นิทานอีสป เรื่อง “ไก่ผู้งดงามกับไข่มุกอันมีค่า” ไทย-Eng

“ไก่ผู้งดงามกับไข่มุกอันมีค่า” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราให้รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เราเป็น หรือสิ่งที่เรามี ไม่ใช่การหาสิ่งภายนอกมาทำให้เรามีค่า เพราะคุณค่ามันมาจากสิ่งเราทำให้โลกใบนี้ได้

นิทานอีสปเรื่องไก่ผู้งดงามกับไข่มุกอันมีค่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ไก่ตัวผู้ที่งดงามและมั่นใจกำลังเดินไปรอบๆ สนามหญ้า อวดความงามและความสามารถในการร้องเพลงของมัน ขณะที่เขาคุ้ยพื้น เขาก็สะดุดเข้ากับไข่มุกแวววาวที่นักท่องเที่ยวผ่านมาทำหล่นไว้ ไก่ประหลาดใจกับความงามเป็นประกายของมันและร้องว่า “ข้าโชคดีจริงๆ ที่ได้พบไข่มุกอันล้ำค่านี้ แน่นอน มันเป็นสมบัติที่คู่ควรกับขนที่งดงามเช่นข้า”

Once upon a time, a proud and confident rooster was strutting around a farmyard, boasting about his beauty and singing prowess. As he scratched the ground, he stumbled upon a shiny pearl that had been dropped by a passing traveler. The rooster marveled at its lustrous beauty and exclaimed, “How fortunate I am to have found this precious pearl! Surely, it is a treasure worthy of a magnificent bird like me.”

อย่างไรก็ตาม ขณะที่มันชื่นชมไข่มุกต่อไป มันก็ตระหนักว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับมัน ไข่มุกมันไม่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน หรือเพิ่มพูนความสามารถของมันเลย มันผิดหวัง และมองว่ามันเป็นเพียงเครื่องประดับเล็กๆ และกลับไปโอ้อวดเกี่ยวกับขนอันสวยงาม และเสียงที่ไพเราะของมันเองอย่างเดิม

However, as he continued to admire the pearl, he realized that it served no purpose to him. It was of no use in his daily life or in enhancing his abilities. Disappointed, he dismissed it as a mere trinket and went back to boasting about his own feathers and melodious voice.

นิทานอีสปไก่ผู้งดงามกับไข่มุกอันมีค่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“คุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่ประโยชน์ใช้สอยและการปฏิบัติจริง ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกหรือคุณลักษณะผิวเผินเท่านั้น”

  • คุณค่าของเนื้อหาเหนือรูปลักษณ์ เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของเนื้อหาและการใช้งานจริงเหนือความงามภายนอก ไข่มุกแม้จะดูดึงดูดสายตา แต่ก็ไม่มีค่าสำหรับไก่ในชีวิตประจำวันของมัน เป็นการเตือนใจให้เรามองข้ามรูปลักษณ์ภายนอก และแสวงหาคุณค่าในสิ่งที่มีความหมายและเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
  • เห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม: ความหลงใหลในไข่มุกของไก่ตัวผู้ทำให้เขามองข้ามความงาม และคุณค่าของขน และความสามารถในการขันและเสียงของตัวเอง เรื่องราวสอนให้เราเห็นคุณค่าและใช้ประโยชน์สูงสุดจากสิ่งที่เรามีอยู่แทนที่จะแสวงหาการตรวจสอบจากภายนอกหรือโลภในสิ่งที่คนอื่นมี
  • ความกตัญญูและความพึงพอใจ การที่ไก่ไม่สนใจไข่มุกนั้นสะท้อนให้เห็นถึงการขาดความกตัญญูและความพึงพอใจ แทนที่จะรู้สึกขอบคุณสำหรับพรที่เขามีอยู่แล้ว เขากลับมุ่งไปที่การได้มาซึ่งสิ่งที่เขาเห็นว่ามีค่ามากกว่า เรื่องราวเตือนใจให้เราปลูกฝังความกตัญญูและค้นหาความพึงพอใจในสถานการณ์ปัจจุบันของเรา
  • การเข้าใจคุณค่าที่แท้จริง ไข่มุกเป็นสัญลักษณ์ของความเย้ายวนใจของทรัพย์สินทางวัตถุ และความปรารถนาเพียงผิวเผิน เรื่องราวนี้กระตุ้นให้เราไตร่ตรองถึงสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายอย่างแท้จริงในชีวิตของเรา สิ่งนี้กระตุ้นให้เรามุ่งเน้นไปที่คุณสมบัติ ความสัมพันธ์ และประสบการณ์ที่เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของเราและมีส่วนช่วยในการเติบโตส่วนบุคคลของเรา

“True value lies in usefulness and practicality, not just in appearance or superficial attributes.”

  • Value of substance over appearance: The story emphasizes the importance of substance and practicality over mere outward beauty. The pearl, although visually appealing, held no value for the rooster in his everyday life. It reminds us to look beyond appearances and seek value in things that are truly meaningful and useful.
  • Appreciating what is within reach: The rooster’s obsession with the pearl made him overlook the beauty and worth of his own feathers and singing abilities. The story teaches us to appreciate and make the most of what we already possess instead of constantly seeking external validation or coveting what others have.
  • Gratitude and contentment: The rooster’s disregard for the pearl reflects a lack of gratitude and contentment. Instead of being grateful for the blessings he already had, he was fixated on acquiring something he perceived as more valuable. The story reminds us to cultivate gratitude and find contentment in our present circumstances.
  • Understanding true value: The pearl symbolizes the allure of material possessions and superficial desires. The story encourages us to reflect on what truly holds value and meaning in our lives. It prompts us to focus on qualities, relationships, and experiences that enrich our well-being and contribute to our personal growth.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เราเห็นคุณค่าของวัตถุเหนือรูปลักษณ์ ชื่นชมสิ่งที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ปลูกฝังความกตัญญูและความพึงพอใจ และมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงในชีวิตของเรา ด้วยการน้อมรับคำสอนเหล่านี้ เราสามารถพัฒนาความรู้สึกเติมเต็มที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและนำไปสู่การดำรงอยู่ที่มีความหมายมากขึ้น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “กวางหลงตัวเองกับเงาสะท้อน” ไทย-Eng

“กวางหลงตัวเองกับเงาสะท้อน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงอันตรายของการหลงตัวเอง ความเย่อหยิ่ง การอวดอ้าง ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเราทั้งสิ้น

นิทานอีสปเรื่องกวางหลงตัวเองกับเงาสะท้อน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กวางตัวใหญ่ตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบใส ชื่นชมเขากวางที่น่าประทับใจ และรูปร่างที่สง่างามของมันที่สะท้อนอยู่ในน้ำ ขณะที่มันจ้องมองภาพสะท้อนของมัน มันรู้สึกภาคภูมิใจ และคิดกับตัวเองว่า “ข้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงามที่สุดในป่าอย่างแท้จริง”

Once upon a time, a majestic stag stood by a clear lake, admiring his impressive antlers and graceful form reflected in the water. As he gazed at his reflection, he felt a surge of pride and thought to himself, “I am truly the most beautiful creature in the forest.”

กวางเริ่มโอ้อวดความงามของตนต่อสัตว์อื่นด้วยความเย่อหยิ่ง มันร้องอุทานว่า “ดูข้าสิ ดูเขากวางที่สง่างามและร่างกายที่เพรียวบางของข้าสิ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่สง่างามเท่าข้าอีกแล้ว!”

Filled with arrogance, the stag began boasting about his beauty to the other animals. He exclaimed, “Look at me! Look at my magnificent antlers and sleek body! There is no other creature as magnificent as I am!”

ทันใดนั้น เสียงเล็กๆ จากริมทะเลสาบก็พูดว่า “กวางที่รัก เขากวางของเจ้าน่าทึ่งจริงๆ แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าเจ้าหนีอันตรายไม่พ้น” กวางหันไปเห็นฝูงหมาป่าเข้ามาใกล้

Just then, a little voice from the edge of the lake said, “Dear Stag, your antlers are indeed remarkable, but what good are they if you can’t escape danger?” The stag turned to see a pack of wolves approaching.

ด้วยความกลัว กวางพยายามวิ่งหนี แต่กวางของมันซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของความเย่อหยิ่งกลับเข้าไปพัวพันกับกิ่งก้านของพุ่มไม้ใกล้ๆ ยิ่งมันดิ้นรนมากเท่าไหร่ กิ่งก้านก็ยิ่งแน่นขึ้นเท่านั้น หมาป่าเข้ามาใกล้ และกวางก็ตระหนักว่าความเย่อหยิ่งของมันได้นำเขามาสู่สถานการณ์ที่อันตรายนี้

Filled with fear, the stag tried to run away. But his antlers, once a symbol of pride, got entangled in the branches of a nearby bush. The more he struggled, the tighter the grip of the branches became. The wolves closed in, and the stag realized his arrogance had led him to this perilous situation.

ขณะที่กวางหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ในที่สุดเขาก็สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระโดยทิ้งเขากวางไว้เบื้องหลัง ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง และบทเรียนที่ได้รับ กวางจึงรอดพ้นจากฝูงหมาป่า ยอมจำนนต่อประสบการณ์ของมันเอง

As the stag gasped for breath, he finally managed to free himself by leaving his antlers behind. With a heavy heart and a lesson learned, the stag escaped from the wolves, humbled by his experience.

นิทานอีสปกวางหลงตัวเองกับเงาสะท้อน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความงามและความภาคภูมิใจสามารถนำไปสู่ความหายนะได้ และคุณค่าที่แท้จริงไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนและความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ด้วย”

  • ความกตัญญูกตเวทีและความพึงพอใจ เรื่องราวนี้เตือนให้เรารู้สึกขอบคุณในสิ่งที่เรามี และพอใจกับพรของเราเอง ความอิจฉาริษยาและความปรารถนาของกวางทำให้มันตกต่ำลง มันสอนให้เราชื่นชมคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และไม่ถูกครอบงำด้วยความอิจฉาริษยาหรือความปรารถนาในสิ่งที่คนอื่นมี
  • การตระหนักรู้ในตนเองและการใคร่ครวญ การหมกมุ่นในตนเองของกวางทำให้มันไม่สามารถรับรู้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของภาพสะท้อนของมันได้ เรื่องราวกระตุ้นให้เราตระหนักรู้ในตนเอง ไตร่ตรองถึงการกระทำและแรงจูงใจของเรา และตั้งคำถามกับความปรารถนาของเราก่อนที่จะลงมือทำตามนั้น
  • อันตรายของความโลภและการเปรียบเทียบ ความโลภของกวางและการเปรียบเทียบกับเงาสะท้อนของมันเน้นให้เห็นถึงผลเสียของพฤติกรรมเหล่านี้ มันสอนให้เราระมัดระวังธรรมชาติแห่งการทำลายล้างของความโลภ และหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เพราะมันอาจนำไปสู่ความไม่พอใจและการสูญเสียได้
  • การยอมรับและยอมรับในเอกลักษณ์ สัตว์แต่ละชนิดในป่า รวมทั้งกวาง มีคุณสมบัติและจุดแข็งเฉพาะตัว เรื่องราวนี้เตือนใจให้เรายอมรับและน้อมรับความเป็นปัจเจกชนของเรา แทนที่จะโลภในสิ่งที่คนอื่นมี มันกระตุ้นให้เราเฉลิมฉลองจุดแข็งของตัวเองและชื่นชมความหลากหลายรอบตัวเรา

“Beauty and pride can lead to downfall, and true worth is not merely in one’s appearance but also in one’s humility and ability to adapt to different situations.”

  • Gratitude and contentment: The story reminds us to be grateful for what we have and to be content with our own blessings. The stag’s envy and desire for more led to his downfall. It teaches us to appreciate our own unique qualities and not be consumed by jealousy or a desire for what others possess.
  • Self-awareness and introspection: The stag’s self-absorption prevented him from recognizing the true nature of his reflection. The story encourages us to be self-aware, to reflect on our actions and motivations, and to question our desires before acting upon them.
  • The dangers of greed and comparison: The stag’s greed and comparison with his reflection highlight the negative consequences of these behaviors. It teaches us to be cautious of the destructive nature of greed and to avoid comparing ourselves to others, as it can lead to dissatisfaction and loss.
  • Acceptance and embracing uniqueness: Each creature in the forest, including the stag, possesses its own unique qualities and strengths. The story reminds us to accept and embrace our individuality instead of coveting what others have. It encourages us to celebrate our own strengths and appreciate the diversity around us.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของความกตัญญู ความพึงพอใจ การตระหนักรู้ในตนเอง และการยอมรับ มันเตือนถึงอันตรายของความโลภและการเปรียบเทียบ เน้นคุณค่าของการยอมรับเอกลักษณ์ของเราเอง โดยการนำคำสอนเหล่านี้ไปใช้ เราสามารถปลูกฝังความรู้สึกขอบคุณ พบความพอใจในตนเอง และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างกลมกลืน

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ชายหัวโล้นกับการก่อกวนของแมลงวัน” ไทย-Eng

“ชายหัวโล้นกับการก่อกวนของแมลงวัน” เป็นนิทานอีสปที่สอนให้เราอย่าใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยในชีวิต เพราะไม่ได้อะไรเลย และการตอบโต้ด้วยความนิ่งสงบ

นิทานอีสปเรื่องชายหัวโล้นกับการก่อกวนของแมลงวัน

ครั้งหนึ่งมีชายหัวโล้นผู้หนึ่งกำลังเพลิดเพลินกับยามบ่ายอันเงียบสงบในสวนของเขา ขณะที่เขานั่งอยู่ในที่ร่ม มีแมลงวันตัวหนึ่งบินวนรอบตัวเขา บินมาเกาะบนหัวของเขาและสร้างความรำคาญ ชายคนนั้นพยายามไล่แมลงวันออกไป แต่มันก็กลับมาอีก

Once there was a bald man who was enjoying a peaceful afternoon in his garden. As he sat in the shade, a persistent fly began buzzing around him, landing on his head and causing annoyance. The man tried swatting the fly away, but it kept coming back.

ชายหัวโล้นกล่าวอย่างผิดหวัง “ทำไมเจ้าไม่ทิ้งข้าไว้คนเดียว เจ้าบินน่ารำคาญ เจ้าสร้างปัญหาให้ข้ามาก!”

Frustrated, the bald man exclaimed, “Why won’t you leave me alone, you pesky fly? You’re causing me so much trouble!”

แมลงวันตอบด้วยรอยยิ้มซุกซนว่า “โอ้ ชายหัวโล้นที่รัก ข้าก่ออันตรายอะไรแก่คุณจริงๆ ข้าเป็นแค่แมลงวันตัวเล็กๆ แต่ก็ยังมีอำนาจที่จะกวนใจและรบกวนเจ้า ช่างง่ายดายเพียงใดที่เจ้าปล่อยให้ ความน่ารำคาญเล็กๆ น้อยๆ ทำลายความสงบของเจ้าหรือ”

The fly, with a mischievous grin, replied, “Oh, dear bald man, what harm am I really causing you? I’m just a tiny fly, and yet I have the power to distract and disturb you. How easily you let a small annoyance ruin your peace.”

ชายคนนั้นหยุดและครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของแมลงวัน เขาตระหนักว่าเขาปล่อยให้ความไม่สะดวกเล็กๆ น้อยๆ มารบกวนความสงบของเขา แทนที่จะโกรธและร้อนรน เขาตัดสินใจปล่อยวางความระคายเคืองและสงบสติอารมณ์

The man paused and thought about the fly’s words. He realized that he had allowed a small inconvenience to disrupt his tranquility. Instead of getting angry and agitated, he decided to let go of his irritation and remain calm.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมื่อไรก็ตามที่แมลงวันบินมารอบๆ ตัวเขา ชายหัวล้านก็ไม่สนใจมันและจดจ่อกับเวลาของเขาในสวน ไม่นานแมลงวันก็เบื่อและบินหนีไป เพราะรู้ว่ามันจะไม่รบกวนชายคนนั้นอีกต่อไป

From that day forward, whenever the fly buzzed around him, the bald man simply ignored it and focused on enjoying his time in the garden. The fly soon grew bored and flew away, realizing it could no longer disturb the man.

นิทานอีสปชายหัวโล้นกับการก่อกวนของแมลงวัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“เรามักจะมีอำนาจในการเลือกวิธีที่เราจะตอบสนองต่อความรำคาญเล็กๆ น้อยๆ และโดยการรักษาความสงบของเรา เราก็สามารถรักษาความสงบและความเงียบสงบของเราได้”

  • ปล่อยวางเรื่องเล็กน้อย เรื่องราวเตือนใจเราว่าอย่าปล่อยให้ความไม่สะดวกหรือความรำคาญเล็กๆ น้อยๆ มาบั่นทอนความคิดและอารมณ์ของเรา บางครั้ง การปล่อยวางและอย่าให้สิ่งรบกวนเล็กๆ น้อยๆ มากระทบต่อความสงบภายในของเราก็ดีที่สุด
  • เลือกปฏิกิริยาของเรา ชายหัวล้านอาจมีปฏิกิริยาด้วยความโกรธและความหงุดหงิด แต่เขาเลือกที่จะตอบโต้ด้วยความสงบและเฉยเมย มันสอนเราว่าเรามีอำนาจในการเลือกปฏิกิริยาต่อสถานการณ์และไม่ให้ปัจจัยภายนอกควบคุมอารมณ์ของเรา
  • มุมมองและความสำคัญ ความคิดเห็นของแมลงวันเกี่ยวกับความไม่สำคัญของมันเมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของผู้ชายเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของมุมมอง มันกระตุ้นให้เราประเมินความสำคัญของสิ่งที่รบกวนจิตใจเรา และไม่ให้ความสนใจและพลังงานมากเกินสมควร
  • สติและสมาธิ การตัดสินใจของชายหัวโล้นที่จะไม่สนใจแมลงวันและจดจ่ออยู่กับการเพลิดเพลินกับเวลาในสวน สะท้อนถึงพลังของการมีสติและการอยู่กับปัจจุบัน การเปลี่ยนทิศทางความสนใจของเราไปยังสิ่งที่สำคัญจริงๆ เราสามารถพบความสงบภายในแม้จะมีสิ่งรบกวนจากภายนอกก็ตาม

“We often have the power to choose how we react to minor annoyances, and by maintaining our composure, we can maintain our peace and tranquility.”

  • Letting go of trivial matters: The story reminds us not to let small inconveniences or annoyances consume our thoughts and emotions. Sometimes, it’s best to let go and not allow minor disturbances to affect our inner peace.
  • Choosing our reactions: The bald man could have reacted with anger and frustration, but he chose to respond with calmness and indifference. It teaches us that we have the power to choose our reactions to situations and not let external factors control our emotions.
  • Perspective and importance: The fly’s comment about its insignificance compared to the man’s reaction highlights the importance of perspective. It encourages us to evaluate the significance of the things that bother us and not give them more attention and energy than they deserve.
  • Mindfulness and focus: The bald man’s decision to ignore the fly and focus on enjoying his time in the garden reflects the power of mindfulness and being present in the moment. By redirecting our attention to what truly matters, we can find inner peace despite external disturbances.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เราปล่อยวางความระคายเคืองเล็กน้อย เลือกปฏิกิริยาของเราอย่างชาญฉลาด รักษามุมมอง และปลูกฝังสติ มันเตือนเราว่าเรามีอำนาจในการควบคุมอารมณ์ของเราและพบกับความเงียบสงบแม้ต้องเผชิญกับความรำคาญเล็กน้อย โดยนำคำสอนเหล่านี้ไปใช้ เราสามารถมีชีวิตที่สงบสุขและสมดุลมากขึ้น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “การต่อสู้ของชายหนุ่มกับราชสีห์” ไทย-Eng

“การต่อสู้ของชายหนุ่มกับราชสีห์” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความแข็งแกร่งพลังของธรรมชาติที่แท้จริง โดยความแข็งแกร่งหาใช่จากภายนอก แต่มันเริ่มมาจากภายใน

นิทานอีสปเรื่องการต่อสู้ของชายหนุ่มกับราชสีห์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชายคนหนึ่งกับสิงโตกำลังเดินอยู่ในป่าด้วยกัน พวกเขามีส่วนร่วมในการสนทนา หารือเกี่ยวกับจุดแข็งของตนและโอ้อวดเกี่ยวกับความสามารถของตน ชายผู้นั้นอ้างว่าตนเหนือกว่าสิงโตเพราะความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการทำอาวุธ

Once upon a time, a man and a lion were walking together through the forest. They engaged in a conversation, discussing their respective strengths and boasting about their abilities. The man claimed that he was superior to the lion because of his intelligence and the ability to make weapons.

สิงโตรู้สึกท้าทายและดูถูกจากคำพูดของชายคนนั้น จึงตัดสินใจสอนบทเรียนแก่เขา เขาหยุดเดินและพูดกับชายคนนั้นว่า “เรามาจัดการเรื่องนี้กันเสียที มาดูกันว่าใครจะเหนือกว่ากันจริงๆ ข้าจะให้คุณเห็นความแข็งแกร่งของข้า แล้วคุณจะได้เห็นข้อจำกัดของตัวเอง”

The lion, feeling challenged and insulted by the man’s words, decided to teach him a lesson. He stopped walking and said to the man, “Let’s settle this matter once and for all. Let’s see who is truly superior. I will show you my strength, and you will witness your own limitations.”

ราชสีห์คำรามเสียงดัง สำแดงฤทธานุภาพอันน่าเกรงขาม ชายผู้นั้นตัวสั่นด้วยความกลัว พยายามป้องกันตัวด้วยการแสดงอาวุธของเขา อย่างไรก็ตาม สิงโตสามารถปัดมันออกไปได้อย่างง่ายดายด้วยการปัดอุ้งเท้าเพียงครั้งเดียว

The lion roared loudly, displaying his mighty power and intimidating presence. The man, trembling with fear, attempted to defend himself by showing his weapons. However, the lion easily swiped them away with a single swipe of his paw.

เมื่อตระหนักถึงความเปราะบางของเขา ชายคนนั้นจึงคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตา สิงโตเห็นความกลัวในดวงตาของชายคนนั้นจึงตัดสินใจไว้ชีวิต เขากล่าวว่า “จำไว้ว่า ความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การโอ้อวดหรืออาวุธ แต่อยู่ที่ความอ่อนน้อมถ่อมตนและเคารพในพลังแห่งธรรมชาติ”

Realizing his vulnerability, the man fell to his knees, pleading for mercy. The lion, seeing the fear in the man’s eyes, decided to spare his life. He said, “Remember, the true strength lies not in boasting or weapons, but in humility and respect for the power of nature.”

ชายคนนั้นขอบคุณสิงโตอย่างนอบน้อมและได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่า เขาเข้าใจว่าพลังที่แท้จริงไม่สามารถวัดได้ด้วยสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์หรือความเย่อหยิ่ง ความแข็งแกร่งของสิงโตซึ่งมีมาแต่กำเนิดและเป็นธรรมชาตินั้นเหนือกว่าสิ่งเทียมใดๆ ที่มนุษย์ครอบครอง

The man humbly thanked the lion and learned a valuable lesson. He understood that true power cannot be measured by human inventions or arrogance. The strength of the lion, which was inherent and natural, far surpassed any artificial means the man possessed.

นิทานอีสปการต่อสู้ของชายหนุ่มกับราชสีห์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้วัดด้วยความเย่อหยิ่งหรือวิธีการเทียม มันอยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตนและการเคารพในพลังแห่งธรรมชาติ”

  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเคารพ เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเคารพต่อระเบียบธรรมชาติของสิ่งต่างๆ มันสอนให้เราไม่ประมาทหรือท้าทายกำลังที่ใหญ่กว่าของเรา
  • การตระหนักถึงข้อจำกัด การโอ้อวดและการพึ่งพาอาวุธของชายผู้นี้แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการยอมรับข้อจำกัดของตนเอง เรื่องราวนี้เตือนให้เราตระหนักถึงความสามารถของเราและหลีกเลี่ยงการประเมินตนเองสูงเกินไป
  • เคารพธรรมชาติ สิงโตเป็นสัญลักษณ์ของพลังและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เรื่องราวเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเคารพและชื่นชมโลกธรรมชาติ โดยเข้าใจว่าความสามารถของมนุษย์เรามีจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกัน
  • ให้ความสำคัญกับความอ่อนน้อมถ่อมตนมากกว่าความเย่อหยิ่ง ความเย่อหยิ่งและการโอ้อวดของชายผู้นี้ทำให้เขาตกต่ำ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคุณลักษณะที่มีค่ามากกว่าความเย่อหยิ่งจองหอง กระตุ้นให้เราเข้าใกล้ชีวิตด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยตระหนักว่ามีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้และทำความเข้าใจ

“True strength is not measured by arrogance or artificial means. It lies in humility and respect for the power of nature.”

  • Humility and respect: The story emphasizes the importance of humility and respect for the natural order of things. It teaches us not to underestimate or challenge forces greater than our own.
  • Recognizing limitations: The man’s boasting and reliance on weapons demonstrated his failure to acknowledge his own limitations. The story reminds us to be aware of our capabilities and to avoid overestimating ourselves.
  • Respecting nature: The lion symbolizes the power and majesty of nature. The story highlights the need to respect and appreciate the natural world, understanding that our human abilities are limited in comparison.
  • Valuing humility over arrogance: The man’s arrogance and boasting led to his downfall. The story teaches us that humility is a more valuable trait than pride and arrogance. It encourages us to approach life with humility, recognizing that there is always more to learn and understand.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนใจให้เราเข้าใกล้ชีวิตด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา และชื่นชมโลกธรรมชาติ โดยน้อมรับคำสอนเหล่านี้ เราสามารถปลูกฝังความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตน เรียนรู้จากประสบการณ์ของเรา และพัฒนาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสถานที่ของเราภายในแผนการใหญ่ของสิ่งต่างๆ

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ม้าจอมเย่อหยิ่งกับลาผู้ถ่อมตัว” ไทย-Eng

“ม้าจอมเย่อหยิ่งกับลาผู้ถ่อมตัว” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงคุณค่าของการถ่อมตน การทำงาน รักในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่มันสร้างคุณค่าให้ตัวเอง ผู้อื่น และโลกใบนี้

นิทานอีสปเรื่องม้าจอมเย่อหยิ่งกับลาผู้ถ่อมตัว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีม้าและลาตัวหนึ่งเป็นนายคนเดียวกัน ม้าแข็งแรง สง่างาม ใครๆ ก็ชื่นชม ส่วนลาถ่อมตัว ทำงานหนัก และมักถูกมองข้าม อยู่มาวันหนึ่ง เจ้านายตัดสินใจเดินทางไกล และต้องการสัตว์แบกภาระของเขา

Once upon a time, there was a horse and an ass who were owned by the same master. The horse was strong, graceful, and admired by everyone, while the ass was humble, hardworking, and often overlooked. One day, the master decided to go on a long journey and needed a beast of burden to carry his load.

ม้าผู้หยิ่งยโสในรูปร่างหน้าตาของมัน และเกลียดความคิดที่ต้องแบกภาระ จึงพูดกับลาว่า “เจ้าควรแบกภาระนี้ไว้ เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าถนัด ข้าช่างสูงส่งและน่าเกรงขามเหลือเกินสำหรับงานอันต่ำต้อยเช่นนี้” ลา แม้ในตอนแรกจะเจ็บปวดกับคำพูดของม้า แต่ก็ตอบอย่างใจเย็นว่า “จริงอยู่ว่าข้าไม่ยิ่งใหญ่เท่าเจ้า แต่ข้าเต็มใจทำงานที่ต้องทำให้เสร็จ”

The horse, proud of his appearance and despising the thought of carrying burdens, said to the ass, “You should carry the load, for that is what you are good at. I am far too noble and majestic for such menial tasks.” The ass, although initially hurt by the horse’s words, replied calmly, “It is true that I am not as grand as you, but I am willing to do the work that needs to be done.”

เมื่อการเดินทางเริ่มขึ้น ม้าก็เดินเพ่นพ่านเดินไปตามถนน ส่วนลาก็แบกของหนักไว้บนหลังโดยไม่บ่นสักคำ อย่างไรก็ตามระหว่างทางม้าเกิดสะดุดล้มลงไม่สามารถไปต่อได้ เจ้านายรู้สึกผิดหวัง และทิ้งม้าไว้ข้างหลัง ที่ไม่สามารถทำตามจุดประสงค์ได้

As the journey began, the horse pranced and strutted along the road, while the ass carried the heavy load on his back without complaint. However, along the way, the horse stumbled and fell, unable to continue. The master was disappointed and left the horse behind, unable to fulfill his purpose.

ระหว่างนั้น ลาก็บรรทุกของไปด้วย เดินไปเรื่อยๆ ตลอดทาง แม้จะมีรูปลักษณ์ที่เจียมเนื้อเจียมตัว แต่ลาก็พิสูจน์แล้วว่าเชื่อถือได้และมีความสามารถ เมื่อพวกเขาไปถึงที่หมาย นายก็ตระหนักถึงคุณค่าของการทำงานหนักของลา และชมเชยในความขยันหมั่นเพียรของมัน

Meanwhile, the ass carried on with the load, steadily plodding along the journey. Despite his modest appearance, the ass proved to be reliable and capable. When they reached their destination, the master realized the value of the ass’s hard work and praised him for his diligence.

นิทานอีสปม้าจอมเย่อหยิ่งกับลาผู้ถ่อมตัว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“สิ่งสำคัญคือต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและเต็มใจที่จะปฏิบัติงานที่จำเป็น โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญหรือสถานะในชีวิตของคุณ การทำงานหนักและความน่าเชื่อถือมักนำไปสู่การได้รับการยอมรับและความสำเร็จ”

  • คุณค่าของความอ่อนน้อมถ่อมตน: เรื่องราวเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนและการตระหนักถึงคุณค่าของงานทุกชิ้น ไม่ว่างานนั้นจะดูต่ำต้อยเพียงใด ความเต็มใจของลาที่จะทำงานที่ต้องทำให้เสร็จแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตัวละครของมัน
  • การปฏิบัติตามความรับผิดชอบ: เรื่องราวนี้สอนเราว่าการปฏิบัติตามความรับผิดชอบและหน้าที่ของเราเป็นสิ่งสำคัญ การปฏิเสธของม้าที่จะแบกภาระทำให้เขาล้มลงในขณะที่ความตั้งใจของลาที่จะแบกภาระทำให้เขาประสบความสำเร็จ
  • หลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่ง: เรื่องราวเตือนถึงอันตรายของความเย่อหยิ่งและความจองหอง ความเย่อหยิ่งของม้าและความเชื่อในความเหนือกว่าของมันขัดขวางไม่ให้เขาทำตามจุดประสงค์ ในขณะที่ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความทุ่มเทของลาทำให้เขาประสบความสำเร็จ
  • การตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริง: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตระหนักถึงคุณค่าและคุณค่าที่แท้จริงของปัจเจกบุคคลนอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอก แม้ว่าลาจะถูกมองข้ามในตอนแรก แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าเชื่อถือได้และสามารถทำงานของมันได้

“It’s important to be humble and willing to perform tasks that are necessary, regardless of their perceived significance or your station in life. Hard work and reliability often lead to recognition and success.”

  • Value of humility: The story highlights the importance of humility and recognizing the worth of every task, no matter how menial it may seem. The ass’s willingness to do the work that needed to be done demonstrated the strength of his character.
  • Fulfilling responsibilities: The story teaches us that it is essential to fulfill our responsibilities and duties. The horse’s refusal to carry the load led to his downfall, while the ass’s willingness to carry the burden led to his success.
  • Avoiding arrogance: The story warns against the dangers of arrogance and pride. The horse’s arrogance and belief in his superiority prevented him from fulfilling his purpose, while the ass’s humility and dedication allowed him to succeed.
  • Recognizing true worth: The story emphasizes the importance of recognizing the true worth and value of individuals beyond their outward appearance. The ass, despite being overlooked initially, proved to be reliable and capable in carrying out his tasks.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เราน้อมรับความอ่อนน้อมถ่อมตน ปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเรา หลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่ง และเห็นคุณค่าที่แท้จริงของตนเองและผู้อื่น ด้วยการรวบรวมคำสอนเหล่านี้ เราสามารถมีชีวิตที่สมดุลและเติมเต็มมากขึ้น ตระหนักถึงคุณค่าในงานทั้งหมดและเคารพในการมีส่วนร่วมของผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “จิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับคนตัดไม้” ไทย-Eng

“จิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับคนตัดไม้” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการหลอกลวง คำมั่นสัญญาที่เกินจริง ย่อมไม่มีจริงในโลก ในทางกลับกันการทำงานหนักกับงานที่ดี ย่อมส่งผลดีต่อชีวิต ชีวิตจริงไม่มีทางลัด

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับคนตัดไม้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในป่า เมื่อมันได้พบกับคนตัดไม้ คนตัดไม้แบกฟ่อนไม้ไว้บนหลัง ดูเหนื่อยจากการทำงาน สุนัขจิ้งจอกซึ่งมีไหวพริบและมีไหวพริบจึงตัดสินใจเข้าหาคนตัดไม้และพูดคุยกับเขา

Once upon a time, a fox was wandering through the forest when he came across a woodman. The woodman was carrying a bundle of sticks on his back and seemed tired from his work. The fox, being cunning and quick-witted, decided to approach the woodman and engage him in conversation.

สุนัขจิ้งจอกถามคนตัดไม้ว่าทำไมเขาถึงแบกของหนักเช่นนี้ คนตัดไม้อธิบายว่าเขาต้องการไม้เพื่อจุดไฟและหาเลี้ยงชีพ สุนัขจิ้งจอกรู้สึกทึ่งกับคำตอบของคนตัดไม้ จึงคิดแผนอันชาญฉลาดขึ้นมา

The fox asked the woodman why he was carrying such a heavy load. The woodman explained that he needed the sticks to fuel his fire and earn a living. Intrigued by the woodman’s answer, the fox came up with a clever plan.

สุนัขจิ้งจอกพูดกับคนตัดไม้ว่า “ถ้าเจ้าทิ้งไม้ที่บรรทุกมาและตามข้ามา ข้าจะพาคุณไปหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในป่า เจ้าจะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป” คนตัดไม้ที่ถูกล่อลวงด้วยคำสัญญาเรื่องความมั่งคั่งและชีวิตที่ง่ายขึ้น จึงตกลงตามข้อเสนอของสุนัขจิ้งจอก

The fox said to the woodman, “If you throw your load of sticks away and follow me, I will lead you to a hidden treasure in the forest. You won’t have to work so hard anymore.” The woodman, enticed by the promise of wealth and an easier life, agreed to the fox’s proposition.

ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า สุนัขจิ้งจอกก็พาคนตัดไม้เป็นวงกลม หลอกให้เขาเชื่อว่าพวกเขาเข้าใกล้สมบัติมากขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน คนตัดไม้ก็ตระหนักว่าเขาถูกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์หลอก เขาสูญเสียไม้เท้า และเสียเวลาไปกับการทำตามสัญญาที่ว่างเปล่า

As they walked deeper into the forest, the fox led the woodman in circles, tricking him into believing they were getting closer to the treasure. After a while, the woodman realized that he had been deceived by the cunning fox. He had lost his load of sticks and wasted his time pursuing an empty promise.

คนตัดไม้ได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าจากการเผชิญหน้าครั้งนี้ เขาตระหนักว่าเขาไม่ควรถูกชักจูงโดยคำสัญญาที่ดูดีเกินจริง การทำงานหนัก และความอุตสาหะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จ และทางลัดมักจะนำไปสู่ความผิดหวังและการสูญเสีย

The woodman learned a valuable lesson from this encounter. He realized that he should not be easily swayed by promises that seem too good to be true. Hard work and perseverance are necessary for success, and shortcuts often lead to disappointment and loss.

นิทานอีสปจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับคนตัดไม้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การทำงานหนักและความอุตสาหะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ และทางลัดหรือคำสัญญาที่ดูดีเกินจริงสามารถนำไปสู่ความผิดหวังและการสูญเสียได้”

  • ระวังการหลอกลวง เรื่องราวเตือนเราให้ระวังคำสัญญาและข้อเสนอหลอกลวงที่ดูเหมือนจะดีเกินจริง มันเตือนให้เราคิดอย่างมีวิจารณญาณและไม่ถูกชักจูงโดยคำพูดเปล่าๆ หรือสิ่งยั่วยวนจอมปลอม
  • คุณค่าของงานหนักและความอุตสาหะ งานเริ่มต้นของคนตัดไม้ในการแบกท่อนไม้แสดงถึงความทุ่มเทและความทุ่มเทของเขา เรื่องราวนี้กระตุ้นให้เราเห็นคุณค่าของการทำงานหนัก เนื่องจากความสำเร็จมักจะมาจากความพยายามและความอุตสาหะอย่างสม่ำเสมอ
  • อย่าหาทางลัด สุนัขจิ้งจอกเสนอสมบัติที่ซ่อนอยู่เป็นทางลัดที่นำไปสู่ความผิดหวังในที่สุด นิทานเรื่องนี้สอนเราว่าการใช้ทางลัดหรือพยายามข้ามขั้นตอนที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายอาจส่งผลเสียได้
  • ระวังด้วยความไว้ใจ คนตัดไม้ไว้ใจสุนัขจิ้งจอกโดยไม่ถามถึงเจตนาของเขา ซึ่งนำไปสู่การสูญเสีย เรื่องราวนี้เตือนให้เราระมัดระวังเมื่อไว้วางใจผู้อื่นและประเมินแรงจูงใจและความน่าเชื่อถือของพวกเขาก่อนตัดสินใจ

“Hard work and perseverance are key to success, and shortcuts or promises that seem too good to be true can lead to disappointment and loss.”

  • Beware of deceit: The story warns us to be cautious of deceitful promises and offers that appear too good to be true. It reminds us to think critically and not be easily swayed by empty words or false allure.
  • Value hard work and perseverance: The woodman’s initial task of carrying the load of sticks represented his hard work and dedication. The story encourages us to value the importance of hard work, as success often comes through consistent effort and perseverance.
  • Don’t seek shortcuts: The fox’s offer of a hidden treasure was a shortcut that ultimately led to disappointment. The story teaches us that taking shortcuts or trying to bypass the necessary steps in achieving our goals can have negative consequences.
  • Be cautious with trust: The woodman trusted the fox without questioning his intentions, which led to his loss. The story reminds us to be cautious when placing our trust in others and to evaluate their motives and credibility before making decisions.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้ระแวดระวัง เห็นคุณค่าของการทำงานหนัก หลีกเลี่ยงทางลัด และระมัดระวังเมื่อไว้วางใจ โดยน้อมรับคำสอนเหล่านี้ เราสามารถตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ก้าวผ่านความท้าทายของชีวิต และมุ่งไปสู่ความสำเร็จและความสมหวังอย่างแท้จริง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ลิงจอมซนกับโลมาผู้ใจดี” ไทย-Eng

“ลิงจอมซนกับโลมาผู้ใจดี” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติของเรา ความอ่อนน้อมถ่อมตน และอันตรายของการเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เป็น

นิทานอีสปเรื่องลิงจอมซนกับโลมาผู้ใจดี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลิงอาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งและชอบเล่นใกล้ชายฝั่ง วันหนึ่งเขาสังเกตเห็นปลาโลมาว่ายอยู่ใกล้ๆ ตื่นเต้นที่ได้พบกับโลมา ลิงร้องเรียกเขาและถามว่ามันว่ายน้ำได้ไหม ปลาโลมาตอบว่ามันว่ายน้ำได้ดีมากจึงชวนลิงลงน้ำลึกลงไปด้วย

Once upon a time, a monkey lived on an island and loved to play near the seashore. One day, he noticed a dolphin swimming nearby. Excited to meet the dolphin, the monkey called out to him and asked if he could swim. The dolphin replied that he could swim very well and invited the monkey to come with him to the deeper waters.

ลิงตัวนั้นกระตือรือร้นที่จะเล่นกับปลาโลมาแต่ไม่รู้วิธีว่ายน้ำ ตั้งใจจะไปให้ถึงปลาโลมา มันจึงวางแผน เขาพบกะลามะพร้าวกลวงขนาดใหญ่และผูกมันไว้รอบเอวของมันอย่างแน่นหนาเพื่อสร้างเครื่องช่วยพยุงชั่วคราว เมื่อกะลามะพร้าวถูกมัด ลิงก็กระโดดลงไปในน้ำและเริ่มว่ายไปหาปลาโลมา

The monkey was eager to join the dolphin but didn’t know how to swim. Determined to reach the dolphin, he hatched a plan. He found a large hollow coconut shell and fastened it tightly around his waist, creating a makeshift buoyancy aid. With the coconut shell secured, the monkey jumped into the water and started to paddle towards the dolphin.

อย่างไรก็ตามในขณะที่ลิงพยายามว่ายน้ำกะลามะพร้าวก็หลุดออกจากเอว และจมลงสู่ก้นทะเล เมื่อรู้ว่าลิงกำลังมีปัญหา โลมาผู้เห็นอกเห็นใจจึงว่ายอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลือมัน มันอุ้มลิงขึ้นหลังแล้วพากลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย

However, as the monkey struggled to swim, the coconut shell slipped off his waist and sank to the bottom of the sea. Realizing that the monkey was in trouble, the compassionate dolphin quickly swam to his aid. He lifted the monkey onto his back and safely carried him back to the shore.

เมื่อพวกมันถึงฝั่ง ลิงก็ขอบคุณโลมาที่ช่วยชีวิตมัน และยอมรับว่ามันโง่เขลาของตัวเอง มันตระหนักว่าการเสแสร้งเป็นบางสิ่งที่มันไม่ได้เป็น ทำให้มันตกอยู่ในอันตราย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ลิงก็ยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น และชื่นชมความช่วยเหลือและความใจดีของผู้อื่น

Once they reached the shore, the monkey thanked the dolphin for saving him and admitted his foolishness. He realized that pretending to be something he wasn’t had put him in danger. From that day forward, the monkey accepted himself as he was and appreciated the help and kindness of others.

นิทานอีสปลิงจอมซนกับโลมาผู้ใจดี

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“สิ่งสำคัญคือต้องซื่อสัตย์กับตัวเองและไม่แสร้งทำเป็นในสิ่งที่คุณไม่ใช่ การพยายามเป็นคนอื่นอาจนำไปสู่ความยากลำบากและอันตรายได้”

  • การยอมรับตนเอง เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการยอมรับตนเองในแบบที่เราเป็น การพยายามเป็นบางอย่างหรือคนที่ไม่ใช่เราอาจนำไปสู่ปัญหาและความยากลำบากได้ การเปิดรับจุดแข็งและข้อจำกัดของเราช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นและขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
  • ความซื่อสัตย์และความอ่อนน้อมถ่อมตน ลิงเต็มใจที่จะยอมรับความโง่เขลาของตนและชื่นชมความช่วยเหลือของโลมา แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของความซื่อสัตย์และความอ่อนน้อมถ่อมตน การยอมรับความผิดพลาดของเราและแสดงความขอบคุณช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและกระตุ้นให้ผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ
  • อันตรายจากการเสแสร้ง เรื่องราวเตือนถึงอันตรายของการเสแสร้งเป็นใครบางคนหรือสิ่งที่เราไม่ใช่ มันเตือนเราว่าความไม่ซื่อสัตย์และการเสแสร้งสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจและทำให้เราตกอยู่ในอันตรายได้ เป็นการดีกว่าที่จะจริงใจและจริงใจในการโต้ตอบกับผู้อื่น
  • คุณค่าของความเมตตาและความช่วยเหลือ การแสดงความเมตตาและการช่วยเหลือของโลมาแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของความเมตตาและการช่วยเหลือผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้แสดงความกรุณาและความช่วยเหลือทุกครั้งที่ทำได้ เนื่องจากอาจสร้างความแตกต่างที่สำคัญในชีวิตของใครบางคนได้

“It’s important to be true to yourself and not pretend to be something you’re not. Trying to be someone else can lead to difficulties and even danger.”

  • Accepting oneself: The story highlights the importance of accepting ourselves as we are. Trying to be something or someone we’re not can lead to trouble and difficulties. Embracing our strengths and limitations allows us to make better choices and seek help when needed.
  • Honesty and humility: The monkey’s willingness to admit his foolishness and appreciate the dolphin’s help demonstrates the virtues of honesty and humility. Acknowledging our mistakes and expressing gratitude fosters stronger relationships and encourages others to come to our aid.
  • The dangers of pretending: The story warns against the dangers of pretending to be someone or something we’re not. It reminds us that dishonesty and pretending can lead to unfavorable outcomes and put us in harm’s way. It’s better to be authentic and genuine in our interactions with others.
  • The value of compassion and help: The dolphin’s act of kindness and rescue illustrates the value of compassion and helping others in need. It serves as a reminder to extend kindness and assistance whenever possible, as it can make a significant difference in someone’s life.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของการยอมรับตนเอง ความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และอันตรายของการเสแสร้ง โดยเน้นย้ำถึงคุณค่าของความเห็นอกเห็นใจและเน้นถึงผลกระทบเชิงบวกที่ช่วยเหลือผู้อื่นได้ การซื่อสัตย์ต่อตนเองและโอบรับความเมตตาของผู้อื่น เราสามารถผ่านความท้าทายของชีวิตด้วยปัญญาและพระคุณที่ยิ่งใหญ่กว่า

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ลูกปูกับแม่ปู” ไทย-Eng

“ลูกปูกับแม่ปู” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการรับรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของตัวตนเรา การยอมรับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกสิ่ง และความสำคัญของคำสอนของผู้ที่รักเรา

นิทานอีสปเรื่องปูหนุ่มกับแม่ปู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ลูกปูตัวหนึ่งกำลังเดินเคียงข้างแม่ของมันที่ชายทะเล ขณะที่พวกเขาเดินเล่น ปูหนุ่มสังเกตุเห็นแม่ของมันเดินอย่างสง่างาม ในขณะที่มันมักจะเดินไปด้านข้าง

Once upon a time, a young crab was walking alongside his mother on the seashore. As they strolled, the young crab noticed his mother walking gracefully and straight, while he tended to walk sideways.

“ทำไมเดินแบบนั้นล่ะแม่” ปูหนุ่มถาม

“Why do you walk like that, Mother?” the young crab asked.

แม่ของเขายิ้มและตอบว่า “ลูกรัก ปูเดินอย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติของเรา”

His mother smiled and replied, “My dear child, this is how crabs walk. It is our nature.”

ปูหนุ่มไม่พอใจกับคำตอบของแม่ จึงอุทานว่า “แต่ฉันไม่อยากเดินไปด้านข้าง! ฉันอยากเดินตัวตรงเหมือนสัตว์อื่นๆ!”

Unsatisfied with his mother’s response, the young crab exclaimed, “But I don’t want to walk sideways! I want to walk straight like other creatures!”

แม่ของเขาถอนหายใจและพูดว่า “การเดินด้านข้างเป็นวิถีชีวิตของเรา และมันทำให้เราปลอดภัย มันช่วยให้เราเดินเรือในภูมิประเทศที่ไม่เรียบของชายทะเล และหลีกเลี่ยงนักล่า จงโอบกอดมันไว้ ลูกรักของแม่”

His mother sighed and said, “Walking sideways is our way of life, and it keeps us safe. It allows us to navigate the uneven terrain of the seashore and avoid predators. Embrace who you are, my child.”

อย่างไรก็ตามปูหนุ่มน้อยไม่ยอมฟัง มันตั้งใจแน่วแน่ที่จะเดินตัวตรงเหมือนสัตว์อื่นๆ โดยไม่สนใจคำแนะนำของแม่ ขณะที่เขาพยายามเลียนแบบการเคลื่อนไหวของพวกมัน เขาก็สะดุดและตกลงไปในน้ำ กลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับปลาที่หิวโหย

However, the young crab refused to listen. He became determined to walk straight like other animals, ignoring his mother’s advice. As he tried to imitate their movements, he stumbled and fell into the water, becoming an easy target for a hungry fish.

เมื่อเห็นลูกของเธอตกอยู่ในอันตราย แม่ปูจึงรีบเข้าไปช่วยและดึงเขากลับมายังที่ปลอดภัย ปูหนุ่มหอบหายใจด้วยความสำนึกในความโง่เขลาของตนและพูดว่า “แม่ แม่พูดถูก การเดินด้านข้างเป็นความสามารถตามธรรมชาติของเรา และมันป้องกันเราจากอันตราย ฉันควรจะฟังแม่”

Seeing her child in danger, the mother crab rushed to his aid and pulled him back to safety. Gasping for breath, the young crab realized his foolishness and said, “Mother, you were right. Walking sideways is our natural ability, and it keeps us out of harm’s way. I should have listened to you.”

นิทานอีสปลูกปูกับแม่ปู

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“สิ่งสำคัญคือต้องยอมรับและชื่นชมความสามารถและคุณลักษณะตามธรรมชาติของตน การพยายามเป็นสิ่งที่คุณไม่ใช่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงและความยากลำบากโดยไม่จำเป็น”

  • ยอมรับความเป็นเอกลักษณ์ของคุณ เราแต่ละคนมีคุณสมบัติและความสามารถเฉพาะของตนเอง เรื่องราวเตือนใจให้เรายอมรับว่าเราเป็นใครแทนที่จะพยายามเป็นคนอื่น การยอมรับตัวเองและลักษณะตามธรรมชาติของเราทำให้เรามีความแข็งแกร่งและความถูกต้อง
  • ฟังสติปัญญา ความกระตือรือร้นของปูหนุ่มที่จะปฏิบัติตามแนวทางของผู้อื่นทำให้เขาไม่สนใจคำแนะนำอันชาญฉลาดของแม่ เป็นการเน้นความสำคัญของการฟังภูมิปัญญาของผู้ที่มีประสบการณ์และความรู้มากกว่า
  • เคารพธรรมชาติและสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ความปรารถนาของปูวัยเด็กที่จะเดินตัวตรงขัดกับธรรมชาติโดยกำเนิดของปู เรื่องราวนี้กระตุ้นให้เราเคารพและชื่นชมธรรมชาติของสิ่งต่างๆ โดยตระหนักว่ามีจุดประสงค์และภูมิปัญญาในวิถีทางของสิ่งต่างๆ
  • เรียนรู้จากความผิดพลาด ความโชคร้ายของปูหนุ่ม และการตระหนักรู้ในภายหลังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา มันเตือนเราว่าบางครั้ง การประสบผลของการกระทำของเราก็จำเป็นต่อการเติบโตและความเข้าใจส่วนบุคคล

“Important to embrace and appreciate one’s natural abilities and characteristics. Trying to be something you’re not can lead to unnecessary risks and difficulties.”

  • Embrace your uniqueness: Each of us has our own unique qualities and abilities. The story reminds us to embrace who we are instead of trying to be someone else. Accepting ourselves and our natural traits brings us strength and authenticity.
  • Listen to wisdom: The young crab’s eagerness to conform to the ways of others caused him to disregard his mother’s wise counsel. It emphasizes the importance of listening to the wisdom of those who have more experience and knowledge.
  • Respect nature and natural instincts: The young crab’s desire to walk straight went against the inherent nature of crabs. The story encourages us to respect and appreciate the natural order of things, recognizing that there is purpose and wisdom in the way things are.
  • Learn from mistakes: The young crab’s misfortune and subsequent realization highlight the importance of learning from our mistakes. It reminds us that sometimes, experiencing the consequences of our actions is necessary for personal growth and understanding.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้จักคุณค่าของการยอมรับเอกลักษณ์ของเรา เคารพธรรมชาติ และรับฟังภูมิปัญญาของผู้อื่น มันกระตุ้นให้เราให้เกียรติความสามารถตามธรรมชาติของเราและรู้สึกขอบคุณสำหรับลักษณะที่ทำให้เราปลอดภัยและช่วยให้เราฝ่าฟันความท้าทายในชีวิตได้

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ชาวประมงกับปลาตัวน้อย” ไทย-Eng

“ชาวประมงกับปลาตัวน้อย” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความมีเมตตากรุณา และความเห็นใจแต่ผู้อื่น ย่อมส่งผลดีต่อเราทั้งกายและใจ ถึงแม้ไม่ได้อะไรตอบแทน แต่ความดีเป็นสิ่งไม่ตาย

นิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับปลาตัวน้อย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวประมงคนหนึ่งอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ ทุกวันเขาจะเหวี่ยงแหลงไปในน้ำเพื่อหวังจะจับปลาไปขายที่ตลาด วันหนึ่งขณะที่เขากำลังดึงแห เขาสังเกตเห็นปลาตัวเล็กๆ ติดอยู่ในนั้น

Once upon a time, there was a fisherman who lived by the side of a river. Every day, he would cast his net into the water, hoping to catch fish to sell at the market. One day, as he was pulling in his net, he noticed a small fish caught in it.

ปลาตัวน้อยอ้อนวอนชาวประมงว่า “ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าตัวเล็กเกินไปและไม่มีค่าอะไรมาก ถ้าเจ้าปล่อยข้า ข้าสัญญาว่าฉันจะตัวใหญ่ขึ้น และจับปลาได้อร่อยกว่านี้ในอนาคต”

The little fish pleaded with the fisherman, “Please let me go! I am too small and not worth much. If you release me, I promise I will grow bigger and make a much tastier catch for you in the future.”

ชาวประมงหัวเราะและพูดว่า “ทำไมข้าถึงปล่อยเจ้าไป เจ้าเป็นแค่ปลาตัวเล็กๆ ข้าจะจับปลาที่ใหญ่กว่า และมีค่ามากกว่าคุณหลายตัว ตอนไหนก็ได้”

The fisherman laughed and said, “Why would I let you go? You are just a tiny fish. I have caught many bigger and more valuable fish than you.”

แต่ปลาตัวน้อยยังคงยืนกราน “ถ้าเจ้าปล่อยข้าตอนนี้ ข้าจะขอบคุณตลอดไป และระลึกถึงความเมตตาของเจ้า สักวันหนึ่ง เจ้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากข้า และข้าจะไปอยู่ที่นั่นเพื่อเจ้า”

But the little fish persisted, “If you release me now, I will be eternally grateful and remember your kindness. One day, you might need my help, and I will be there for you.”

ด้วยอยากรู้เกี่ยวกับคำพูดของปลาน้อย ชาวประมงจึงตัดสินใจทำตามคำขอ เขาวางปลากลับลงไปในแม่น้ำอย่างเบามือ และมันก็ว่ายจากไปอย่างมีความสุข

Curious about the little fish’s words, the fisherman decided to grant its request. He gently placed the fish back into the river, and it swam away happily.

หลายเดือนผ่านไป ชาวประมงต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก อวนของเขายังคงว่างเปล่า และเขาพยายามที่จะจับปลาสักตัว ผิดหวังและหิว เขานั่งริมแม่น้ำรู้สึกพ่ายแพ้

Months passed, and the fisherman faced difficult times. His net remained empty, and he struggled to catch any fish. Frustrated and hungry, he sat by the river feeling defeated.

ทันใดนั้นปลาตัวเล็กๆ ที่เขาปล่อยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา มันกล่าวว่า “อย่าสิ้นหวัง ชาวประมง ข้าจำความเมตตาของเจ้าได้ และตอนนี้ข้าจะตอบแทนมัน ตามข้ามา”

Suddenly, the little fish he had released appeared before him. It said, “Do not despair, fisherman. I remember your act of kindness, and now I will repay it. Follow me.”

ชาวประมงเดินตามปลาตัวเล็กๆ ไปตามกระแสน้ำจนถึงจุดที่มีฝูงปลาขนาดใหญ่ และมีค่ามากมายรวมกันอยู่ ชาวประมงผู้นั้นทอดแหและจับปลาได้มากมายด้วยความซาบซึ้งใจ

The fisherman followed the little fish downstream to a spot where a large school of big and valuable fish had gathered. Overwhelmed with gratitude, the fisherman cast his net and caught an abundant supply of fish.

ชาวประมงผู้นี้ตระหนักถึงความสำคัญของการแสดงน้ำใจและความเห็นอกเห็นใจ แม้ต่อผู้ที่ดูเหมือนไม่มีความสำคัญ ความกตัญญูและความเต็มใจของปลาตัวน้อยที่จะช่วยเหลือในยามคับขันของชาวประมงได้สอนบทเรียนอันมีค่าแก่เขา

The fisherman realized the importance of showing kindness and compassion, even to those who seem insignificant. The little fish’s gratitude and willingness to help in the fisherman’s time of need taught him a valuable lesson.

นิทานอีสปชาวประมงกับปลาตัวน้อย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความมีน้ำใจและความเห็นอกเห็นใจ แม้จะดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญ แต่ก็สามารถนำไปสู่รางวัลและความช่วยเหลือที่ไม่คาดคิดเมื่อคุณคาดหวังน้อยที่สุด”

  • ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ เรื่องราวเน้นความสำคัญของการแสดงความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงขนาดหรือสถานะ การแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ สามารถให้ผลตอบแทนที่สำคัญและคาดไม่ถึงได้
  • การแลกเปลี่ยนและความกตัญญู คำสัญญาของปลาตัวน้อยที่จะช่วยเหลือชาวประมงในอนาคตแสดงให้เห็นถึงพลังของการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันและความกตัญญู การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา เราสร้างวงจรเชิงบวกที่อาจเป็นประโยชน์ต่อเราเมื่อเราคาดหวังน้อยที่สุด
  • คุณค่าเหนือรูปลักษณ์ภายนอก ในตอนแรก ชาวประมงไม่สนใจปลาตัวเล็กโดยพิจารณาจากขนาดและมูลค่าที่มองเห็นได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้เตือนเราว่าคุณค่ามีมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก สิ่งมีชีวิตทุกตัวมีคุณค่าในตัวเองและมีศักยภาพในการสร้างผลกระทบในเชิงบวก
  • แรงกระเพื่อมของการกระทำ การตัดสินใจของชาวประมงที่จะปล่อยปลาตัวเล็กมีผลกระเพื่อม ความเมตตาของเขาไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อปลาเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีในชีวิตของเขาเองด้วย

“Kindness and compassion, even to the seemingly insignificant, can lead to unexpected rewards and assistance when you least expect it.”

  • Kindness and compassion: The story emphasizes the importance of showing kindness and compassion to others, regardless of their size or status. Small acts of kindness can have significant and unexpected rewards.
  • Reciprocity and gratitude: The little fish’s promise to help the fisherman in the future demonstrates the power of reciprocity and gratitude. By treating others with kindness, we create a positive cycle that may benefit us when we least expect it.
  • Value beyond appearances: The fisherman initially dismissed the little fish based on its size and perceived value. However, the story reminds us that value goes beyond outward appearances. Every being has inherent worth and the potential to make a positive impact.
  • The ripple effect of actions: The fisherman’s decision to release the little fish had a ripple effect. His act of kindness not only benefited the fish but also brought about a positive change in his own life.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อในคุณค่าของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงขนาดหรือรูปร่างหน้าตา กระตุ้นให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจและเอื้ออาทร โดยรู้ว่าการกระทำของเราอาจมีผลกว้างไกลและนำพรที่คาดไม่ถึงมาสู่ชีวิตเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “การแข่งขันของจิ้งจอกกับงู” ไทย-Eng

“การแข่งขันของจิ้งจอกกับงู” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการรู้ถึงคุณค่าของงความสามารถของตัวเองและผู้อื่น การเคารพในตัวตนของผู้อื่น เป็นความสวยงามของธรรมชาติ

นิทานอีสปเรื่องการแข่งขันของจิ้งจอกกับงู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สุนัขจิ้งจอกกับงูเป็นเพื่อนบ้านอาศัยอยู่ในป่าเดียวกัน สุนัขจิ้งจอกขึ้นชื่อในเรื่องไหวพริบและความเฉลียวฉลาด ในขณะที่งูมีความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ อยู่มาวันหนึ่งพวกเขาพบกันใกล้ที่โล่งในป่า

Once upon a time, a fox and a snake were neighbors living in the same forest. The fox was known for its cunning and intelligence, while the snake possessed the ability to move swiftly and silently. One day, they happened to meet near a clearing in the forest.

สุนัขจิ้งจอกด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงถามงูว่า “ทำไมเจ้าถึงคลานบนพื้นในขณะที่ข้าสามารถวิ่งและกระโดดได้อย่างอิสระ”

The fox, being curious, asked the snake, “Why is it that you crawl on the ground while I can run and jump freely?”

งูตอบว่า “ถึงข้าจะเคลื่อนไหวไม่ได้เหมือนเจ้า แต่ข้าก็มีจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร ข้าสามารถเลื้อยอย่างเงียบๆ ผ่านหญ้าและซ่อนตัวในที่แคบๆ

The snake replied, “Though I cannot move as you do, I have my own unique strengths. I can slither quietly through the grass and hide in narrow spaces where you cannot reach. My abilities serve me well in hunting and staying safe.”

อย่างไรก็ตาม สุนัขจิ้งจอกรู้สึกภูมิใจในความว่องไวและความเร็วของมันเอง และเยาะเย้ยงูที่เชื่องช้าและมีเหตุผล มันท้าทายงูให้แข่งขันด้วยความมั่นใจในชัยชนะ

The fox, however, felt proud of its own agility and speed and mocked the snake for being slow and grounded. It challenged the snake to a race, confident of its victory.

พวกมันตกลงในสนามและการแข่งขันก็เริ่มขึ้น สุนัขจิ้งจอกวิ่งไปข้างหน้า กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางอย่างง่ายดายและครอบคลุมระยะทางไกล ในขณะเดียวกัน งูก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปตามพื้นดิน เคลื่อนตัวผ่านพุ่มไม้อย่างชำนาญ

They agreed on a course, and the race began. The fox sprinted ahead, effortlessly leaping over obstacles and covering great distances. Meanwhile, the snake swiftly moved along the ground, skillfully maneuvering through the underbrush.

เมื่อสุนัขจิ้งจอกถึงเส้นชัย มันก็หันไปหางูที่อยู่ข้างหลังมัน ซึ่งก็มาถึงที่หมายแล้วเช่นกัน สุนัขจิ้งจอกประหลาดใจและถามว่า “เจ้าตามข้าทันได้ยังไง ในเมื่อข้าวิ่งเร็วกว่านี้มาก”

As the fox reached the finish line, it turned around to find the snake right behind it, having reached the destination as well. The fox was surprised and asked, “How did you catch up to me when I ran so much faster?”

งูตอบอย่างใจเย็นว่า “ในขณะที่เจ้ามุ่งเน้นไปที่ความเร็วและความว่องไว ข้าใช้ความสามารถเฉพาะตัวของข้าเพื่อนำทางอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งมีชีวิตทุกตัวมีจุดแข็งของตัวเอง และสิ่งสำคัญคือต้องรู้จักและชื่นชมพวกเขามากกว่าที่จะดูแคลนผู้อื่น”

The snake calmly replied, “While you focused on speed and agility, I utilized my own unique abilities to navigate the path effectively. Every creature has its own strengths, and it is important to recognize and appreciate them rather than belittling others.”

สุนัขจิ้งจอกตระหนักถึงความผิดพลาดของมันและยอมรับในคุณค่าของทักษะของงู ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พวกมันเคารพความสามารถของกันและกันและอยู่อย่างปรองดองในฐานะเพื่อนบ้าน

The fox realized its mistake and acknowledged the value of the snake’s skills. From that day forward, they respected each other’s abilities and lived harmoniously as neighbors.

นิทานอีสปการแข่งขันของจิ้งจอกกับงู

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ทุกคนมีจุดแข็งและความสามารถเฉพาะตัว และสิ่งสำคัญคือต้องรับรู้และชื่นชมความแตกต่างเหล่านี้ แทนที่จะดูถูกผู้อื่น”

  • ชื่นชมความหลากหลาย สุนัขจิ้งจอกและงูแสดงถึงความแข็งแกร่งและความสามารถที่แตกต่างกัน เรื่องราวนี้เตือนเราถึงความสำคัญของการชื่นชมและเคารพความสามารถและความสามารถที่หลากหลายของผู้อื่น ทุกคนมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนใครที่จะนำเสนอ และการตระหนักและให้คุณค่ากับความแตกต่างเหล่านั้นจะส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือ
  • หลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่งและความเย่อหยิ่ง ความเย่อหยิ่งของสุนัขจิ้งจอกทำให้มันประเมินงูต่ำเกินไปและดูแคลนความสามารถของมัน เรื่องราวนี้เตือนถึงความเย่อหยิ่งและความเย่อหยิ่ง โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเข้าหาผู้อื่นด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและเปิดใจ การตัดสินจากความสามารถของตนเองเพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่การมองข้ามจุดแข็งและคุณสมบัติของผู้อื่น
  • ตระหนักถึงคุณค่าของทักษะต่างๆ ความสามารถของงูในการเคลื่อนที่อย่างเงียบเชียบและนำทางในพื้นที่แคบๆ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีค่าพอๆ กับความเร็วและความว่องไวของสุนัขจิ้งจอก เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจว่าทักษะและพรสวรรค์ที่แตกต่างกันนั้นจำเป็นในสถานการณ์ต่างๆ การทำงานร่วมกันและความร่วมมือระหว่างบุคคลที่มีความสามารถหลากหลายนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
  • เคารพในผลงานของผู้อื่น สุนัขจิ้งจอกเรียนรู้ที่จะชื่นชมทักษะและความสามารถของงู โดยตระหนักว่าทั้งคู่มีบางสิ่งที่มีคุณค่าที่จะมอบให้ เรื่องราวนี้สอนเราถึงความสำคัญของการยอมรับและเคารพในการมีส่วนร่วมของผู้อื่น แม้ว่าวิธีการและความสามารถของพวกเขาจะแตกต่างจากของเราก็ตาม

“Every individual possesses unique strengths and abilities, and it’s important to recognize and appreciate these differences rather than belittling others.”

  • Appreciating diversity: The fox and the snake represent different strengths and abilities. The story reminds us of the importance of appreciating and respecting the diverse talents and capabilities of others. Everyone has something unique to offer, and recognizing and valuing those differences fosters understanding and cooperation.
  • Avoiding pride and arrogance: The fox’s pride led it to underestimate the snake and belittle its abilities. The story warns against pride and arrogance, emphasizing the need to approach others with humility and an open mind. Judging solely based on one’s own abilities can lead to overlooking the strengths and qualities of others.
  • Recognizing the value of different skills: The snake’s ability to move silently and navigate narrow spaces proved just as valuable as the fox’s speed and agility. The story highlights the importance of understanding that different skills and talents are needed in different situations. Collaboration and cooperation among individuals with diverse abilities lead to better outcomes.
  • Respecting others’ contributions: The fox learned to appreciate the snake’s skills and abilities, realizing that both of them had something valuable to offer. The story teaches us the significance of acknowledging and respecting the contributions of others, even if their approaches and abilities differ from our own.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนใจเราถึงความสำคัญของการชื่นชมความหลากหลาย หลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่ง และตระหนักถึงคุณค่าของทักษะและความสามารถที่แตกต่างกัน มันสอนให้เราเข้าหาผู้อื่นด้วยความเคารพ ยอมรับคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา และส่งเสริมความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children