้อง โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมไทยก็เห็นจะเป็นพ่อมหาเสน่ห์ “ขุนแผน” แสนสะท้านนั่นเอง

ป้จจุบันยังมีวิธีการเทครัวอีกหลายทาง เช่น การยุบพรรคการเมือง การเซ้งพรรคการเมือง การย้ายพรรค การรวมพรรค เป็นต้น นับเป็นการเทครัวอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ทำการเทครัวเขามาไว้ในครัวเรานั้น ท่านเรียกชื่อว่า “พระยาเทครัว”

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ชายที่ได้หญิงเป็นภรรยาทั้งแม่ทั้งลูกหรือทั้งพี่ทั้งน้อง กล่าวคือ ผู้ชายที่ได้ญาติพี่น้องของภรรยามาเป็นภรรยาในคราวเดียวกัน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยพระยาเทครัว

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตพระยาเทครัว

  • สมชายมีเมียหลวง คือลูกสาวคนโต ต่อมาก็เลิกกับเมียหลวง แล้วไปได้เมียเป็นน้องสาวของเมียหลวงอีกที นี่แหละพ่อหนุ่มพระยาเทครัว
  • หล่อนเสียใจ อึดอัดและเป็นทุกข์มากที่สามีทำตัวเหมือนพระยาเทครัว ทั้งๆที่เพิ่งแต่งงานอยู่กินกันมาเพียงแค่ 2 เดือน
  • พระยาเทครัว หนุ่มเจ้าสำราญเจ้าชู้ตัวพ่อ แห่งละครเรื่อง เพลงรักรอยแค้น
  • ภรรยาสาวทนไม่ได้ที่สามีทำตัวเป็นพระยาเทครัว ไปยุ่งกับน้องสาวแท้ๆของตัวเอง สุดท้ายจึงไปฟ้องหย่า
  • วิชิตได้เมียสองคน โดยเป็นสองสาวพี่น้องกัน มีสามีคนเดียวกัน ซึ่งไม่ได้แต่งงานกัน แต่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบสามีภรรยา และที่แปลกใจมากไปกว่านั้นก็คือ การใช้ชีวิตคู่ (จริงๆไม่น่าเรียกคู่นะ) ของ ทั้งสามคน ก็ดูมีความสุขกันดี เหมือนคู่รักทั่วๆไป

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube