สุภาษิตคำพังเพยหนังหน้าไฟ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ห. หนังหน้าไฟ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยหนังหน้าไฟ

ที่มาของสำนวน ในสมัยโบราณก่อนพิธีจุดไฟเผาศพ มักจะมีมโหรสพประเภทหนังตะลุง หรือหนังใหญ่ มาแสดงให้คนที่มาฟังพระสวดอภิธรรมให้ได้ชมกัน จนกระทั่งในวันพิธีจุดไฟเผาศพ หนังจะเริ่มทำการแสดงก่อนพิธีเผาศพ เพื่อให้แขกเหรื่อที่มาก่อนจะได้ชมการแสดงไปพลางๆ ก่อน หนังตะลุง หรือหนังใหญ่ จะเป็นรูปภาพที่แกะสลักจากผืนหนัง เวลาแสดงต้องใช้คนชัก หรือใช้คนเชิด เพื่อให้แผ่นภาพหนังที่แกะสลักนั้นเคลื่อนไหวตามที่ต้องการ เราจึงเรียกกันว่า เชิดหนัง หรือชักหนัง เมื่อมาทำการแสดงหน้าไฟ(เวลาที่จุดไฟเผาศพ) เราจึงเรียกกันว่า เชิดหนังหน้าไฟ หรือชักหนังหน้าไฟ แล้วกร่อนมาเป็น “หนังหน้าไฟ”

หนังหน้าไฟ จึงหมายถึง การแสดง หรือการกระทำก่อนที่จะมีพิธีการใหญ่ คือพิธีจุดไฟเผาศพ

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ผู้ได้รับความเดือดร้อนก่อนผู้อื่น หรือผู้ที่คอยขันอาสารับหน้า รับความลำบาก หรือเป็นตัวแทนรับเรื่องราว(ค่อนข้างไม่ดี) ก่อนผู้อื่นเป็นคนแรก ว่าทำตัวเป็นหนังหน้าไฟนั่นเอง

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยหนังหน้าไฟ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตหนังหน้าไฟ

  • ผมนับถือและรักหัวหน้าจริงๆ เพราะเมื่อเวลาที่ผมทำงานผิดพลาด หัวหน้าจะยอมเป็นหนังหน้าไฟออกรับหน้าช่วยเหลือผมเสมอ
  • ลูกทำความผิดมา พ่อความผิดมาแม่ก็ต้องเป็นหนังหน้าไฟปกติอยู่แล้ว พ่อแม่คนไหนก็ต้องรักลูก แต่ถ้าลูกผิดก็คือผิด อย่าเอาใจลูกมากเกินไป มันคือบทเรียนชีวิต
  • เพราะเขาเป็นลูกหลานตระกูลดัง ทุกครั้งที่มีข่าวเสียๆหายๆทำให้ญาติพี่น้องต้องกลายเป็นหนังหน้าไฟเสมอๆ
  • ผมยอมเป็นหนังหน้าไฟ ไม่ยอมให้ใครมารังแกครอบครัวของเรา ผมจะดูแลปกป้องในฐานะครอบครัวให้ดีที่สุด
  • สมหญิงทำตัวแย่ๆ มาทั้งชีวิตเพราะมีคนรับหน้าเป็นหนังหน้าไฟมาโดยตลอด ทำให้เธอไม่รู้จักผิดถูก ผิดชอบชั่วดี แบบนี้น่าเป็นห่วงเสียจริง

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยหญ้าปากคอก ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ห. หญ้าปากคอก

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยหญ้าปากคอก

ที่มาของสำนวนนี้คือ สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงวัวควายกินหญ้า โดยธรรมชาติวัวควายมักชอบแทะเล็มหญ้า โดยพยายามจะยื่นคอออกนอกคอกไปให้ไกลมากที่สุด เพื่อจะใช้ลิ้นตวัดหญ้าที่อยู่ไกลๆ เข้าปาก ทั้งๆ ที่ใกล้ๆ กับคอกยังมีหญ้าสวยๆ ให้เลือกกินตั้งมากมาย แต่วัวควายกลับมองข้าม ไม่สนใจ ดังนั้นพฤติกรรมของวัวควายจึงถูกนำมาใช้เป็นสำนวนที่เปรียบเปรยถึงสิ่งที่ถูกมองข้าม หรือเรื่องง่ายๆ ที่คิดไม่ถึง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ เรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยาก, สิ่งง่ายๆ แต่กลับคิดไม่ถึง หรือเรื่องที่เราคุ้นอยู่ใกล้ตัวจนมองข้ามความสำคัญไป ไม่พิจารณาให้ดี

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยหญ้าปากคอก

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตหญ้าปากคอก

  • สิ่งของเครื่องใช้ รอบตัวเรานั้น เรามักจะมองไม่เห็นคุณค่า หรือประโยชน์ จนกว่า จะคิดได้ หรืออาจเสียเงินเสียเวลาไปเสาะ หาสิ่งนั้นจากที่อื่น เข้าทำนอง หญ้าปากคอก หญ้าอยู่ในคอกวัว คอกควาย แต่มันก็มักจะออกไปหากินหญ้าข้างนอก แทนที่จะ กินหญ้าในคอก บางครั้ง ข้าวของในบ้าน ก็มีอยู่แล้ว แต่เราก็มองข้าม พยายามไปเสาะหาข้างนอก ทำให้เสียเวลาเสียเงินทอง
  • เด็กไทยมองว่าการใช้ภาษาไทยเป็นเรื่องหญ้าปากคอกไม่จำเป็นต้องเรียน แต่ปัจจุบันคนใช้ภาษาไทยกันอย่างผิดๆ มากขึ้นทุกวัน
  • การออกกำลังกายนั้นทำได้ง่ายๆ เช่น การเดิน การทำงานบ้าน แต่ทุกวันนี้ผู้คนนิยมขับรถเพื่อไปออกกำลังกายที่ศูนย์ออกกำลังกายต่างๆ ซึ่งคิดไปว่าการออกกำลังกายจะต้องมีอุปกรณ์หลายรูปแบบ
  • สิ่งของรอบตัว หลายอย่าง คนเรา ล้วนมีข้อดี มีประโยชน์ ที่ไม่ควรมองข้าม อย่าปล่อยให้สิ่งนั้นกลายเป็น หญ้าปากคอก เป็นของดีที่อยู่ใกล้ตัวแต่มองไม่เห็น เพราะความคุ้นเคยจนมองข้ามไป เรื่องแบบนี้เป็นปกติธรรมดาของคนเรา ที่มักจะมองข้าม สิ่งใกล้ตัว แม้จะเป็นสิ่งของหรือคนใกล้ตัวก็ตาม บางคนก็เห็นคนอื่น ดีกว่าคนในครอบครัว หรือมีเพื่อนดี แต่ก็มองข้ามหัวไปแล้ว
  • ลดน้ำหนักก็เหมือนเรื่องหญ้าปากคอกทุกคนรู้ว่าต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกาย แต่น้อยคนนักที่จะทำได้ สุดท้ายจึงหันไปพึ่งยาลดความอ้วน

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยหงิมๆ หยิบชิ้นปลามัน ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ห. หงิมๆ หยิบชิ้นปลามัน

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยหงิมๆ หยิบชิ้นปลามัน

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงคนที่แสดงอาการ และท่าทางเฉยๆ ไม่ค่อยพูด หรือที่เราเรียกกันว่าคนหงิมๆ มักจะเอานิ้วมือจับขึ้น หรือที่เราเรียกกันว่า หยิบ แผ่นเล็กที่ตัด แล่ แบ่ง แยกหรือ แตกออกจ ากส่วนใหญ่ที่เรียกกันว่าชิ้น และปลาที่อยู่ในช่วงเวลาน้ำลดมีมันมากรับประทานอร่อย หรือ ที่เราเรียกกันว่าปลามัน

สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงคนนิ่งๆ ในเวลารับประทานอาหาร เมื่อได้โอกาสเขาจะหยิบชิ้นปลามัน ไปรับประทานก่อนผู้ใด เปรียบกันคนที่ไม่พูดเยอะ ไม่แสดงอาการ แต่เวลาทำอะไร ทำได้ดี เรียกได้ว่ามีดีแต่ไม่คุย

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ คนที่มีท่าทางหงิมๆ สงบเสี่ยมเจียมตัว ไม่ช่างพูดไม่ช่างคุย ดูเหมือนคนซื่อๆ แต่ความจริงแล้วมักจะเป็นประเภทคมในฝัก จะทำอะไรก็มักจะมีอำนาจในการจำแนก จะเลือกแต่สิ่งดีๆ ก่อนคนอื่นเขา หรือมีการคิดวางแผนที่ลุ่มลึกอยู่ในใจ ที่พร้อมจะลงมือทำได้ทันทีเมื่อได้โอกาส

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยหงิมๆ หยิบชิ้นปลามัน

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตหงิมๆ หยิบชิ้นปลามัน

  • พวกที่ทำเป็นนิ่งๆ ไม่สนใจผู้หญิงแต่สุดท้ายได้แฟนเป็นดารา แบบนี้มันเข้าทำนองหงิมๆ หยิบชิ้นปลามัน
  • เห็นเพื่อนผมหงิมๆ แต่หยิบชิ้นปลามันตลอดนะ เลือกหุ้นได้ดี แสดงว่าต้องมีความรู้ ศึกษาหาข้อมูลเป็นอย่างมาก แต่เขาแค่ไม่พูดเท่านั้นเอง
  • ระวังคู่แข่งไว้บ้างก็ดี เพราะเห็นนิ่งๆแบบนี้กลายเป็น หงิมๆ หยิบชิ้นปลามันไปเสียทุกที
  • โอกาสมีไม่เยอะ เมื่อมีโอกาสควรจะทำตัวหงิมๆ หยิบชิ้นปลามัน เลือกสิ่งดีๆ ทั้งคู่ชีวิต การงาน นะ เพราะโอกาสดีๆ ของคนเรามีไม่มากหรอก
  • การเลือกคู่ชีวิตบางทีก็ต้องทำตัวหงิมๆ หยิบชิ้นปลามัน นิ่งๆ และพยายามดูอีกฝ่ายว่าเข้ากับเราได้หรือไม่ เป็นการคัดคนในชีวิตที่ดีอีกวิธีหนึ่ง

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยเส้นผมบังภูเขา ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. เส้นผมบังภูเขา

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยเส้นผมบังภูเขา

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงเส้นผมเป็นสิ่งที่เล็กมากๆ ไม่สามารถที่จะไปปิดบังภูเขาที่ใหญ่ได้ แต่ถ้าหากว่าเส้นผมดังกล่าวมาขดม้วนอยู่ในดวงตาปิดบังแววตา ดวงตาก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ ต่อให้ภูเขามีขนาดใหญ่เท่าใดก็มองไม่เห็น เพราะเส้นผมมันไปปิดแววตา ทำให้ตาไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ มันจึงทำให้ดูเหมือนว่าเส้นผมบังภูเขา

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ เรื่องที่ง่ายๆ แต่คิดไม่ออก โดยคิดว่าเป็นเรื่องยากลำบาก ทำให้ต้องเสียเวลาคิดค้นหาแนวทางวิธีแก้ไขต่างๆ มากมายเกือบตาย แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่มีปัญหาติดขัดอยู่นิดเดียวซึ่งมองข้ามเลยไป ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เสียเวลาคิดไปตั้งนาน ทั้งๆ ที่วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายนิดเดียว เปรียบเสมือนดังภูเขาที่มีขนาดใหญ่โตสามารถมองได้เห็นอย่างชัดเจน แต่หากมีเส้นผมเส้นเล็กๆมาบังในตำแหน่งพอเหมาะพอเจาะก็อาจมองไม่เห็นก็เป็นได้

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยเส้นผมบังภูเขา

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตเส้นผมบังภูเขา

  • สมชายและกลุ่มเพื่อนหลังจากที่เราใช้เวลามาหลายชั่วโมง นั่งหาวิธีซับซ้อนหลายๆวิธีเพื่อแก้โจทย์ข้อนี้ เราก็ได้รู้ว่า เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ มันไม่ได้ยากเลยนี่หว่า
  • รถยนต์ของคุณไม่ได้เป็นอะไรที่สตาร์ทไม่ติดเพราะน้ำมันหมด ไม่ได้เกี่ยวกับเครื่องยนต์อะไรเลย มันเป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขาแท้ๆ
  • สมศรีมีปัญาต้องการใช้เงิน พยายามคิดหาทางออกโดยการไปขอยืมคนโน้นคนนี้ จนกระทั่งก่อนออกจากบ้านสมศรีส่องกระจก ก็ได้เห็นสร้อยคอทองคำที่เธอแขวนอยู่ เส้นผมบังภูเขาจริงๆ เลยเรา เครียดอยู่ตั้งนาน แค่เอาสร้อยของตัวเองไปจำนำก็ได้เงินมาแล้ว ไม่ต้องไปรบกวนคนอื่นเขา
  • เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ ปัญหาความรักเรื้อรังที่เราไล่ตามกันมาทั้งชีวิต สุดท้ายได้บทเรียนล้ำค่าได้ไล่ตามเป้าหมายชีวิตก่อนแล้วความรักจะตามมาเอง
  • เส้นผมบังภูเขา สิ่งที่เราคิดว่ามีแท้ที่จริงมันมิได้มี แล้วทำไมเราคิดว่ามี มันเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา ศาสนาพุทธเราเป็นสัจจธรรมคือธรรมะว่าด้วยเรื่องความจริง

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยสุกเอาเผากิน ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. สุกเอาเผากิน

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสุกเอาเผากิน

ที่มาของสำนวน การทำของให้สุกด้วยการใช้ความร้อนมากๆ และ อย่างรวดเร็วด้วยการเผาแล้วนำมากิน เปรียบกับการนำเนื้อสัตว์ หรือผลไม้มาทำให้สุกอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการเผานั้น เนื้อด้านนอกอาจจะสุกจนไหม้เกรียม แต่เนื้อที่อยู่ข้างในอาจไม่สุกเต็มที่ หรือสุกไม่ตลอด ต้องเลือกกินเอา คือที่สุกดีก็กิน สำนวนนี้คล้ายกับผักชีโรยหน้า

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ทำแค่ให้เสร็จๆ ให้พ้นๆ ไป ทำอย่างลวกๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่ออกมาว่าดีหรือไม่ ทำพอเสร็จไปคราวหนึ่งๆ กล่าวคือการกระทำอะไรแบบลวกๆ ชุ่ยๆ พอให้ผ่านไป ขาดความตั้งใจในการทำ ไม่มีความประณีตเลย สำนวนนี้มักนำมาใช้กับคนหรืองานที่ถูกทำโดยขาดความตั้งใจและขาดความพยายาม

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยสุกเอาเผากิน

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตสุกเอาเผากิน

  • หากคุณยังทำงานแบบสุกเอาเผากินแบบนี้ ลูกค้าของคุณก็คงหายหมด
  • ผมมีความเคารพในตัวเองจะไม่ทำงานแบบสุกเอาเผากินเด็ดขาด แม้ว่าจะไม่มีใครเห็น แต่คุณค่าที่ผมทำ สักวันมันจะตอบแทนผมเอง
  • เด็กสมัยนี้ทำงานส่งครูแบบสุกเอาเผากิน เพียงแค่หวังคะแนนเท่านั้น ไม่ได้สนใจองค์ความรูปที่ได้ในชิ้นงานที่ทำเลย
  • ไม่ว่าบริษัทจะให้เงินเดือนไม่เยอะ แต่ก็ไม่ควรทำงานแบบสุกเอาเผากิน คิดถึตอนบริษัทให้โอกาสเรามาทำงานบ้าง ควรจะทำให้ดีที่สุดเพื่อตัวเอง
  • กระแสประกวดร้องเพลงจะได้รับความนิยมท่วมท้น เพราะสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน ทั้งกลุ่มผู้เข้าประกวดและกลุ่มผู้ชอบฟังเพลง แต่ปัญหาชักเริ่มเห็นรางๆ ในบางรายการบางช่องที่มัก “สุกเอาเผากิน” ไม่มีเป้าหมายสำหรับสุดท้ายปลายทาง กำลังหมายถึงคุณภาพของผู้แข่งขันและคุณภาพของกรรมการ ดีพอที่จะเรียกตัวเองว่า “การประกวดร้องเพลง” แล้วหรือยัง??!!

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยสิบเบี้ยใกล้มือ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. สิบเบี้ยใกล้มือ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสิบเบี้ยใกล้มือ

ที่มาของสำนวน “เบี้ย” คือเงินตราที่ใช้แลกเปลี่ยนกันในอดีต คำพังเพยนี้ได้มีการเปรียบเปรยถึงสิบเบี้ย กับสิ่งที่มีค่าไม่มาก และคำว่าอยู่ใกล้มือนั้นก็คือ รู้แน่ๆ แล้วว่าเป็นของเรา เช่น มีคนให้เงินจำนวนสิบเบี้ย แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ก็เป็นของเราแน่ๆ แล้ว ดังนั้นก็ควรจะรับไว้ก่อนนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ สิ่งที่อยู่ใกล้เป็นสิ่งที่ควรจะได้ แม้จะมีค่าน้อยแต่ได้แน่ๆ ก็ควรคว้าเอาไว้ก่อน ดีกว่าไปหวังสิ่งที่ใหญ่กว่าแต่ไม่แน่นอนว่าจะได้หรือไม่

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยสิบเบี้ยใกล้มือ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตสิบเบี้ยใกล้มือ

  • สมชายไม่ชอบเสี่ยงโชคไม่สนใจเรื่องการซื้อหวย ตั้งใจทำมาค้าขายหวังเงินสิบเบี้ยใกล้มือ เก็บเล็กผสมน้อยจนได้กลายเป็นเศรษฐีประจำหมู่บ้าน
  • ภาพเขียนที่ไม่คิดว่าจะขายออกกลับมีคนมาเสนอราคาขอซื้อ ยังไงก็ขายไปเถอะโบราณว่าสิบเบี้ยใกล้มือ เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตจะขายได้ราคานี้หรือไม่
  • แต่คนไทยก็ยังติดปากใช้เบี้ยกันอยู่อีกหลายคำ สิบเบี้ยใกล้มือ สิบเบี้ยขายไม่ขาด เบี้ยบน เบี้ยล่าง เบี้ยน้อยหอยน้อย เบี้ยใบ้รายทาง
  • ช่วงเศรษฐกิจแบบนี้มีงานเล็กๆ น้อยๆ ก็รับทำไปก่อนเถอะสิบเบี้ยใกล้มือ ถ้ามัวแต่รองานใหญ่ก็ไม่รู้ว่าจะมีมาเมื่อไหร่
  • วิชิตเป็นคนขยันเก็บเล็กผสมน้อย ได้เงินแค่สิบเบี้ยใกล้มือก็เอา แล้วเก็บ อดออม ประหยัด อนาคตชีวิตดีขึ้นแน่นอน

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยสิ้นไร้ไม้ตอก ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. สิ้นไร้ไม้ตอก

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสิ้นไร้ไม้ตอก

ที่มาของสำนวน ในสมัยโบราณนอกจากจะฟั่นเชือกไว้ผูกมัดสิ่งต่างๆ แล้ว ยังนิยมใช้ไม้ตอก ไม้ไผ่ที่นำมาจักเป็นเส้นแบนยาว ขนาดหนาหรือบางตามต้องการ สำหรับผูกมัดหรือสานสิ่งต่างๆ เช่น ชะลอม เข่ง ตะกร้า ใช้มัดสิ่งของต่างๆ เช่น ข้าวต้มมัด แหนม หรือใช้ผูกจากมุงหลังคา นับว่าเป็นของที่ใช้สารพัดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน จึงเปรียบเปรยถึงคนที่ยากไร้ และขัดสนถึงที่สุด จนถึงขนาดที่ว่าสิ่งของที่มีค่าน้อยที่สุด ที่ควรจะมีสำรองไว้ที่บ้านก็ยังไม่มี

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ยากไร้ ขัดสนถึงที่สุด หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ยากจนทรัพย์สินแม้แต่ไม้ตอกซึ่งมีราคาถูกก็ไม่มีติดตัว นอกจากนี้ยังแฝงความหมายเอาไว้อีกว่ายากจนแสนสาหัส ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง แม้แต่เรือนเครื่องผูกซึ่งเป็นเรือนที่ปลูกสร้างอย่างง่ายๆ ใช้ตอกไม้ไผ่และหวายผูกรัดส่วนต่างๆ ของตัวเรือนเข้าด้วยกันก็ไม่มีอยู่อาศัย

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยสิ้นไร้ไม้ตอก

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตสิ้นไร้ไม้ตอก

  • หลังจากที่เขาต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลายไม่มีเงินมาใช้หนี้ ตอนนี้สภาพของก็เหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีที่อยู่จนต้องมาขออาศัยใชชีวิตอยู่ในวัด
  • แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 จะส่งผลกระทบทำให้บริษัทที่ฉันทำงานอยู่ต้องปิดลง แต่ฉันก็ไม่ถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก เพราะฉันยังมีรายได้จากการขายอาหารเสริมทางออนไลน์เดือนละหลายหมื่นบาท
  • เขาเคยเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีเงิน ไม่มีที่อยู่แต่ก็ไม่ยอมแพ้โชคชะตาชีวิต ใช้แรงงานแลกเงินโดยการไปเป็นกรรมกรแบกหามดิ้นรนทำทุกอย่าง และด้วยความขยันทำให้ตอนนี้เขาได้กลายเป็นเจ้าของร้านรับซื้อของเก่าไปแล้ว
  • ทั้งที่เมื่อก่อนเขาเป็นคนร่ำรวยมากแต่เพราะไม่รู้จักพอเพียง เขาจึงเล่นหุ้นเมื่อถึงคราวซวยหุ้นตกลงมาอย่างมากๆ ถึงได้สิ้นไร้ไม้ตอก
  • ผมผ่านจุดที่สิ้นไร้ไม้ตอกมาแล้ว จนสร้างตัวกลับขึ้นมาได้ มันเป็นบทเรียนชีวิตที่ล้ำค่าที่จะไม่ทำให้เราประมาทอีก

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยสาวไส้ให้กากิน ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. สาวไส้ให้กากิน

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสาวไส้ให้กากิน

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงการที่สาวไส้ ให้อีกากิน คนที่สาวไส้และถูกสาวไส้ก็ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ มีแต่กาที่อยู่ดีๆ ก็ได้รับประโยชน์จากคนอื่นที่ทะเลาะกัน

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ การนำความลับหรือเรื่องเลวร้ายไปบอกให้คนอื่นรู้ ซึ่งไม่ก่อประโยชน์ให้กับใคร แต่ผู้ที่ได้รับฟังกลับได้ล่วงรู้ความลับต่างๆ สำนวนนี้มักจะใช้สื่อถึงการบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่ดี และมักจะมีคู่กรณีที่ต่างคนต่างแฉกันและกัน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยสาวไส้ให้กากิน

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตสาวไส้ให้กากิน

  • สิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่นี้เหมือนสาวไส้ให้กากิน เรื่องพี่น้องทะเลาะกันเพื่อแย่งสมบัติแบบนี้ พวกคุณควรจะไปคุยกันเองในครอบครัวนะ ไม่ใช่มาพูดป่าวประกาศในที่สาธารณะ อายคนอื่นเขาบ้าง
  • สมใจมักชอบนำเรื่องส่วนตัวของพี่สาวตนเองไปเล่าให้คนข้างบ้านฟัง จนทำให้สามีของสมใจบอกกับสมใจว่าอยู่ดีไม่ว่าดีทำไมชอบสาวไส้ให้กากิน
  • การที่สองฝ่ายพูดโจมตี เอาเรื่องราวของอีกฝ่ายมาแฉให้สาธารณะชนรับรู้ ก็เหมือนกับการสาวไส้ให้กากิน มีแต่เสียกับเสีย
  • เละทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างสาวไส้ให้กากิน สาวไส้เน่าเหม็นไปทั้งวงการ เป็นการแตกหักกันโดยแท้จริง
  • นี่คุณเวลาคุยอะไรกับคนอื่นอย่าสาวไส้ให้กากิน เอาเรื่องของเราไปพูดให้คนอื่นมาก เรื่องส่วนตัวของครอบครัวเราคนอื่นไม่เข้าใจหรือเจอมาเหมือนเราหรอก

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงการที่มนุษย์ไปสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ ซึ่งจระเข้ว่ายน้ำเป็นตั้งแต่เกิด มนุษย์ไม่มีทางที่จะว่ายน้ำได้เก่งกว่าจระเข้ได้แน่นอน

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ สอนสิ่งที่เขารู้ดีหรือที่เขาถนัดอยู่แล้ว ทำได้ดีทำได้เก่งอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องไปสอนเขาอีก โดยสำนวนนี้มักจะสื่อถึงเรื่องที่ไม่ดีเป็นหลัก

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ

  • ถ้าผมเขียนหนังสือวิธีปลดล็อครถยนต์ สำหรับเจ้าของรถที่ชอบลืมกุญแจไว้ในรถ จะกลายเป็นว่าผมไปสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำด้วยซิ
  • การที่ลุงสมชายไปแนะนำให้เด็กแว้นข้างบ้านแต่งรถอย่างโน้นอย่างนี้ ก็เหมือนกับการสอนจระเข้ว่ายน้ำ
  • สอนหนังสือสังฆราชก็เหมือนสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำนั่นแหละ คนบางคนเขามืออาชีพอยู่แล้ว แค่เขาไม่พูดเฉยๆ
  • คุณกำลังสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำอยู่นะเนี่ย ที่มาบอกวิธีหาทางหนีที่ไล่สำหรับคนเจ้าชู้ เพื่อไม่ให้แฟนจับได้
  • อย่าไปสอนคนที่สมบุกสมบันผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนเลย เขาเจออะไรมาเยอะกว่าเราอยู่ อาบน้ำร้อนมาก่อน ถ้าไม่อยากฟังเขาก็ไม่ควรไปสอนเขา เหมือนสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยสองฝักสองฝ่าย ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. สองฝักสองฝ่าย

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสองฝักสองฝ่าย

ที่มาของสำนวน เป็นสร้อยคำที่เน้นให้เห็นชัดว่า มีสองสิ่งสองอย่างสองพวกสองข้างอย่างชัดเจนที่ต่างกันและเป็นผู้ขัดแย้งกัน เมื่อมีสองฝ่ายที่ทะเลาะกัน การวางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างใครนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราไม่ใช่การที่จะเข้ากับฝ่านโน้นที ฝ่ายนี้ที สำนวนนี้คล้ายกับสำนวนนกสองหัว

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ คนที่ทําตัวเข้าด้วยทั้งสองข้าง ซึ่งมักไม่เป็นมิตรกันโดยหวังประโยชน์เพื่อตน

มักใช้เปรียบเปรยถึงคนที่มีนิสัยทำตัวเข้ากับคนสองกลุ่มที่มีความขัดแย้งกัน โดยหวังเพียงผลประโยชน์ที่จะได้จากความขัดแย้งดังกล่าว โดยที่ไม่ได้มีความจริงใจหรือฝักใฝ่ฝ่ายใดเป็นพิเศษ คนประเภทนี้หวังเพียงประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ไม่มีความจริงใจให้กับใคร พอฝ่ายไหนให้ประโยชน์ก็ไปเข้ากับฝ่ายนั้น

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยสองฝักสองฝ่าย

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตสองฝักสองฝ่าย

  • เป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าพบว่าความคิดเห็นของเราชาวไทยแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายอย่างชัดเจน และไม่อาจจะประนีประนอมกันได้
  • นี่สมหญิง เธอทำตัวสองฝักสองฝ่ายก็เหนื่อยหน่อยนะ เอาใจคนนุ้นที คนนี้ที ขอให้มีความสุขล่ะกัน
  • คนสองฝักสองฝ่ายอยู่นั่นพูดอีกแบบ อยู่นี่พูดอีกแบบ เป็นคนที่คบไม่ได้เหมือนกับนกสองหัว
  • ประเทศเล็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้ มักต้องทําตัวสองฝักสองฝ่ายกับประเทศใหญ่เพื่อความอยู่รอดของตน
  • ข่าวใหญ่เกี่ยวกับการเลือกตั้งใหม่ครั้งนี้ กระแสสังคมได้แบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย รวมทั้งประชาชนอีกด้วย

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube