นิทานอีสป เรื่อง “อินทรีกับนกเหยี่ยว” ไทย-Eng

“อินทรีกับนกเหยี่ยว” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงอันตรายของคำสัญญาที่หลอกลวงในเรื่องความรัก และสอนให้เรารู้ความสำคัญของคำพูดมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก

นิทานอีสปเรื่องอินทรีกับนกเหยี่ยว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นกอินทรีตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งต้นโอ๊กใหญ่ เธอดูเศร้ามากและหลบตานกอินทรี นกเหยี่ยวเห็นเธอ

Once upon a time, An Eagle sat high in the branches of a great Oak. She seemed very sad and drooping for an Eagle. A Kite saw her.

“ทำไมเจ้าดูโทรมจัง” นกเหยี่ยวถาม

“Why do you look so woebegone?” asked the Kite.

“ข้าต้องการแต่งงาน” นกอินทรีตอบ “และข้าไม่สามารถหาคู่ที่จะเลี้ยงดูข้าได้อย่างที่ข้าต้องการ”

“I want to get married,” replied the Eagle, “and I can’t find a mate who can provide for me as I should like.”

“พาฉันไป” นกเหยี่ยวพูด “ข้าแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่าคุณด้วยซ้ำ!”

“Take me,” said the Kite; “I am very strong, stronger even than you!”

“เจ้าคิดว่าเจ้าจะเลี้ยงข้าได้จริงๆ หรือ?” อินทรีถามอย่างกระตือรือร้น

“Do you really think you can provide for me?” asked the Eagle eagerly.

“ทำไม แน่นอน!” นกเหยี่ยวตอบ “นั่นคงเป็นเรื่องง่ายมาก ข้าแข็งแรงมากขนาดเอานกกระจอกเทศไว้ในกรงเล็บได้ราวกับว่ามันเป็นขนนก!”

“Why, of course,” replied the Kite. “That would be a very simple matter. I am so strong I can carry away an Ostrich in my talons as if it were a feather!”

อินทรีรับนกเหยี่ยวทันที แต่หลังจากงานแต่งงาน เมื่อว่าวบินไปหาอะไรกินให้เจ้าสาวของเขา เมื่อเขากลับมาก็เหลือแต่หนูตัวเล็กๆ

The Eagle accepted the Kite immediately. But after the wedding, when the Kite flew away to find something to eat for his bride, all he had when he returned, was a tiny Mouse.

“นั่นคือนกกระจอกเทศที่เจ้าพูดถึงหรือเปล่า” อินทรีกล่าวด้วยความขยะแขยง

“Is that the Ostrich you talked about?” said the Eagle in disgust.

“เพื่อชนะใจเธอ ข้าจะพูดและสัญญาอะไรก็ได้” นกเหยี่ยวตอบ

“To win you I would have said and promised anything,” replied the Kite.

นิทานอีสปอินทรีกับนกเหยี่ยว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“คำสัญญาที่ว่างเปล่าและการหลอกลวงสามารถนำไปสู่ความผิดหวังและความหวาดระแวงได้”

  • ความโอ้อวดและคำสัญญาที่ว่างเปล่า: คำกล่าวอ้างของนกเหยี่ยวที่ว่าแข็งแกร่งกว่านกอินทรีและสามารถจัดหาให้เธอได้ แม้ในระดับที่จับนกกระจอกเทศได้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการโอ้อวดที่ว่างเปล่า ในความเป็นจริงนกเหยี่ยวไม่สามารถทำตามสัญญาเหล่านั้นได้ สิ่งนี้สอนเราถึงความสำคัญของการพูดและการกระทำด้วยความสัตย์จริงและจริงใจ เนื่องจากการกล่าวอ้างที่ผิดๆ อาจนำไปสู่ความผิดหวังและสูญเสียความไว้วางใจได้
  • ความสำคัญของคำพูดมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก: ในตอนแรกอินทรี ถูกดึงดูดให้นกเหยี่ยว เนื่องจากการยืนยันความแข็งแกร่งและความสามารถอย่างมั่นใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อนำไปทดสอบ คำกล่าวอ้างของนกเหยี่ยว ก็พิสูจน์แล้วว่ากลวงเปล่า เรื่องราวนี้เตือนใจเราว่าอย่าหลงไปกับรูปลักษณ์ภายนอกหรือการกล่าวอ้างใหญ่โต แต่ให้มองหาแก่นแท้และความซื่อสัตย์ในตัวบุคคลก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญ
  • อย่าถูกความรักบังตา: ความกระตือรือร้นของอินทรี ที่จะเชื่อคำสัญญาของนกเหยี่ยว และยอมรับข้อเสนอของเขาโดยไม่ได้รับการพิสูจน์ แสดงให้เห็นถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกความรักหรืออารมณ์บังตา สิ่งสำคัญคือต้องเข้าหาความสัมพันธ์ด้วยกรอบความคิดที่สมดุลและมีเหตุผลเพื่อให้แน่ใจว่าเข้ากันได้และเชื่อถือได้
  • ผลของการหลอกลวง: การหลอกลวงของนกเหยี่ยว ไม่เพียงแต่ทำให้นกอินทรีผิดหวัง แต่ยังทำให้สูญเสียความไว้วางใจและชีวิตสมรสที่แตกร้าว เรื่องราวเน้นให้เห็นถึงผลเสียของความไม่ซื่อสัตย์และความสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์และความจริงใจ
  • การกระทำสะท้อนอุปนิสัย: ความเต็มใจของนกเหยี่ยว ที่จะพูดและสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักของอินทรี เผยให้เห็นว่าเขาขาดความซื่อสัตย์ แสดงให้เห็นว่าลักษณะที่แท้จริงของบุคคลสะท้อนให้เห็นได้จากการกระทำของพวกเขา ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดเท่านั้น
  • ระวังคนพูดจาลื่นไหล: ความสามารถของนกเหยี่ยว ในการพูดคุยอย่างมั่นใจและมั่นใจอาจทำให้ อินทรีประทับใจในช่วงแรก แต่มันก็เป็นเครื่องเตือนใจด้วยว่าบางคนอาจใช้คำพูดที่ลื่นไหลเพื่อบงการและหลอกลวงผู้อื่น สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังและรอบคอบเมื่อต้องรับมือกับบุคคลที่โน้มน้าวใจ

“Empty promises and deceit can lead to disappointment and mistrust.”

  • Empty boasts and promises: The Kite’s claim of being stronger than the Eagle and being able to provide for her, even to the extent of carrying away an Ostrich, was nothing more than empty boasts. In reality, the Kite was not capable of fulfilling those promises. This teaches us the importance of being truthful and sincere in our words and actions, as false claims can lead to disappointment and broken trust.
  • Importance of substance over appearance: The Eagle was initially attracted to the Kite because of his confident assertion of strength and ability. However, when put to the test, the Kite’s claims proved to be hollow. The story reminds us not to be swayed by appearances or grand claims but to look for substance and integrity in individuals before making important decisions.
  • Don’t be blinded by love: The Eagle’s eagerness to believe the Kite’s promises and accept his proposal without verification shows the potential danger of being blinded by love or emotions. It is essential to approach relationships with a balanced and rational mindset to ensure compatibility and trustworthiness.
  • The consequences of deceit: The Kite’s deception not only disappointed the Eagle but also led to a loss of trust and a broken marriage. The story highlights the negative consequences of dishonesty and the importance of building relationships on a foundation of honesty and sincerity.
  • Actions reflect character: The Kite’s willingness to say and promise anything to win the Eagle’s affection reveals his lack of integrity. It shows that a person’s true character is reflected in their actions and not just in their words.
  • Be cautious of smooth talkers: The Kite’s ability to talk convincingly and confidently may have initially impressed the Eagle, but it also served as a cautionary reminder that some individuals may use smooth talk to manipulate and deceive others. It’s crucial to be discerning and cautious when dealing with persuasive individuals.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ให้บทเรียนอันมีค่าเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต ความซื่อตรง ความเฉลียวฉลาด และความสำคัญของการมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอก ส่งเสริมเราให้มีปฏิสัมพันธ์อย่างจริงใจ ประเมินบุคคลตามการกระทำและลักษณะนิสัยของพวกเขา และเข้าหาความสัมพันธ์ด้วยสายตาวิพากษ์ในขณะเดียวกันก็เปิดรับการเชื่อมต่อที่แท้จริงซึ่งสร้างจากความไว้วางใจและความจริงใจ

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “แมลงวันกับน้ำผึ้ง” ไทย-Eng

“แมลงวันกับน้ำผึ้ง” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการเคารพในงาน หรือสิ่งที่มีอยู่ของผู้อื่น และความสอนเราถึงการอยากได้สิ่งที่ไม่ใช่ของตนย่อมเกิดผลไม่ดี

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับน้ำผึ้ง

กาลครั้งหนึ่ง ณ ทุ่งหญ้าที่มีแสงแดดส่องถึง มีรังผึ้งที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งสีทองแสนอร่อย ผึ้งทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ส่งเสียงหึ่งๆ จากดอกไม้หนึ่งไปยังอีกดอกไม้หนึ่ง เก็บน้ำหวานและเปลี่ยนให้เป็นน้ำผึ้งหอมหวาน รังเป็นรังของกิจกรรม และผึ้งมีความภาคภูมิใจอย่างมากในการสร้างอันมีค่าของพวกมัน

Once upon a time, in a sunny meadow, there was a beehive filled with delicious golden honey. The bees worked tirelessly, buzzing from flower to flower, collecting nectar and transforming it into sweet honey. The hive was a hive of activity, and the bees took great pride in their precious creation.

วันหนึ่ง แมลงวันฝูงหนึ่งสังเกตเห็นกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอของน้ำผึ้งที่โชยออกมาจากรังผึ้ง ความอยากรู้อยากเห็นและการล่อลวงทำให้พวกเขาดีขึ้น และพวกเขาตัดสินใจที่จะสืบสวน เมื่อแมลงวันบินเข้าใกล้รัง พวกมันก็ต้องตะลึงกับภาพและกลิ่นหอมของน้ำผึ้งทองคำ

One day, a group of flies noticed the mouthwatering aroma of the honey emanating from the beehive. Curiosity and temptation got the better of them, and they decided to investigate. As the flies approached the hive, they were mesmerized by the sight and scent of the golden honey.

“โอ้ น้ำผึ้งนี้ช่างงามเหลือเกิน มันต้องรสชาติเหมือนสวรรค์แน่ๆ” แมลงวันตัวหนึ่งพูดพลางเลียริมฝีปากของมัน

“Oh, how delightful this honey looks! It must taste heavenly,” said one of the flies, licking its lips.

“ข้าพนันได้เลยว่าแค่รสชาติเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เสียหาย” แมลงวันอีกตัวเสริม ไม่สามารถต้านทานการล่อลวงได้

“I bet just a small taste won’t hurt,” added another fly, unable to resist the temptation.

แมลงวันไม่สามารถต้านทานอีกต่อไปและเริ่มที่จะช่วยเหลือตัวเองเพื่อน้ำผึ้ง พวกเขาจุ่มขาเล็กๆ ลงในรังผึ้งและดื่มด่ำกับน้ำผึ้งที่เหนียวเหนอะหนะ

The flies couldn’t resist any longer and started to help themselves to the honey. They dipped their tiny legs into the honeycomb and indulged in the sticky goodness.

ผึ้งสังเกตเห็นการปรากฏตัวของพวกมันโดยที่แมลงวันไม่รู้จักและไม่พอใจที่ผู้บุกรุกขโมยน้ำผึ้งที่หามาได้ยากของพวกมัน ผึ้งตัดสินใจที่จะดำเนินการและปกป้องรังของพวกมัน

Unbeknownst to the flies, the bees had noticed their presence and were not pleased with the intruders stealing their hard-earned honey. The bees decided to take action and defend their hive.

ขณะที่แมลงวันยังคงหากิน ผึ้งก็โผล่ออกมาจากรัง พร้อมที่จะปกป้องบ้านของพวกมัน เมื่อเหล็กไนของพวกมันพร้อมแล้ว ผึ้งก็รุมล้อมแมลงวันเพื่อเตือนพวกมันให้ออกไป

As the flies continued to feast, the bees emerged from the hive, ready to protect their home. With their stingers at the ready, the bees swarmed around the flies, warning them to leave.

แมลงวันตกใจและรู้สึกท่วมท้นกับการตอบสนองที่ก้าวร้าวของผึ้ง แมลงวันตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกมันไม่คุ้มกับปัญหาที่พวกมันก่อขึ้นเอง

Startled and overwhelmed by the bees’ aggressive response, the flies quickly realized that their moment of pleasure was not worth the trouble they had brought upon themselves.

“ออกไปจากที่นี่ก่อนที่พวกมันจะต่อยเรา!” แมลงวันตัวหนึ่งตะโกนด้วยความตื่นตระหนก

“Let’s get out of here before they sting us!” one of the flies shouted, panic-stricken.

แมลงวันรีบบินออกจากรัง ปล่อยให้ผึ้งคอยปกป้องน้ำผึ้งอันล้ำค่าของพวกมัน พวกมันได้เรียนรู้บทเรียนเกี่ยวกับผลของการเอาของที่ไม่ใช่ของตนไป

The flies hurriedly flew away from the beehive, leaving the bees to safeguard their precious honey. They had learned their lesson about the consequences of taking something that didn’t belong to them.

นิทานอีสปแมลงวันกับน้ำผึ้ง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การหมายเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของคุณไปอาจนำไปสู่ผลที่ไม่พึงประสงค์ได้”

  • เคารพงานของผู้อื่น เช่นเดียวกับผึ้งที่ทำงานหนักเพื่อสร้างน้ำผึ้ง ทุกคนต่างทุ่มเทความพยายามในการสร้างสรรค์และครอบครอง สิ่งสำคัญคือต้องเคารพความพยายามและทรัพย์สินของผู้อื่น
  • สิ่งล่อใจและผลที่ตามมา: เรื่องราวแสดงให้เห็นว่าการยอมแพ้ต่อสิ่งล่อใจโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาจะนำไปสู่ปัญหาและความเสียใจได้อย่างไร
  • เรียนรู้จากความผิดพลาด: แมลงวันเรียนรู้อย่างหนักว่าการกระทำของพวกมันมีผลที่ตามมา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของเราและใช้มันเป็นโอกาสในการเรียนรู้เพื่อสร้างทางเลือกที่ดีกว่าในอนาคต
  • ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด แทนที่จะขโมยน้ำผึ้ง แมลงวันอาจถามผึ้งว่าขอบ้างได้ไหม ความซื่อสัตย์และความเคารพจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป

“Taking something that doesn’t belong to you can lead to unwanted consequences.”

  • Respect the work of others: Just like the bees worked hard to create their honey, everyone puts effort into their creations and possessions. It’s essential to respect the efforts and property of others.
  • Temptation and consequences: The story shows how giving in to temptation without considering the consequences can lead to trouble and regret.
  • Learn from mistakes: The flies learned the hard way that their actions had consequences. It’s essential to reflect on our mistakes and use them as learning opportunities to make better choices in the future.
  • Honesty is the best policy: Instead of stealing the honey, the flies could have asked the bees if they could have some. Being honest and respectful would have led to a different outcome.

โดยรวมสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เคารพงานของผู้อื่น ต่อต้านการล่อลวง และเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีกว่าในชีวิต

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ราชสีห์เฒ่า” ไทย-Eng

“ราชสีห์เฒ่า” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการรับรู้ถึงความเข้มแข็ง ความแข็งแกร่ง หาใช่มาจากเพียงร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่มันเกี่ยวกับจิตใจ ประสบการณ์ จิตวิญญาณ

นิทานอีสปเรื่องราชสีห์เฒ่า

กาลครั้งหนึ่ง ณ ใจกลางป่าอันกว้างใหญ่ มีราชสีห์แก่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ครั้งหนึ่งราชสีห์เคยเป็นราชาแห่งป่าที่ทรงพลังและน่าเกรงขาม แต่ด้วยอายุไล่เลี่ยเยอะขึ้น และมันไม่สามารถล่าสัตว์ได้อีกต่อไปเหมือนที่เคยเป็นมา ความแข็งแกร่งของมันลดลง และมันพบว่ามันท้าทายที่จะไล่ตามสัตว์ที่อายุน้อยกว่าและว่องไวกว่า

Once upon a time, in the heart of a vast and wild jungle, there lived an old lion. The lion was once the mighty and feared king of the jungle, but age had caught up with him, and he could no longer hunt as he used to. His strength had diminished, and he found it challenging to keep up with the younger, more agile animals.

อยู่มาวันหนึ่ง ไฮยีน่ากลุ่มหนึ่งสังเกตเห็นความอ่อนแอของราชสีห์ชราและตระหนักว่าโอกาสที่จะโค่นล้มกษัตริย์มาถึงแล้ว พวกมันตัดสินใจที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์และวางแผนที่จะโจมตีราชสีห์ในขณะที่มันอยู่คนเดียวและอ่อนแอ

One day, a group of hyenas noticed the old lion’s weakness and realized that their chance to dethrone the king had come. They decided to take advantage of the situation and planned to attack him while he was alone and vulnerable.

ขณะที่ไฮยีน่าเข้าใกล้ราชสีห์เฒ่า พวกมันคาดว่าจะเห็นความกลัวในดวงตาของราชสีห์เฒ่า อย่างไรก็ตาม พวกมันประหลาดใจ ราชสีห์เฒ่าไม่แสดงอาการหวาดกลัวเลย มันกลับมองพวกไฮยีน่าด้วยสายตาที่สงบและมั่นคง

As the hyenas approached the old lion, they expected to see fear in his eyes. However, to their surprise, the lion showed no sign of fear. Instead, he looked at them with calm and steady eyes.

“ทำไมท่านถึงไม่กลัว” ไฮยีน่าตัวหนึ่งหัวเราะเยาะ

“Why are you not afraid?” one of the hyenas sneered.

ราชสีห์เฒ่าตอบว่า “ความกลัวไม่เหมาะกับกษัตริย์ ไม่ว่าจะเยาว์วัยหรือชราก็ตาม”

The old lion replied, “Fear does not befit a king, whether young or old.”

ไฮยีน่าตกใจกับคำตอบของราชสีห์ พวกมันคาดหวังให้ราชสีห์ร้องขอความเมตตา แต่มันกลับพูดด้วยศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ

The hyenas were taken aback by the lion’s response. They expected him to beg for mercy, but instead, he spoke with dignity and pride.

ไฮยีน่าอีกตัวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ท่านแก่และอ่อนแอ ในขณะที่พวกเรามีมากมายและแข็งแรง ทำไมท่านถึงไม่กลัวพวกเรา”

Curious, another hyena asked, “You are old and weak, while we are many and strong. Why are you not afraid of us?”

ราชสีห์เฒ่ายิ้มและพูดว่า “ความแข็งแกร่งไม่ได้อยู่ที่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตวิญญาณและสติปัญญา แม้ว่าร่างกายของข้าจะอ่อนแอลงตามอายุ แต่จิตวิญญาณของข้ายังคงแข็งแกร่ง และสติปัญญาของข้าก็เติบโตขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

The old lion smiled and said, “Strength is not merely in the body but in the spirit and wisdom. Though my body may have weakened with age, my spirit remains strong, and my wisdom has grown over the years.”

มันกล่าวต่อว่า “ในวัยเยาว์ ข้าอาจอาศัยพละกำลังของข้าในการปกครองป่า แต่ในฐานะราชสีห์แก่ ข้าได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของความฉลาด ความอดทน และประสบการณ์ คุณสมบัติเหล่านี้มีพลังพอๆ กัน ไม่มากไปกว่าความแข็งแกร่งทางร่างกาย”

He continued, “In my youth, I may have relied on my strength to rule the jungle, but as an old lion, I have learned the value of wisdom, patience, and experience. These qualities are just as powerful, if not more so, than physical strength.”

ไฮยีน่ารู้สึกทึ่งกับคำพูดของสิงโต และเป็นครั้งแรกที่พวกมันรู้สึกเคารพกษัตริย์ชรา

The hyenas were intrigued by the lion’s words, and for the first time, they felt a sense of respect for the old king.

ราชสีห์เฒ่าสรุปว่า “ข้าอาจไม่แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน แต่ข้ายังคงเป็นราชาแห่งป่าแห่งนี้ รัชสมัยของข้าไม่ได้ถูกกำหนดโดยความกล้าหาญทางร่างกายในวัยหนุ่มของข้า แต่ด้วยสติปัญญาและศักดิ์ศรีที่ข้าเป็นผู้นำ ”

The old lion concluded, “I may not be as strong as I once was, but I am still the king of this jungle. My reign is not defined by the physical prowess of my youth but by the wisdom and dignity with which I lead.”

ไฮยีน่าตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะราชสีห์ชราได้ ไม่ใช่เพียงเพราะการปรากฏตัวในป่าเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะสติปัญญาที่เขาได้รับเมื่อเวลาผ่านไป

The hyenas realized that they could not defeat the old lion, not just because of his physical presence in the jungle but also because of the wisdom he had acquired over time.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไฮยีน่าก็เรียนรู้ที่จะเคารพราชสีห์แก่และบทเรียนอันมีค่าที่มันสอนพวกมัน พวกเขาเข้าใจว่าความเป็นผู้นำที่แท้จริงไม่ได้เกี่ยวกับพลังทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับภูมิปัญญา ประสบการณ์ และความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น

From that day on, the hyenas learned to respect the old lion and the valuable lessons he taught them. They understood that true leadership is not solely about physical power but about wisdom, experience, and the ability to inspire others.

นิทานอีสปราชสีห์เฒ่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความเป็นผู้นำที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับภูมิปัญญา ประสบการณ์ และความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นด้วย”

  • ปัญญาและประสบการณ์: เรื่องราวเน้นให้เห็นคุณค่าของปัญญาและประสบการณ์ ซึ่งสำคัญพอๆ กับความแข็งแกร่งทางร่างกาย
  • ศักดิ์ศรีและความเคารพตนเอง: การตอบสนองของราชสีห์แก่ต่อไฮยีนาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดำรงตนอย่างมีศักดิ์ศรีและเคารพตนเอง โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์
  • คุณสมบัติความเป็นผู้นำ: ความเป็นผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่แค่พลังทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการชี้นำและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นด้วยสติปัญญาและความซื่อสัตย์
  • เคารพผู้สูงอายุ: เรื่องราวเตือนใจให้เราเคารพและให้เกียรติผู้สูงอายุเพราะพวกเขามีความรู้และประสบการณ์อันมีค่าที่จะแบ่งปัน

“True leadership is not solely based on physical strength but on wisdom, experience, and the ability to inspire others.”

  • Wisdom and experience: The story highlights the value of wisdom and experience, which are just as important, if not more so, than physical strength.
  • Dignity and self-respect: The old lion’s response to the hyenas shows the importance of carrying oneself with dignity and self-respect, regardless of the circumstances.
  • Leadership qualities: True leadership is not merely about physical power but about guiding and inspiring others with wisdom and integrity.
  • Respecting the elderly: The story reminds us to respect and honor the elderly, for they have valuable knowledge and experience to share.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ถึงความสำคัญของปัญญา ศักดิ์ศรี และการเคารพตนเองในการเป็นผู้นำและในชีวิต มันกระตุ้นให้เราเห็นคุณค่าของความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยอมรับคุณสมบัติที่กำหนดความเป็นผู้นำที่แท้จริง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เด็กชายกับต้นตำแย” ไทย-Eng

“เด็กชายกับต้นตำแย” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการเรียนรู้บทเรียนที่มีค่าแก่ชีวิต สอนให้เราตระหนักถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ มีทั้งสุขและทุกข์

นิทานอีสปเรื่องเด็กชายกับต้นตำแย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายที่อยากรู้อยากเห็นและรักการผจญภัยคนหนึ่งซึ่งรักการสำรวจชนบท วันหนึ่ง ขณะที่เดินอยู่ในทุ่งหญ้า เขาพบต้นตำแยอยู่หย่อมหนึ่ง ด้วยความทึ่งในรูปลักษณ์ของพวกมัน เขาจึงตัดสินใจสัมผัสพวกมันโดยไม่รู้ถึงคุณสมบัติที่แหลมคมของพวกมัน

Once upon a time, there was a curious and adventurous boy who loved exploring the countryside. One day, while wandering through a meadow, he came across a patch of nettles. Intrigued by their appearance, he decided to touch them, unaware of their sharp stinging properties.

ทันทีที่เด็กชายสัมผัสตำแย เขารู้สึกถึงเหล็กไนที่แหลมคมและเจ็บปวด เขาชักมือออกอย่างรวดเร็ว รู้สึกแสบร้อน น้ำตาคลอเบ้าขณะที่เขาร้องด้วยความเจ็บปวด

As soon as the boy touched the nettles, he felt a sharp and painful sting. He quickly pulled his hand away, feeling a burning sensation. Tears welled up in his eyes as he cried out in pain.

ทันใดนั้นชายชราผู้ฉลาดที่เดินผ่านไปได้ยินเสียงร้องของเด็กชาย เขารีบวิ่งไปด้านข้างและถามว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายอธิบายทั้งน้ำตาว่าเขาสัมผัสต้นตำแยด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพียงเท่านั้น แล้วก็โดนต่อย

Just then, a wise old man passing by heard the boy’s cries. He rushed to his side and asked what had happened. Through his tears, the boy explained how he had touched the nettles out of curiosity, only to be stung.

ชายชรายิ้มอย่างใจดีและพูดว่า “พ่อหนุ่ม ต้นตำแยสอนบทเรียนอันมีค่าแก่เรา เช่นเดียวกับที่พวกมันอาจดูเหมือนไม่เป็นอันตรายเมื่อมองแวบแรก พิษที่ซ่อนเร้นของพวกมันเตือนให้เราระมัดระวังและคำนึงถึงสิ่งที่เราเลือก”

The old man smiled kindly and said, “My boy, the nettles teach us a valuable lesson. Just as they may appear harmless at first glance, their hidden sting reminds us to be cautious and mindful of the choices we make.”

เด็กชายพยักหน้า เช็ดน้ำตา เขาเข้าใจภูมิปัญญาในคำพูดของชายชรา

The boy nodded, wiping away his tears. He understood the wisdom in the old man’s words.

ชายชรากล่าวต่อว่า “ชีวิตเต็มไปด้วยประสบการณ์ มีทั้งสุขและทุกข์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักถึงสิ่งรอบข้างและผลที่ตามมาของการกระทำของเรา เช่นเดียวกับต้นตำแยที่ต่อยเจ้าเมื่อเจ้าสัมผัสมัน การกระทำบางอย่างที่เราทำอาจ นำไปสู่ผลอันไม่พึงปรารถนา”

The old man continued, “Life is full of experiences, some pleasant and some painful. It is essential to be aware of our surroundings and the consequences of our actions. Just as the nettles stung you when you touched them, some actions we take may lead to undesirable outcomes.”

เด็กชายฟังอย่างตั้งใจ ตระหนักถึงความสำคัญของบทเรียนที่เขาได้เรียนรู้

The boy listened intently, realizing the significance of the lesson he had learned.

ชายชรากล่าวเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ของเรา เช่นเดียวกับที่คุณจะได้จดจำพิษของต้นตำแยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสมันในอนาคต ให้ประสบการณ์นี้นำทางคุณไปสู่การตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในชีวิต”

The old man then added, “However, it is also important to learn from our experiences. Just as you will remember the sting of the nettles and avoid touching them in the future, let this experience guide you to make wiser choices in life.”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เด็กชายมีสติในการกระทำและการตัดสินใจมากขึ้น เขาเข้าใจคุณค่าของการเรียนรู้จากประสบการณ์ของเขาทั้งที่น่ายินดีและเจ็บปวด

From that day on, the boy became more mindful of his actions and decisions. He understood the value of learning from his experiences, both pleasant and painful.

เมื่อเขาโตขึ้น เด็กชายได้นำภูมิปัญญาของต้นหมามุ่ยติดตัวไปด้วย ตัดสินใจเลือกอย่างรอบคอบและดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังและมีสติสัมปชัญญะ

As he grew older, the boy carried the wisdom of the nettles with him, making thoughtful choices and approaching life with a sense of caution and mindfulness.

นิทานอีสปเด็กชายกับต้นตำแย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ประสบการณ์ที่เจ็บปวดสามารถเป็นบทเรียนอันมีค่าได้หากเราเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้น และใช้มันเพื่อตัดสินใจเลือกอย่างชาญฉลาดมากขึ้นในอนาคต”

  • สติและความตระหนัก: ประสบการณ์ของเด็กชายกับต้นตำแยสอนเราถึงความสำคัญของการมีสติและตระหนักถึงการกระทำและสภาพแวดล้อมของเรา เป็นการเตือนให้เราพิจารณาผลที่อาจเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจเลือก
  • การเรียนรู้จากประสบการณ์: เช่นเดียวกับที่เด็กชายเรียนรู้จากการต่อยที่เจ็บปวดของตำแยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสมันอีกครั้ง ประสบการณ์ชีวิตสามารถเป็นครูที่มีค่าได้ เราควรเรียนรู้จากประสบการณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบเพื่อการเติบโตและตัดสินใจได้ดีขึ้นในอนาคต
  • ภูมิปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่: ชายชราผู้ชาญฉลาดในนิทานให้ความรู้และคำแนะนำอันมีค่าแก่เด็กชาย มันเตือนให้เราฟังภูมิปัญญาของผู้ที่มีประสบการณ์ในชีวิตมากกว่าและขอคำแนะนำจากพวกเขาเมื่อจำเป็น
  • ความอยากรู้อยากเห็นอย่างระมัดระวัง: ความอยากรู้อยากเห็นเป็นลักษณะตามธรรมชาติในเด็กและผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวดังกล่าวกระตุ้นให้เราเข้าใกล้ความอยากรู้อยากเห็นด้วยความระมัดระวังและตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

“Painful experiences can be valuable lessons if we learn from them and use them to make wiser choices in the future.”

  • Mindfulness and awareness: The boy’s experience with the nettles teaches us the importance of being mindful and aware of our actions and surroundings. It reminds us to consider the potential consequences before making choices.
  • Learning from experiences: Just as the boy learned from the painful sting of the nettles and avoided touching them again, life’s experiences can be valuable teachers. We should learn from both positive and negative experiences to grow and make better decisions in the future.
  • Learning from experiences: Just as the boy learned from the painful sting of the nettles and avoided touching them again, life’s experiences can be valuable teachers. We should learn from both positive and negative experiences to grow and make better decisions in the future.
  • Wisdom of elders: The wise old man in the story imparts valuable knowledge and guidance to the boy. It reminds us to listen to the wisdom of those who have experienced more in life and to seek their advice when needed.

โดยสรุปแล้วสอนเราถึงความสำคัญของการเจริญสติ เรียนรู้จากประสบการณ์ และแสวงหาปัญญาจากผู้ที่เดินบนเส้นทางก่อนหน้าเรา มันเตือนให้เราระมัดระวังและไตร่ตรองในการกระทำของเรา เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะฉลาดขึ้นและตัดสินใจเลือกได้ดีขึ้นในขณะที่เรานำทางผ่านการเดินทางของชีวิต

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ดอกกุหลาบกับผีเสื้อ” ไทย-Eng

“ดอกกุหลาบกับผีเสื้อ” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการรับรู้เรื่องราวความสวยงามของมิตรภาพ ความสวยงามของความฝัน เป้าหมาย และการรับรู้ถึงธรรมชาติ

นิทานอีสปเรื่องดอกกุหลาบกับผีเสื้อ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สวนสวยแห่งหนึ่ง กุหลาบที่บอบบางและมีกลิ่นหอมได้เบ่งบานด้วยความสง่างาม กุหลาบได้รับความชื่นชมจากดอกไม้และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสวนด้วยความงามอันวิจิตรและกลิ่นหอมอันน่าหลงใหล ในหมู่ผู้ชื่นชมคือผีเสื้อที่มีสีสันและสง่างาม

Once upon a time, in a beautiful garden, a delicate and fragrant Rose bloomed with grace. The Rose was admired by all the flowers and creatures in the garden for her exquisite beauty and enchanting scent. Among the admirers was a colorful and graceful Butterfly.

ผีเสื้อหลงใหลในเสน่ห์ของดอกกุหลาบและอดไม่ได้ที่จะกระพือปีกไปรอบๆ กลีบดอกของเธอ ด้วยความหลงใหลในกลิ่นหอมอันหอมหวานของเธอ ในทางกลับกัน กุหลาบก็รู้สึกปลาบปลื้มที่ผีเสื้อให้ความสนใจและรู้สึกผูกพันเป็นพิเศษกับสิ่งมีชีวิตที่สง่างาม

The Butterfly was captivated by the Rose’s charm and could not resist fluttering around her petals, enchanted by her sweet fragrance. The Rose, in turn, felt flattered by the Butterfly’s attention and felt a special connection to the graceful creature.

วันเวลาผ่านไป กุหลาบและผีเสื้อใช้เวลาร่วมกัน แบ่งปันเรื่องราวและสนุกสนานกับมิตรภาพของกันและกัน พวกมันสร้างมิตรภาพที่ไม่ธรรมดาและน่าหลงใหลขึ้นทุกวันที่ผ่านไป

As days passed, the Rose and the Butterfly spent time together, sharing stories and enjoying each other’s company. They formed an unusual and enchanting friendship, blossoming with each passing day.

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ดอกกุหลาบและผีเสื้อกำลังสนทนากัน ผีเสื้อได้แบ่งปันความปรารถนาของเขาที่จะสำรวจโลกภายนอกสวน เขาพูดถึงดินแดนอันไกลโพ้น ทุ่งหญ้าอันสดใส และการผจญภัยที่รอเขาอยู่นอกขอบเขตของสวน

One morning, as the Rose and the Butterfly were conversing, the Butterfly shared his desire to explore the world beyond the garden. He spoke of distant lands, vibrant meadows, and adventures awaiting his beyond the garden’s confines.

กุหลาบซึ่งฝังรากอยู่ในสถานที่ของเธอ ไม่สามารถเข้าใจชีวิตที่อยู่นอกสวนได้ แต่ชื่นชมจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยของผีเสื้อ เธอสนับสนุนให้ผีเสื้อไล่ตามความฝันของเขาและสำรวจโลกนอกขอบเขตของสวน

The Rose, rooted in her place, could not comprehend a life beyond the garden but admired the Butterfly’s adventurous spirit. She encouraged the Butterfly to pursue his dreams and explore the world beyond the garden’s borders.

ผีเสื้อบอกลาดอกกุหลาบที่รักของเขาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง โดยสัญญาว่าจะกลับมาพร้อมเรื่องราวการผจญภัยของเขา ดอกกุหลาบเฝ้ามองผีเสื้อทะยานสู่ท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ รู้สึกทั้งเศร้าและสุขปนกันไป

With a heavy heart, the Butterfly bid farewell to his beloved Rose, promising to return with stories of his adventures. The Rose watched the Butterfly soar into the vast blue sky, feeling a mix of sadness and joy.

วันเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ ดอกกุหลาบคิดถึงเพื่อนรักของเธอมาก เธอเฝ้ารอการกลับมาของผีเสื้อ รู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ยินเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาได้เห็น แต่ละวันที่ผ่านไปรู้สึกเหมือนเป็นนิรันดร์ ดอกกุหลาบกังวลว่าผีเสื้อจะไม่กลับมาอีก

As the days turned into weeks, the Rose missed her dear friend terribly. She longed for the Butterfly’s return, eager to hear about the wonders he had seen. Each passing day felt like an eternity, and the Rose worried that the Butterfly might never come back.

เช้าวันหนึ่ง ผีเสื้อกลับมาที่สวนเพื่อความสุขของดอกกุหลาบ เขาร่อนลงอย่างสง่างามบนกลีบกุหลาบ บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางอันน่าทึ่งของเขา เขาพูดถึงทุ่งหญ้าเขียวขจี แม่น้ำที่ระยิบระยับ และสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจอื่นๆ ที่เขาเคยพบเจอ

One sunny morning, to the Rose’s delight, the Butterfly returned to the garden. He landed gracefully on the Rose’s petals, sharing tales of his breathtaking journey. He spoke of the lush meadows, the sparkling rivers, and the other fascinating creatures he had encountered.

กุหลาบฟังด้วยความกลัว กลีบดอกของเธอแกว่งไกวเบาๆ ตามคำพูดของผีเสื้อ เธอตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่นอกเหนือสวนแห่งนี้ รู้สึกซาบซึ้งในจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยของเพื่อนของเธอ

The Rose listened in awe, her petals gently swaying with the Butterfly’s every word. She marveled at the wonders of the world beyond the garden, feeling a newfound appreciation for her friend’s adventurous spirit.

ในทางกลับกัน ผีเสื้อรู้สึกทึ่งในความยืดหยุ่นและความงามที่แน่วแน่ของดอกกุหลาบ เขาตระหนักว่าในขณะที่เขาสามารถสำรวจโลกได้อย่างอิสระ ความงามและกลิ่นหอมของดอกกุหลาบทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมสวนมีความสุขและสบายใจ

The Butterfly, in turn, was amazed by the Rose’s resilience and steadfast beauty. He realized that while he could explore the world freely, the Rose’s beauty and fragrance brought joy and comfort to those who visited the garden.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา กุหลาบและผีเสื้อก็หวงแหนมิตรภาพที่ไม่เหมือนใครของพวกเขามากยิ่งขึ้น ผีเสื้อยังคงผจญภัยต่อไป โดยจะกลับมาหาดอกกุหลาบเสมอเพื่อแบ่งปันเรื่องราวของเขา และดอกกุหลาบในความสง่างามที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ของเธอ ยังคงเป็นหัวใจของสวน คอยต้อนรับทุกคนที่แสวงหาความปลอบใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ

From that day on, the Rose and the Butterfly cherished their unique friendship even more. The Butterfly continued his adventures, always returning to the Rose to share her stories. And the Rose, in her immovable elegance, continued to be the heart of the garden, welcoming all who sought solace in her presence.

นิทานอีสปดอกกุหลาบกับผีเสื้อ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“มิตรภาพที่แท้จริงชื่นชมและสนับสนุนความฝันและจุดแข็งของกันและกัน แม้ว่าเส้นทางจะต่างกันก็ตาม”

  • โอบรับความหลากหลาย: กุหลาบและผีเสื้อมีความแตกต่างกันโดยธรรมชาติ แต่มิตรภาพของทั้งคู่แสดงให้เห็นความงดงามของการยอมรับความหลากหลาย มันสอนเราถึงคุณค่าของการเห็นคุณค่าและเคารพความแตกต่างของผู้อื่น
  • มิตรภาพที่เกื้อหนุนกัน: เพื่อนแท้สนับสนุนและสนับสนุนความฝันและแรงบันดาลใจของกันและกัน แม้ว่าจะหมายถึงการพรากจากกันชั่วคราวก็ตาม เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนับสนุนเพื่อนของเราในความพยายามของพวกเขาและอยู่เคียงข้างพวกเขาเมื่อพวกเขากลับมา
  • หวงแหนช่วงเวลาปัจจุบัน: ดอกกุหลาบและผีเสื้อสอนให้เราถนอมช่วงเวลาที่เราใช้กับคนที่รัก ชื่นชมการมีอยู่ของพวกเขาและประสบการณ์ที่พวกเขาแบ่งปันกับเรา
  • ความงามในรูปแบบต่างๆ: เรื่องราวเฉลิมฉลองความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งดอกกุหลาบและผีเสื้อ มันเตือนเราว่าความงามสามารถพบได้ในรูปแบบต่างๆ และแต่ละรูปแบบมีความสำคัญพิเศษของตัวเอง

“True friendship appreciates and supports each other’s dreams and strengths, even when paths diverge.”

  • Embrace diversity: The Rose and the Butterfly were different in their nature, but their friendship showed the beauty of embracing diversity. It teaches us the value of appreciating and respecting the differences in others.
  • Supportive friendships: True friends support and encourage each other’s dreams and aspirations, even if it means parting ways temporarily. The story highlights the importance of supporting our friends in their endeavors and being there for them when they return.
  • Cherish the present moment: The Rose and the Butterfly taught us to cherish the moments we spend with loved ones, appreciating their presence and the experiences they share with us.
  • Beauty in different forms: The story celebrates the unique beauty of both the Rose and the Butterfly. It reminds us that beauty can be found in various forms and that each has its own special significance.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่อบอุ่นใจของมิตรภาพ ความหลากหลาย และการให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่เราใช้กับคนที่เรารัก มันเตือนให้เราสนับสนุนและให้กำลังใจเพื่อนของเราในความพยายามของพวกเขาและชื่นชมความงามที่เป็นเอกลักษณ์ที่แต่ละคนนำเข้ามาในชีวิตของเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เจ้าหมาจอมซุกซน” ไทย-Eng

“เจ้าหมาจอมซุกซน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความสนุก ความบรรเทิง ความซุกซนของเรา บางครั้งอาจไปสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น และยังสอนเรื่องเอาใจเขามาใส่ใจเรา

นิทานอีสปเรื่องเจ้าหมาจอมซุกซน

กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านที่พลุกพล่าน มีเจ้าหมาแสนซนอาศัยอยู่ เจ้าหมาตัวนี้เป็นที่รู้จักจากพฤติกรรมขี้เล่นและบางครั้งก็สร้างปัญหา มันมักจะเดินเตร่ไปตามท้องถนน สร้างความโกลาหลด้วยการไล่ตามไก่ เคาะแผงขายของในตลาด และเห่าใส่ใครก็ตามและอะไรก็ตามที่ดึงดูดความสนใจของมัน

Once upon a time, in a bustling village, there lived a mischievous Dog. This Dog was known for his playful and sometimes troublesome behavior. He would often roam the streets, causing chaos by chasing after chickens, knocking over market stalls, and barking at anyone and anything that caught his attention.

ชาวบ้านแม้จะรู้สึกขบขันกับท่าทางของเจ้าหมาในตอนแรก แต่ในไม่ช้าก็เบื่อกับความซุกซนอย่างต่อเนื่องของมัน พวกเขาจะดุเจ้าหมาและไล่มันออกไป แต่เจ้าตูบก็จะหาทางกลับไปสู่วิถีซุกซนของมันเสมอ

The villagers, though amused by the Dog’s antics at first, soon grew tired of his constant mischief. They would scold him and shoo him away, but the Dog would always find a way to return to his mischievous ways.

วันหนึ่ง เจ้าหมาเจอเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นอยู่ใกล้ๆ จัตุรัสของหมู่บ้าน มันอดไม่ได้ที่จะเข้าร่วมสนุก เด็กๆ หัวเราะเมื่อเจ้าหมาไล่ตามหางของมันและกระโดดไปมาอย่างสนุกสนาน แต่ด้วยความตื่นเต้น เจ้าหมาบังเอิญไปชนตะกร้าผลไม้ที่คนขายผลไม้วางไว้ใกล้ๆ

One day, the Dog came across a group of children playing near the village square. He couldn’t resist joining in on the fun. The children laughed as the Dog chased his tail and playfully jumped around. But in his excitement, the Dog accidentally knocked over a basket of fruits that a fruit-seller had placed nearby.

คนขายผลไม้โกรธและหงุดหงิดและตะโกนใส่สุนัขว่า “เจ้าสัตว์ร้าย! เจ้าสร้างปัญหาให้กับข้ามากกับการกระทำชั่วร้ายของเจ้า ข้าขอให้เจ้าจากไปและไม่กลับมาอีก!”

The fruit-seller, angry and frustrated, shouted at the Dog, “You pesky creature! You have caused me so much trouble with your mischief. I wish you would go away and never come back!”

เจ้าหมารู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของคนขายผลไม้ มันไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงดูไม่พอใจมันเพียงเพราะสนุก มันเดินออกจากหมู่บ้านด้วยความรู้สึกหดหู่ใจและไม่มีใครรัก

The Dog felt hurt by the fruit-seller’s words. He didn’t understand why everyone seemed upset with him just for having a bit of fun. He wandered away from the village feeling dejected and unloved.

ขณะที่สุนัขเดินไปมา เขาก็พบนกฮูกแก่แสนรู้ตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ นกฮูกได้เห็นพฤติกรรมซุกซนของสุนัขในหมู่บ้านและรู้สึกว่าจำเป็นต้องให้คำแนะนำบางอย่าง

As the Dog wandered, he came across a wise old Owl perched on a tree branch. The Owl had seen the Dog’s mischievous behavior in the village and felt compelled to offer some guidance.

“เจ้าตูบที่รัก” นกฮูกพูด “ข้าสังเกตนิสัยขี้เล่นของเจ้าแล้ว และเห็นว่าเจ้าไม่ได้ทำร้ายใคร แต่บางครั้ง ความซุกซนของเจ้าก็สร้างปัญหาและความไม่สะดวกให้กับผู้อื่นได้ สิ่งสำคัญคือต้องหาสมดุลระหว่างการมี สนุกและเคารพความต้องการของคนรอบข้าง”

“My dear Dog,” said the Owl, “I’ve observed your playful nature, and I can see that you mean no harm. But sometimes, your mischief can cause trouble and inconvenience for others. It’s essential to find a balance between having fun and respecting the needs of those around you.”

เจ้าหมาตั้งใจฟังคำพูดของนกฮูก มันตระหนักว่าพฤติกรรมซุกซนของเขามีผลตามมา และมันจำเป็นต้องคำนึงถึงผู้อื่นมากขึ้น

The Dog listened carefully to the Owl’s words. He realized that his mischievous behavior had consequences and that he needed to be more considerate of others.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เจ้าหมาก็พยายามที่จะถ่ายทอดพลังขี้เล่นของมันในรูปแบบที่สร้างสรรค์มากขึ้น เขากลายเป็นสุนัขเฝ้าบ้านอย่างไม่เป็นทางการของหมู่บ้าน คอยเตือนชาวบ้านถึงอันตรายหรือผู้บุกรุกที่อาจเกิดขึ้น ชาวบ้านชื่นชมความรับผิดชอบที่เพิ่งค้นพบของมัน และพวกเขาเริ่มมองเห็นเจ้าตูบซุกซนตัวนี้ในมุมมองใหม่

From that day on, the Dog made an effort to channel his playful energy in more constructive ways. He became the village’s unofficial watchdog, alerting the villagers to any potential dangers or intruders. The villagers appreciated his newfound sense of responsibility, and they began to see the Dog in a new light.

นิทานอีสปเจ้าตูบจอมซุกซน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความขี้เล่นและความซุกซนสามารถมีเสน่ห์ได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องสร้างสมดุลให้กับความรับผิดชอบและการคำนึงถึงผู้อื่น”

  • การคำนึงถึงผู้อื่น: พฤติกรรมซุกซนของสุนัขทำให้ชีวิตของชาวบ้านหยุดชะงัก สร้างความไม่สะดวกและความยุ่งยาก นิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการพิจารณาผลกระทบของการกระทำของเราที่มีต่อผู้อื่น และคำนึงถึงความต้องการและความรู้สึกของพวกเขา
  • การหาจุดสมดุล: ความขี้เล่นและความสนุกสนานเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรสมดุลกับความรับผิดชอบและการคำนึงถึงผู้อื่น เรื่องราวนี้เตือนเราว่าการหาสมดุลที่ดีในการกระทำและพฤติกรรมของเราเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี
  • การเรียนรู้จากคำแนะนำอันชาญฉลาด: การเผชิญหน้าของสุนัขกับนกฮูกแสนรู้สอนบทเรียนอันมีค่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของมัน เน้นความสำคัญของการฟังคำแนะนำที่ชาญฉลาดและเปิดใจรับการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
  • รับผิดชอบ: การตัดสินใจของสุนัขที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้านแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะรับผิดชอบและมีส่วนร่วมในเชิงบวกต่อชุมชน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรับผิดชอบต่อการกระทำของเราและการสร้างความแตกต่างในเชิงบวก

“Playfulness and mischief can be charming, but it’s important to balance them with responsibility and consideration for others.”

  • Consideration of others: The Dog’s mischievous behavior disrupted the lives of the villagers, causing inconvenience and frustration. The story teaches us the importance of considering the impact of our actions on others and being mindful of their needs and feelings.
  • Finding a balance: Playfulness and fun are essential, but they should be balanced with responsibility and consideration for others. The story reminds us that finding a healthy balance in our actions and behavior is crucial for maintaining positive relationships.
  • Learning from wise advice: The Dog’s encounter with the wise Owl taught him valuable lessons about his behavior. It emphasizes the importance of listening to wise counsel and being open to learning and self-improvement.
  • Taking responsibility: The Dog’s decision to become a watchdog shows his willingness to take responsibility and contribute positively to the community. It illustrates the significance of taking responsibility for our actions and making a positive difference.

โดยสรุปแล้วแสดงให้เห็นถึงการเดินทางของการค้นพบตัวเองและการเติบโต ในขณะที่สุนัขเรียนรู้ที่จะมีน้ำใจและมีความรับผิดชอบมากขึ้น กระตุ้นให้เราตระหนักถึงการกระทำของเรา ค้นหาความสมดุลระหว่างความสนุกและความรับผิดชอบ และรับฟังคำแนะนำที่ชาญฉลาดเพื่อเป็นบุคคลที่ดีขึ้นภายในชุมชนของเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “จิ้งจอกหางด้วน” ไทย-Eng

“จิ้งจอกหางด้วน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการมีสติ ยอมรับตัวเอง และอย่าฟังคำแนะนำของใครที่พยายามลดระดับคุณให้อยู่ในระดับของพวกเขาเอง

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกหางด้วน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีจิ้งจอกที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งซึ่งโชคไม่ดีที่หางของมันหายไปในกับดัก จิ้งจอกรู้สึกอายและละอายใจกับลักษณะที่ไม่มีหางของมัน เนื่องจากสุนัขจิ้งจอกตัวอื่นๆ มีหางยาวสวยงาม

Once upon a time, there was a clever and cunning Fox who, unfortunately, had lost his tail in a trap. The Fox felt embarrassed and ashamed of his tailless appearance, as all the other foxes had beautiful, long tails.

วันหนึ่ง จิ้งอกหางด้วนคิดแผนอันชาญฉลาดที่จะซ่อนสถานะไร้หางของมัน มันตัดสินใจรวบรวมจิ้งจอกตัวอื่นๆ ทั้งหมดและโน้มน้าวให้พวกมันรู้ว่าการมีหางนั้นยุ่งยากและเป็นอุปสรรค มันเชื่อว่าหากเขาสามารถเกลี้ยกล่อมให้จิ้งจอกตัวอื่นตัดหางพวกมันได้ มันจะไม่รู้สึกว่าแตกต่างและเข้ากันกับจิ้งจอกตัวอื่นได้ดีกว่า

One day, the Fox came up with a clever plan to hide his tailless state. He decided to gather all the other foxes and convince them that having a tail was cumbersome and a hindrance. He believed that if he could persuade the other foxes to cut off their tails, he wouldn’t feel so different and would blend in better.

จิ้งจอกหางด้วนเรียกประชุมสุนัขจิ้งจอกทั้งหมดในป่า มันรวบรวมพวกจิ้งจอกไว้ได้แล้ว แล้วเริ่มพูดโน้มน้าวใจว่า “จิ้งจอกที่รักทั้งหลาย พวกเราขึ้นชื่อเรื่องความเฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์ แต่หางที่สวยงามของเราถ่วงเราไว้ ทำให้เราตกเป็นเป้าหมายของนักล่าได้ง่าย ข้าเสนอว่าให้ตัดหางทิ้งเสีย เราสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและหนีอันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

The Fox called for a meeting of all the foxes in the forest. He gathered them around and began his persuasive speech, “Dear fellow foxes, we are known for our intelligence and cunning. But our beautiful tails weigh us down and make us an easy target for hunters. I propose that we all cut off our tails so we can move swiftly and escape danger more effectively.”

จิ้งจอกตัวอื่นๆ รู้สึกงงงวยกับคำแนะนำแปลกๆ ของจิ้งจอกหางด้วนตัวนี้ พวกมันไม่เข้าใจว่าทำไมจิ้งจอกหางด้วนถึงต้องการให้พวกมันแยกส่วนหางอันงดงามของพวกมันเอง สุนัขจิ้งจอกแก่แสนฉลาดตัวหนึ่งพูดขึ้น “เพื่อนเอ๋ย หางของเราไม่ใช่ภาระแต่เป็นของมีค่า มันช่วยให้เราทรงตัว สื่อสาร หรือแม้แต่แสดงอารมณ์ของเรา ทำไมเราถึงต้องการสูญเสียของขวัญล้ำค่าจากธรรมชาติเช่นนี้”

The other foxes were puzzled by the Fox’s strange suggestion. They couldn’t understand why he wanted them to part with their magnificent tails. One wise old fox spoke up, “My friend, our tails are not a burden but a valuable asset. They help us balance, communicate, and even express our emotions. Why would we want to lose such a precious gift from nature?”

จิ้งจอกหางด้วนไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงของมัน ยังคงกดสุนัขจิ้งจอกตัวอื่นต่อไป แต่คำพูดของสุนัขจิ้งจอกแก่ที่ชาญฉลาดกลับสะท้อนใจคนอื่นๆ ในกลุ่ม พวกมันเห็นพ้องต้องกันว่าหางของพวกมันมีความสำคัญอย่างยิ่ง และพวกมันไม่มีเหตุผลที่จะต้องแยกหางกับพวกมัน

The Fox, not willing to reveal his true reason, continued to press the other foxes. But the wise old fox’s words resonated with the rest of the group. They all agreed that their tails were indeed essential, and they had no reason to part with them.

เมื่อรู้สึกพ่ายแพ้ จิ้งจอกหางด้วนก็ถอยหนี ตระหนักดีว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยนสถานะไร้หางหรือโน้มน้าวให้สุนัขจิ้งจอกตัวอื่นทำตามแผนที่เข้าใจผิดของมันได้ ขณะที่เขาเดินออกไปตามลำพัง มันเข้าใจว่าการพยายามเปลี่ยนตัวตนของมันให้เข้ากับคนอื่นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง

Feeling defeated, the Fox slunk away, realizing that he couldn’t change his tailless state or convince the other foxes to follow his misguided plan. As he wandered off alone, he understood that trying to change who he was to fit in with others was not the right path.

เมื่อเวลาผ่านไป จิ้งจอกหางด้วนก็เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเองอย่างที่มันเป็น มันตระหนักว่าเอกลักษณ์ของมันทำให้มันพิเศษและมันไม่จำเป็นต้องทำตามมาตรฐานของผู้อื่น แทนที่จะพยายามซ่อนสภาพไร้หางของมัน มันยอมรับมันและพบวิธีใหม่ๆ ในการใช้ไหวพริบเพื่อเอาชีวิตรอดและเติบโตในป่า

With time, the Fox learned to accept himself as he was. He realized that his uniqueness made him special and that he didn’t need to conform to others’ standards. Instead of trying to hide his tailless state, he embraced it and found new ways to use his cunning to survive and thrive in the forest.

นิทานอีสปจิ้งจอกหางด้วน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ยอมรับเอกลักษณ์ของตัวเอง และอย่าพยายามเปลี่ยนตัวตนของคุณเพื่อให้เข้ากับคนอื่นได้ ความเป็นตัวตนของคุณคือสิ่งที่ทำให้คุณพิเศษ และอย่าฟังคำแนะนำของใครที่พยายามลดระดับคุณให้อยู่ในระดับของพวกเขาเอง…”

  • การยอมรับตนเอง: ความพยายามของจิ้งจอกหางด้วนในการโน้มน้าวใจผู้อื่นให้เปลี่ยนแปลงและปฏิบัติตามความต้องการของเขา เน้นย้ำถึงความสำคัญของการยอมรับตนเองอย่างที่เราเป็น การเปิดรับเอกลักษณ์และความเป็นปัจเจกของเราเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นใจในตนเองและค้นหาสถานที่ของเราในโลกนี้
  • คุณค่าของความเป็นปัจเจกบุคคล: เราแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และความแตกต่างนั้นคือสิ่งที่ทำให้เราพิเศษ เราไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงหรือปิดบังว่าเราเป็นใครเพื่อให้เข้ากับผู้อื่น เราควรเฉลิมฉลองความแตกต่างและใช้มันให้เป็นประโยชน์
  • ยอมรับจุดแข็งของคุณ: แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เราขาดหรือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง เราควรยอมรับจุดแข็งของเราและใช้มันเพื่อเอาชนะความท้าทายและประสบความสำเร็จในชีวิต
  • การเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง: จิ้งจอกหางด้วนได้เรียนรู้ว่าการพยายามเป็นคนที่เขาไม่ได้นำมาซึ่งความผิดหวังและความโดดเดี่ยวเท่านั้น การเป็นตัวของตัวเองและเป็นตัวของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตและความสุขส่วนตัว

“Embrace your uniqueness and don’t try to change who you are to fit in with others. Your individuality is what makes you special and don’t listen to the advice of anyone who tries to lower you to their own level…”

  • Acceptance of oneself: The Fox’s attempt to persuade others to change and conform to his desires highlights the importance of accepting oneself as one is. Embracing our uniqueness and individuality is crucial to building self-confidence and finding our place in the world.
  • The value of individuality: Each of us is unique, and that individuality is what makes us special. We shouldn’t try to change or hide who we are to fit in with others. Instead, we should celebrate our differences and use them to our advantage.
  • Embrace your strengths: Instead of focusing on what we lack or what makes us different, we should embrace our strengths and use them to overcome challenges and succeed in life.
  • Being true to oneself: The Fox learned that trying to be someone he wasn’t only brought disappointment and isolation. Being true to oneself and staying authentic is essential for personal growth and happiness.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการยอมรับตนเอง ยอมรับในเอกลักษณ์ของเรา และซื่อสัตย์ต่อตนเอง มันเตือนเราว่าเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวตนของเราเพื่อให้เข้ากับผู้อื่น เพราะความแตกต่างคือสิ่งที่ทำให้เราพิเศษและมีค่า

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “คางคกจอมโว” ไทย-Eng

“คางคกจอมโว” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงอันตรายจากการอวดอ้างเกินจริงย่อมส่งผลเสียต่อเรา และยังสอนถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนและความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่สำคัญ

นิทานอีสปเรื่องคางคกจอมโว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสระน้ำอันเงียบสงบ มีคางคกจอมโวตัวหนึ่งอาศัยอยู่ คางคกตัวนี้มีนิสัยแปลกประหลาดในการอวดอ้างความสามารถของมัน เมื่อใดก็ตามที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมตัวกันรอบๆ สระน้ำ คางคกจอมโวจะโอ้อวดว่ามันกระโดดได้เร็วแค่ไหนและกระโดดได้สูงแค่ไหน

Once upon a time, in a quiet pond, lived a Quack Toad. This Toad had a peculiar habit of making loud and boastful claims about its abilities. Whenever other creatures gathered around the pond, the Quack Toad would boast about how fast it could hop and how high it could jump.

วันหนึ่ง ฝูงกบมาที่สระน้ำเพื่อเพลิดเพลินกับน้ำเย็นและฟังการโอ้อวดของคางคกจอมโวตัวนี้ คางคกจอมโวพองตัวขึ้นและอุทานว่า “ข้าคือนักกระโดดที่เร็วที่สุดและมีทักษะมากที่สุดในสระน้ำทั้งหมด! ไม่มีพวกเจ้าตัวไหนเทียบความสามารถของข้าได้”

One day, a group of Frogs came to the pond to enjoy the cool waters and listen to the Quack Toad’s boasts. The Quack Toad puffed itself up and exclaimed, “I am the fastest and most skilled jumper in the entire pond! None of you can match my prowess.”

กบไม่ประทับใจกับคำกล่าวอ้างของกบจอมโวตัวนี้ และเริ่มบ่นพึมพำกันเอง ในที่สุด กบผู้กล้าหาญตัวหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้าเร็วและเก่งอย่างที่อ้าง ทำไมเจ้าไม่พิสูจน์ให้พวกเราดูล่ะ”

The Frogs were unimpressed by the Quack Toad’s claims and began to murmur among themselves. Finally, one brave Frog spoke up and said, “If you are as fast and skilled as you claim, why don’t you prove it to us?”

กบจอมโวยอมรับความท้าทายอย่างกระตือรือร้นและเตรียมพร้อมสำหรับการกระโดดอันทรงพลัง มันหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมกำลังทั้งหมดและกระโจนขึ้นไปในอากาศด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่ที่สร้างความตกตะลึงให้กับเหล่ากบ คางคกตัวเขื่องย่อตัวลงและตกลงไปพร้อมกับเสียงน้ำกระเซ็นดังกระเซ็น ไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ระยะที่มันอวดอ้าง

The Quack Toad eagerly accepted the challenge and prepared itself for a mighty jump. It took a deep breath, gathered all its strength, and leaped into the air with all its might. But to the astonishment of the Frogs, the Quack Toad fell short and landed with a loud splash, not even coming close to the distance it had boasted about.

กบต่างพากันหัวเราะเยาะความพยายามที่ล้มเหลวของกบจอมโวตัวนี้ และหนึ่งในนั้นพูดว่า “ดูเหมือนว่าคำกล่าวอ้างของเจ้าไม่มีอะไรนอกจากการพูดเกินจริง คำพูดของเจ้าว่างเปล่า และการกระทำของเจ้าก็ไม่ตรงกับคำอวดอ้างของเจ้า”

The Frogs laughed at the Quack Toad’s failed attempt, and one of them said, “It seems your claims were nothing but hot air. Your words are empty, and your actions do not match your boasts.”

คางคกจอมโวตัวนี้รู้สึกอายและขายหน้า พยายามรักษาหน้าด้วยการหาข้อแก้ตัวมากขึ้นและโอ้อวดให้ดังกว่าเดิม แต่พวกกบไม่สนใจคำพูดเปล่าๆ ของมันอีกต่อไป และพวกมันก็ออกจากสระน้ำ ทิ้งให้คางคกจอมโวอยู่ตามลำพังด้วยความภาคภูมิใจที่พังทลาย

Feeling embarrassed and humiliated, the Quack Toad tried to save face by making more excuses and boasting even louder. But the Frogs were no longer interested in its empty words, and they left the pond, leaving the Quack Toad alone with its shattered pride.

จากวันนั้นเป็นต้นมาคางคกจอมโว ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความอ่อนน้อมถ่อมตนและความซื่อสัตย์ มันตระหนักว่าการโอ้อวดเปล่าประโยชน์และความสามารถเกินจริงมีแต่จะนำไปสู่การเยาะเย้ยและดูหมิ่นจากผู้อื่น ในทางกลับกันกบจอมโวตัดสินใจที่จะพูดความจริงเกี่ยวกับความสามารถของมันและปล่อยให้การกระทำของมันพูดแทนตัวเอง

From that day on, the Quack Toad learned an important lesson about humility and honesty. It realized that making empty boasts and exaggerating its abilities only led to ridicule and disrespect from others. Instead, the Quack Toad decided to be truthful about its capabilities and let its actions speak for themselves.

นิทานอีสปคางคกจอมโว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การกระทำดังกว่าคำพูด และเป็นการดีกว่าที่จะแสดงความสามารถของคุณผ่านการกระทำของคุณ แทนที่จะโอ้อวดโดยเปล่าประโยชน์”

  • จงอ่อนน้อมถ่อมตนและซื่อสัตย์: คำกล่าวอ้างที่โอ้อวดของคางคกจอมโว ทำให้อับอายและเยาะเย้ย นิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการอ่อนน้อมถ่อมตนและซื่อสัตย์ต่อความสามารถของเรา และไม่โอ้อวดทักษะของเรา
  • การกระทำสำคัญกว่าคำพูด: คำพูดเปล่าๆ ของคางคกจอมโว นั้นไร้ความหมายหากไม่มีการกระทำมาสนับสนุน เรื่องราวนี้เตือนเราว่าการกระทำและการกระทำของเรากำหนดเรามากกว่าแค่คำพูด
  • ได้รับความเคารพ ไม่ใช่อ้าง: ได้รับความเคารพจากความจริงใจ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความพยายามที่ซื่อสัตย์ ไม่ใช่โดยการอวดอ้างหยิ่งผยองและการยกย่องตนเอง
  • ยอมรับการพัฒนาตนเอง: แทนที่จะโอ้อวด อาจมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะการกระโดด เรื่องราวนี้กระตุ้นให้เรามุ่งความสนใจไปที่การพัฒนาตนเองมากกว่าการแสวงหาการพิสูจน์ด้วยการโอ้อวดเปล่าๆ

“Actions speak louder than words, and it’s better to show your abilities through your deeds rather than making empty boasts.”

  • Be humble and honest: The Quack Toad’s boastful claims brought it embarrassment and ridicule. The story teaches us the importance of being humble and honest about our abilities and not exaggerating our skills.
  • Actions speak louder than words: The Quack Toad’s empty words were meaningless without the actions to back them up. The story reminds us that our actions and deeds define us more than mere words.
  • Respect is earned, not claimed: Respect is gained through sincerity, humility, and honest efforts, not through arrogant claims and self-praise.
  • Embrace self-improvement: Instead of boasting, the Quack Toad could have focused on improving its jumping skills. The story encourages us to focus on self-improvement rather than seeking validation through empty boasts.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้จักคุณค่าของความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์ และการปล่อยให้การกระทำของเราพูดแทนตัวเอง มันเตือนให้เราจริงใจในคำพูดและการกระทำของเรา ได้รับความเคารพจากความพยายามอย่างแท้จริงมากกว่าการเรียกร้องที่ว่างเปล่า

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ค้างคาวกับพังพอน” ไทย-Eng

“ค้างคาวกับพังพอน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการโอบรับความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และจงอย่าใช้ชีวิตที่ถูกกำหนดโดยความคาดหวังของผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องค้างคาวกับพังพอน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีค้างคาวตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำที่มืดและเปลี่ยว ค้างคาวเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเพราะมันมีปีกเหมือนนกและมีลักษณะคล้ายหนู เนื่องจากรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ค้างคาวจึงไม่ค่อยเข้ากับนกหรือหนู และมักจะรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก

Once upon a time, there was a Bat who lived in a dark and secluded cave. The Bat was a peculiar creature because it had both bird-like wings and mouse-like features. Due to its unique appearance, the Bat didn’t quite fit in with either the birds or the mice and often felt like an outsider.

อยู่มาวันหนึ่งค้างคาวตัดสินใจออกไปนอกถ้ำเพื่อสำรวจโลกและค้นหาว่ามันอยู่ตรงไหน ขณะที่มันบินผ่านป่า ค้างคาวก็ได้พบกับพังพอนฝูงหนึ่ง พังพอนเป็นที่รู้จักในเรื่องความฉลาดแกมโกงและเล่ห์เหลี่ยมของพวกมัน

One day, the Bat decided to venture outside of its cave to explore the world and find where it truly belonged. As it flew through the forest, the Bat came across a group of Weasels. The Weasels were known for their cunning and sly nature.

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดของค้างคาว วีเซิลรู้สึกทึ่งและถามว่า “เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด เจ้าเป็นนกหรือหนู”

Seeing the Bat’s strange appearance, the Weasels were intrigued and asked, “What kind of creature are you? Are you a bird or a mouse?”

ค้างคาวรู้สึกประหม่าเกี่ยวกับคุณสมบัติที่หลากหลายของมัน จึงลังเลก่อนจะตอบว่า “ข้าเป็นทั้งนกและหนู ข้าบินได้เหมือนนก แต่ข้าก็มีคุณลักษณะคล้ายกับหนูด้วย”

The Bat, feeling self-conscious about its mixed features, hesitated before replying, “I am both a bird and a mouse. I can fly like a bird, but I also have features similar to a mouse.”

เมื่อได้ยินดังนั้นพังพอนก็หัวเราะออกมา พวกมันเยาะเย้ยค้างคาวว่า “เจ้าช่างไร้สาระ เจ้าเป็นทั้งนกและหนูไม่ได้ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง!”

Upon hearing this, the Weasels burst into laughter. They mocked the Bat, saying, “You are ridiculous! You cannot be both a bird and a mouse. Choose one or the other!”

ค้างคาวรู้สึกเจ็บปวดและถูกปฏิเสธ จึงบินหนีไป ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนหรือไปอยู่กับใคร มันยิ่งรู้สึกสูญเสียและสับสนมากกว่าเดิม

Feeling hurt and rejected, the Bat flew away, not knowing where to go or who to be. It felt even more lost and confused than before.

ขณะที่ค้างคาวเดินทางต่อไป มันก็ได้พบกับฝูงนก นกก็เช่นกัน อยากรู้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของค้างคาว จึงถามคำถามเดียวกันว่า “เจ้าเป็นอะไร เจ้าเป็นนกหรือหนู”

As the Bat continued its journey, it encountered a group of Birds. The Birds, too, were curious about the Bat’s appearance and asked the same question, “What are you? Are you a bird or a mouse?”

ค้างคาวตอบอีกครั้งว่า “ข้าเป็นทั้งนกและหนู ข้ามีปีกเหมือนนก แต่ก็มีลักษณะเหมือนหนูด้วย”

Once again, the Bat replied, “I am both a bird and a mouse. I have wings like a bird, but I also have mouse-like features.”

พวกนกงงงวยและพูดว่า “เป็นไปไม่ได้! เจ้าจะเป็นทั้งนกและหนูไม่ได้ เลือกหนึ่งตัวตน!”

The Birds were puzzled and said, “That’s impossible! You cannot be both a bird and a mouse. Choose one identity!”

เมื่อรู้สึกว่าถูกปฏิเสธอีกครั้ง ค้างคาวก็บินหนีไป รู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าที่เคย

Feeling rejected once more, the Bat flew away, feeling more alone than ever.

พอตกกลางคืน ค้างคาวก็กลับมาที่ถ้ำของมัน รู้สึกเศร้าใจและขัดแย้งกัน มันตระหนักว่ามันเป็นเอกลักษณ์และไม่เข้ากับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังเข้าใจด้วยว่าไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามความคาดหวังของผู้อื่น

As the night fell, the Bat returned to its cave, feeling sad and conflicted. It realized that it was unique and didn’t fit into any particular group. However, it also understood that it didn’t need to conform to the expectations of others.

ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของมัน ค้างคาวตัดสินใจว่ามันจะซื่อสัตย์ต่อตัวเองและภูมิใจในธรรมชาติของมัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ค้างคาวก็ยอมรับตัวตนของมันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผสมผสานคุณสมบัติของทั้งนกและหนูเข้าด้วยกัน

Embracing its uniqueness, the Bat decided that it would be true to itself and be proud of its dual nature. From that day on, the Bat accepted its identity as a creature that combined the qualities of both birds and mice.

นิทานอีสปค้างคาวกับพังพอน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ยอมรับเอกลักษณ์ของคุณและเป็นตัวของตัวเอง แม้ว่าคุณจะไม่เหมาะกับความคาดหวังของผู้อื่นก็ตาม”

  • โอบรับความเป็นเอกลักษณ์ของคุณ: การเดินทางของค้างคาว สอนเราถึงความสำคัญของการโอบรับเอกลักษณ์ของเรา แม้ว่าเราจะไม่เข้ากับหมวดหมู่หรือความคาดหวังแบบดั้งเดิมก็ตาม การซื่อสัตย์ต่อตนเองและการยอมรับความเป็นปัจเจกบุคคลสามารถนำไปสู่การค้นพบตนเองและการยอมรับตนเอง
  • อย่าถูกกำหนดโดยความคาดหวังของผู้อื่น: การต่อสู้ของค้างคาวกับอัตลักษณ์ของมันแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ควรปล่อยให้คนอื่นกำหนดว่าเราเป็นใครหรือบงการว่าเราควรประพฤติตัวอย่างไร จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซื่อสัตย์ต่อตนเองและไม่ทำตามความคาดหวังของผู้อื่น
  • ไม่เป็นไรที่จะแตกต่าง: เรื่องราวเตือนเราว่าความแตกต่างไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นจุดแข็ง การเปิดรับความแตกต่างของเราสามารถนำไปสู่การเติบโตส่วนบุคคลและความเข้าใจในตนเองและผู้อื่นมากขึ้น
  • การค้นหาการเป็นเจ้าของในตัวเรา การเดินทางของการยอมรับตนเองของค้างคาวแสดงให้เราเห็นว่าการเป็นเจ้าของที่แท้จริงนั้นมาจากภายใน เมื่อเรายอมรับและรักตัวเองในแบบที่เราเป็น เราจะรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของและความสงบภายใน

“Embrace your uniqueness and be true to yourself, even if you don’t fit into the expectations of others.”

  • Embrace your uniqueness: The Bat’s journey teaches us the importance of embracing our uniqueness, even if we don’t fit into traditional categories or expectations. Being true to ourselves and accepting our individuality can lead to self-discovery and self-acceptance.
  • Don’t be defined by others’ expectations: The Bat’s struggle with its identity shows us that we should not let others define who we are or dictate how we should behave. It’s essential to be true to ourselves and not conform to others’ expectations.
  • It’s okay to be different: The story reminds us that being different is not a weakness but a strength. Embracing our differences can lead to personal growth and a greater understanding of ourselves and others.
  • Finding belonging within ourselves: The Bat’s journey of self-acceptance shows us that true belonging comes from within. When we accept and love ourselves for who we are, we can find a sense of belonging and inner peace.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของการยอมรับตนเอง ยอมรับในเอกลักษณ์ของเรา และไม่ปล่อยให้การตัดสินของผู้อื่นมากำหนดเรา มันกระตุ้นให้เราภูมิใจในความเป็นปัจเจกบุคคลและยกย่องคุณสมบัติที่ทำให้เราพิเศษ

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ชายหนุ่มจอมโอ้อวดกับราชสีห์” ไทย-Eng

“ชายหนุ่มจอมโอ้อวดกับราชสีห์” เป็นนิทานอีสปที่เตือนใจเราถึงความกล้าหาญที่แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากภายนอก แต่มันอยู่ภายใน และการกระทำต่างๆ นั้น สำคัญกว่าคำพูดเสมอ

นิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มจอมโอ้อวดกับราชสีห์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายผู้กล้าหาญและโอ้อวดผู้หนึ่งกำลังท่องไปในป่า คุยโวเรื่องความกล้าหาญและความไม่เกรงกลัวของตน เขาอ้างว่าเขาไม่กลัวสิ่งมีชีวิตใดๆ ในโลก ไม่แม้แต่ราชสีห์ผู้เกรียงไกร

Once upon a time, a brave and boastful man was wandering through the woods, bragging about his courage and fearlessness. He claimed that he was not afraid of any creature in the world, not even the mighty lion.

ขณะที่เขาเดินทางต่อไปเขาได้พบกับสิงโตจริงๆในป่า แทนที่จะแสดงความกล้าหาญอย่างที่เขาโอ้อวด ชายผู้นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและพยายามวิ่งหนี อย่างไรก็ตาม ราชสีห์ก็จับเขาได้อย่างรวดเร็วและจับเขาไว้แน่นด้วยอุ้งมืออันทรงพลังของมัน

As he continued on his journey, he encountered a real lion in the forest. Instead of showing courage as he had boasted, the man was filled with terror and tried to run away. However, the lion swiftly caught him and held him firmly in its powerful grip.

ชายผู้นั้นตัวสั่นด้วยความกลัว อ้อนวอนราชสีห์ “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้าแค่โอ้อวด และข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะท้าทายความแข็งแกร่งของเจ้า ตอนนี้ข้าเห็นความโง่เขลาของความเย่อหยิ่งของตัวเองแล้ว หากเจ้าไว้ชีวิตข้า ข้าสัญญาว่าจะถ่อมตัวและไม่โอ้อวดอีก”

The man, trembling with fear, pleaded with the lion, “Please, spare my life! I was only boasting, and I never meant to challenge your strength. I now see the folly of my arrogance. If you spare me, I promise to be humble and never boast again.”

ราชสีห์ฉลาดและมีเมตตาจึงตัดสินใจปล่อยชายคนนั้นไป “วันนี้เจ้าได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าแล้ว” ราชสีห์กล่าว “อย่าโอ้อวดในสิ่งที่เจ้าไม่สามารถมีได้ ความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ได้มาจากคำพูดที่ว่างเปล่า แต่มาจากการกระทำ”

The lion, wise and merciful, decided to let the man go. “You have learned a valuable lesson today,” said the lion. “Never boast about something you cannot back up. True courage does not come from empty words but from actions.”

ขอบคุณชีวิตใหม่ของเขา ชายผู้นี้เดินจากไปอย่างถ่อมตน โดยได้เรียนรู้ว่าความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การกล่าวอ้างอย่างกล้าหาญ แต่คือการเผชิญกับความท้าทายด้วยความซื่อสัตย์และความอ่อนน้อมถ่อมตน

Grateful for his new life, the man humbly walked away, having learned that true bravery is not in making bold claims but in facing challenges with integrity and humility.

นิทานอีสปชายหนุ่มกับราชสีห์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ใช่การกล่าวอ้างอย่างกล้าหาญ แต่ในการเผชิญกับความท้าทายด้วยความซื่อสัตย์และความอ่อนน้อมถ่อมตน”

  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนเหนือความเย่อหยิ่ง: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนเหนือความเย่อหยิ่ง การโอ้อวดและการโอ้อวดสามารถนำไปสู่ความอัปยศอดสูและสถานการณ์ที่น่าอับอาย ในขณะที่ความอ่อนน้อมถ่อมตนช่วยให้เราเรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์ของเรา
  • การกระทำสำคัญกว่าคำพูด: ความโอ้อวดว่างเปล่าของชายผู้นี้ขัดแย้งกับการกระทำที่น่ากลัวของเขาเมื่อเผชิญกับความท้าทายที่แท้จริง เรื่องราวนี้เตือนเราว่าการกระทำของเราควรสอดคล้องกับคำพูดและคำสัญญาของเรา
  • เคารพธรรมชาติ: เรื่องราวแสดงให้เห็นราชสีห์เป็นสัตว์ที่ฉลาดและมีเมตตา มันเตือนให้เราเคารพและชื่นชมโลกธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนั้น
  • การเรียนรู้จากความผิดพลาด: การที่ชายผู้นี้เผชิญหน้ากับสิงโตได้สอนบทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับผลที่ตามมาจากความเย่อหยิ่งของเขา โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากความผิดพลาดและการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในพฤติกรรมของเรา

“True courage is not in making bold claims but in facing challenges with integrity and humility.”

  • Humility over arrogance: The story highlights the importance of humility over arrogance. Boasting and bragging can lead to humiliation and embarrassing situations, while humility allows us to learn and grow from our experiences.
  • Actions speak louder than words: The man’s empty boasts were contradicted by his fearful actions when faced with a real challenge. The story reminds us that our actions should align with our words and promises.
  • Respect for nature: The story portrays the lion as a wise and merciful creature. It reminds us to respect and appreciate the natural world and the creatures that inhabit it.
  • Learning from mistakes: The man’s encounter with the lion taught him a valuable lesson about the consequences of his arrogance. It emphasizes the importance of learning from our mistakes and making positive changes in our behavior.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณค่าของการกระทำของเราเหนือคำพูด และความสำคัญของการเรียนรู้จากประสบการณ์ของเรา กระตุ้นให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเคารพ ซื่อสัตย์ และเต็มใจที่จะเติบโตและปรับปรุง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children