นิทานอีสป เรื่อง “จิ้งจอกแสนฉลาดกับลิงแสนซน” ไทย-Eng

“จิ้งจอกแสนฉลาดกับลิงแสนซน” นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้คุณค่าในแต่ละบุคคล เราทุกคนเกิดมาล้วนแตกต่างกัน ความชอบ ความถนัด ด้วยเช่นกัน เรารู้จักตัวเอง และรักในตัวตนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกแสนฉลาดกับลิงแสนซน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สุนัขจิ้งจอกแสนฉลาดกับลิงแสนซนเดินทางด้วยกันในป่า พวกมันเจอฟาร์ม และชาวนาทิ้งตะกร้าผลไม้ที่เก็บมาสดๆ สุนัขจิ้งจอกวางแผนการ เพราะอยากได้ผลไม้ มันกับลิงว่า “มาแกล้งก่อก่วน และเล่นกลให้ชาวนากันเถอะ”

Once upon a time, a clever fox and a mischievous monkey were traveling together through the forest. They came across a farm where the farmer had left a basket of freshly picked fruits. The fox, being cunning, devised a plan to get the fruits. He said to the monkey, “Let’s pretend to be friends and perform a trick for the farmer.”

ลิงตัวนั้นอยากร่วมก่อกวนด้วยจึงตอบตกลง พวกมันเข้าไปหาชาวนา สุนัขจิ้งจอกก็พูดว่า “เราเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ ถ้าคุณให้ผลไม้จากตระกร้าของคุณแก่เรา เราจะให้ความบันเทิงแก่คุณด้วยทักษะของเรา” ชาวนารู้สึกขบขันกับความคิดนี้ จึงส่งผลไม้สองสามอย่างให้พวกมัน

The monkey, eager to join in the mischief, agreed. They approached the farmer, and the fox said, “We are talented performers. If you give us some fruits from your basket, we will entertain you with our skills.” The farmer, amused by the idea, handed them a few fruits.

สุนัขจิ้งจอกที่มีการเคลื่อนไหวว่องไวกระโดดโลดเต้นไปทั่วฟาร์ม สร้างความประทับใจให้กับชาวนา ในขณะเดียวกัน ลิงพยายามเลียนแบบการกระทำของสุนัขจิ้งจอก แต่สุดท้ายก็เลียนแบบมันอย่างเงอะงะ ชาวนาไม่ประทับใจกับการแสดงของลิง และไม่ให้ผลไม้แก่มันอีก

The fox, with his agile movements, leaped and danced around the farm, impressing the farmer. Meanwhile, the monkey tried to mimic the fox’s actions but ended up clumsily imitating him. The farmer, unimpressed by the monkey’s performance, didn’t give him any more fruits.

ด้วยความผิดหวัง ลิงจึงหันไปหาสุนัขจิ้งจอกและพูดว่า “ทำไมชาวนาจึงให้ผลไม้แก่เจ้ามากกว่านี้ ไม่ใช่ข้า ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว!” สุนัขจิ้งจอกตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพื่อนเอ๋ย เป็นเพราะข้าแสดงด้วยความสง่างามและทักษะ เจ้าแค่ลอกเลียนแบบการกระทำของข้าโดยไม่ได้แต่งเติมอะไรพิเศษเลย”

Disappointed, the monkey turned to the fox and said, “Why did the farmer give you more fruits and not me? I tried my best!” The fox replied with a sly smile, “My friend, it’s because I performed with grace and skill. You merely copied my actions without adding anything unique.”

นิทานอีสปจิ้งจอกแสนฉลาดกับลิงแสนซน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความพยายามและความคิดริเริ่มที่แท้จริงมีคุณค่ามากกว่าการเลียนแบบ”

  • ความสามารถและเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตระหนักและปลูกฝังความสามารถและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเรา ความคล่องแคล่วว่องไวและทักษะในการแสดงของสุนัขจิ้งจอกสร้างความประทับใจให้กับเกษตรกร ในขณะที่ลิงเลียนแบบขาดความคิดริเริ่ม มันสอนเราว่าการยอมรับความสามารถและคุณสมบัติของเราเองทำให้เราแตกต่างและได้รับการยอมรับ
  • การทำงานหนักและความทุ่มเท ผลงานที่น่าประทับใจของสุนัขจิ้งจอกเป็นผลมาจากการทำงานหนักและความทุ่มเทของเขา เขาฝึกฝนทักษะของเขาและพยายามทำให้การเคลื่อนไหวของเขาสมบูรณ์แบบ เรื่องราวนี้กระตุ้นให้เราทำงานอย่างขยันขันแข็งและมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในทุกสิ่งที่เราทำ เพราะการอุทิศตนและการฝึกฝนทำให้เราโดดเด่นได้
  • ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ความพยายามของลิงที่จะเลียนแบบการกระทำของสุนัขจิ้งจอกโดยไม่เพิ่มสิ่งใดเป็นพิเศษเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการซื่อสัตย์ต่อตนเอง แทนที่จะเลียนแบบผู้อื่น เราควรยอมรับจุดแข็งและพรสวรรค์ของเราเอง การคงความเป็นตัวตนที่แท้จริงและการแสดงความสามารถที่แท้จริงของเรา เรามีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับมากขึ้น
  • คุณค่าของความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถของสุนัขจิ้งจอกในการเพิ่มความสง่างามและความคิดสร้างสรรค์ให้กับการแสดงของเขาทำให้เขาแตกต่างจากลิง นิทานเรื่องนี้สอนเราว่าความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเป็นคุณสมบัติที่มีคุณค่าที่สามารถดึงดูดความสนใจและความชื่นชมได้ มันกระตุ้นให้เราคิดนอกกรอบและนำความคิดและมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของเราไปใช้ในทุกสิ่งที่เราทำ

“True effort and originality are valued more than mere imitation.”

  • Embracing one’s own strengths: The story teaches us the importance of embracing and appreciating our own unique strengths and abilities. Each individual possesses their own talents and skills, and it is essential to recognize and focus on what we excel at rather than being envious of others.
  • Beware of false appearances: The fox cleverly deceived the monkey with its fake color-changing trick, leading the monkey to feel inadequate and attempt something beyond its capabilities. It serves as a reminder to be cautious of false appearances and not to be swayed by superficial tricks or comparisons.
  • Acceptance and self-contentment: The monkey’s envy stemmed from a desire to possess a skill it didn’t naturally have. The story encourages us to accept ourselves as we are and find contentment in our own abilities, rather than seeking validation or trying to imitate others.
  • The dangers of envy and pride: Envy can cloud our judgment and lead us to make foolish decisions, just as the monkey’s envy led to its fall from the tree. It warns us about the negative consequences of allowing envy and pride to control our actions.
  • Friendship based on honesty and trust: The fox’s deceptive behavior highlights the importance of honesty and trust in friendships. True friendship is built on mutual respect and genuine interactions, rather than deceit and manipulation.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของการตระหนักและเปิดรับความสามารถเฉพาะตัวของเรา คุณค่าของการทำงานหนักและการอุทิศตน ความสำคัญของการซื่อสัตย์ต่อตนเอง และพลังแห่งการสร้างสรรค์ สิ่งนี้เตือนให้เราฝึกฝนความสามารถเฉพาะตัวและนำสิ่งที่พิเศษมาสู่ความพยายามของเรา แทนที่จะเลียนแบบผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ชาวนาผู้ใจดีกับงู” ไทย-Eng

“ชาวนาผู้ใจดีกับงู” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราเกี่ยวกับความเมตตา ความรัก ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่ว่าผู้นั้นจะหวังดีหรือไม่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นคุณธรรมสูงสุดของชีวิต

นิทานอีสปเรื่องชาวนาผู้ใจดีกับงู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคนหนึ่งอาศัยอยู่ในฟาร์มเล็กๆ วันหนึ่งขณะที่ชาวนากำลังทำงานในไร่นาของเขา เขาได้พบกับงูตัวหนึ่งติดอยู่ในตาข่าย งูขอความช่วยเหลือจากชาวนา โดยสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเขาเป็นการตอบแทน

Once upon a time, there was a farmer who lived on a small farm. One day, as the farmer was working in his fields, he came across a snake trapped in a net. The snake begged the farmer for help, promising not to harm him in return.

ชาวนารู้สึกสงสารงูจึงปล่อยงูออกจากตาข่าย ทันทีที่ปล่อยงู มันก็ขู่ฟ่อและพุ่งเข้าใส่ชาวนาพร้อมที่จะโจมตี ชาวนาตกใจกับการหักหลังของงู สามารถหลบการโจมตีของมันและถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว

Feeling compassion for the snake, the farmer freed it from the net. As soon as the snake was released, it hissed and lunged at the farmer, ready to strike. The farmer, taken aback by the snake’s betrayal, managed to dodge its attack and quickly retreated.

ไม่นานต่อมา ชาวนากำลังเดินไปใกล้แม่น้ำ เมื่อเขาเห็นงูตัวเดิมอีกครั้ง คราวนี้งูถูกเหยี่ยวโจมตี ชาวนานึกถึงการหักหลังของงูครั้งก่อน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจเข้าขวางและใช้ไม้เท้าไล่เหยี่ยวออกไป

Some time later, the farmer was walking near a river when he spotted the same snake again. This time, the snake was being attacked by a hawk. The farmer, remembering the snake’s earlier betrayal, hesitated for a moment. But then he decided to intervene and used his staff to scare away the hawk.

ขอบคุณชาวนาที่ช่วยเหลือ งูเลื้อยออกไปโดยไม่ทำอันตรายใดๆ ชาวนาได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับธรรมชาติของงูและความสำคัญของความเมตตา แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความอกตัญญูก็ตาม

Grateful for the farmer’s help, the snake slithered away without causing any harm. The farmer learned a valuable lesson about the nature of the snake and the importance of kindness, even when faced with ingratitude.

นิทานอีสปชาวนาผู้ใจดีกับงู

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การแสดงความเมตตาไม่ควรตั้งอยู่บนความคาดหวังของความกตัญญู เนื่องจากคุณค่าที่แท้จริงของความเมตตาอยู่ที่การกระทำนั้นเอง”

  • ธรรมชาติของบุคคลบางคน เรื่องราวเน้นความสำคัญของการรับรู้และเข้าใจธรรมชาติของบุคคลบางคน เช่นเดียวกับงู บางคนไม่อาจเปลี่ยนลักษณะนิสัยหรือความตั้งใจโดยธรรมชาติของตนได้ โดยไม่คำนึงว่าจะแสดงความเมตตาต่อพวกเขาเช่นไร เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องระมัดระวังและแยกแยะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • พลังแห่งความเห็นอกเห็นใจ การแสดงความเมตตาครั้งแรกของชาวนาโดยการปล่อยงูที่ติดอยู่ออกมา สะท้อนถึงพลังแห่งความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ แม้ว่างูจะทรยศ ชาวนาก็ไม่ปล่อยให้การกระทำของงูบั่นทอนความสามารถในการแสดงความเห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ มันสอนเราว่าการแสดงความเมตตาแม้ในหน้าของอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเป็นการกระทำที่สูงส่งและมีคุณธรรม
  • ความไว้วางใจและการแยกแยะ เรื่องราวนี้เตือนเราถึงความสำคัญของความไว้วางใจและการแยกแยะในความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ของเรา แม้ว่าการมีความเห็นอกเห็นใจและให้ความช่วยเหลือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็สำคัญไม่แพ้กันที่จะต้องตระหนักถึงเจตนาและลักษณะนิสัยของผู้ที่เราพบเจอ ควรได้รับความไว้วางใจ และการพินิจพิเคราะห์ช่วยให้เราสามารถตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในการติดต่อกับผู้อื่น
  • การเรียนรู้จากประสบการณ์ การที่ชาวนาพบกับงูได้สอนบทเรียนอันมีค่าเกี่ยวกับธรรมชาติของงูแก่เขา ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้เรียนรู้จากประสบการณ์ของเราและตัดสินใจอย่างรอบรู้ตามความรู้ที่เราได้รับ การเผชิญหน้าและการโต้ตอบแต่ละครั้งสามารถให้ความรู้ ประสบการณ์ และปัญญาแก่เราสำหรับการโต้ตอบในอนาคต

“Acts of kindness should not be based on expectations of gratitude, as the true worth of kindness lies in the act itself.”

  • The nature of certain individuals: The story highlights the importance of recognizing and understanding the nature of certain individuals. Just like the snake, some people may not change their inherent traits or intentions, regardless of the kindness shown to them. It is essential to be cautious and discerning in our interactions with others.
  • The power of compassion: The farmer’s initial act of compassion by freeing the trapped snake reflects the power of kindness and empathy. Despite the snake’s betrayal, the farmer did not let the snake’s actions tarnish his ability to show compassion and help others in need. It teaches us that showing kindness, even in the face of potential harm, is a noble and virtuous act.
  • Trust and discernment: The story reminds us of the importance of trust and discernment in our relationships and interactions. While it is crucial to be compassionate and helpful, it is equally important to be aware of the intentions and character of those we encounter. Trust should be earned, and discernment allows us to make wise decisions in our dealings with others.
  • Learning from experiences: The farmer’s encounter with the snake taught him a valuable lesson about the snake’s nature. It serves as a reminder to learn from our experiences and make informed decisions based on the knowledge we gain. Each encounter and interaction can provide us with insights and wisdom for future interactions.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับธรรมชาติของบุคคล พลังแห่งความเห็นอกเห็นใจ ความสำคัญของความไว้วางใจและการหยั่งรู้ และคุณค่าของการเรียนรู้จากประสบการณ์ของเรา กระตุ้นให้เราแสดงความเมตตาในขณะที่ยังคงระมัดระวัง และใช้วิจารณญาณในการนำทางความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์อย่างชาญฉลาด

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ม้ากับคนเลี้ยงม้า” ไทย-Eng

“ม้ากับคนเลี้ยงม้า” เป็นนิทานอีสปที่สอนบทเรียนเราเกี่ยวกับคุณค่าของคู่หู การเคารพในตัวเองและผู้อื่น และการติดสินใจโดยยไม่คิดก่อนย่อมมีผลเสียเสมอ

นิทานอีสปเรื่องม้ากับคนเลี้ยงม้า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีม้าที่สวยงามและแข็งแรงตัวหนึ่งคอยรับใช้คนเลี้ยงม้าที่ใจดีและขยันขันแข็ง คนเลี้ยงม้าดูแลม้าเป็นอย่างดี จัดหาอาหาร น้ำ และที่พักอาศัยให้กับมัน ในทางกลับกันม้าก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์โดยทำหน้าที่เป็นพาหนะที่เชื่อถือได้

Once upon a time, there was a beautiful and strong horse who served a kind and diligent groom. The groom took excellent care of the horse, providing it with food, water, and shelter. The horse, in turn, faithfully carried out its duties, serving as a reliable mode of transportation.

อยู่มาวันหนึ่ง ม้าสังเกตเห็นว่าคนเลี้ยงม้าลืมติดประตูคอกให้แน่น ม้าตัดสินใจหนีด้วยความคิดเรื่องอิสรภาพและการผจญภัย มันเตะเปิดประตูคอกม้า และออกไปในทุ่งโล่ง

One day, the horse noticed that the groom had forgotten to secure the stable door properly. Tempted by the thought of freedom and adventure, the horse decided to escape. It kicked open the stable door and galloped away into the open fields.

ม้าตัวนี้เพลิดเพลินกับอิสระที่เพิ่งค้นพบ ท่องไปในทุ่งหญ้าและเพลิดเพลินกับความตื่นเต้นของอิสรภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ม้าเริ่มรู้สึกหิวและเหนื่อย มันต้องดิ้นรนเพื่อหาอาหารและน้ำให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต

The horse relished its newfound freedom, roaming the meadows and enjoying the thrill of independence. However, as days went by, the horse began to feel hungry and tired. It struggled to find enough food and water to sustain itself.

ในขณะเดียวกันคนเลี้ยงม้าก็เสียใจกับการจากไปของม้า เขาค้นหาไปทั่วโดยหวังว่าจะพบเพื่อนรักของเขา ในที่สุด เขาก็สะดุดกับม้าที่อ่อนแรงและหมดแรงในทุ่งที่แห้งแล้ง

Meanwhile, the groom was devastated by the horse’s departure. He searched far and wide, hoping to find his beloved companion. Eventually, he stumbled upon the horse, weak and exhausted, in a barren field.

ด้วยความสำนึกผิด ม้าอ้อนวอนเจ้าบ่าวเพื่อให้อภัยและขอให้พากลับไปที่คอกม้า เจ้าบ่าวแม้จะผิดหวัง แต่ก็อ้าแขนต้อนรับม้า เขาเข้าใจความต้องการอิสระของม้า แต่ก็ตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นคู่หูด้วยเช่นกัน

Filled with remorse, the horse begged the groom for forgiveness and asked to be taken back to the stable. The groom, though disappointed, welcomed the horse with open arms. He understood the horse’s desire for freedom but also recognized the importance of their partnership.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ม้าและคนเลี้ยงม้าก็กลับมาสานสัมพันธ์กันอีกครั้ง ม้าตระหนักว่าอิสรภาพที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การวิ่งเล่นในป่า แต่อยู่ที่ความไว้วางใจและการดูแลเอาใจใส่จากเพื่อนผู้ซื่อสัตย์

From that day forward, the horse and the groom resumed their harmonious relationship. The horse realized that true freedom did not lie in running wild but in the trust and care of a loyal companion.

นิทานอีสปม้ากับคนเลี้ยงม้า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“อิสรภาพที่แท้จริงพบได้ในสายสัมพันธ์แห่งความไว้วางใจและความเป็นเพื่อน ไม่ใช่ภาพลวงตาของความเป็นอิสระ”

  • เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเห็นคุณค่า และเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว ความปรารถนาในอิสรภาพของม้าทำให้ม้าต้องละทิ้งการดู แลและความปลอดภัยจากคนเลี้ยงม้า อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้ามันก็ตระหนักว่าอิสรภาพที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในความโดดเดี่ยว แต่อยู่ในความเป็นเพื่อน และการสนับสนุนจากผู้อื่น
  • ความภักดีและความไว้วางใจ การตัดสินใจของม้าที่จะกลับไปหาคนเลี้ยงม้าแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของความภัก ดีและความไว้วางใจในความสัมพันธ์ แม้ว่าม้าจะมีรสชาติของความเป็นอิสระเพียงชั่วคราว แต่มันก็รับรู้ได้ถึงการดูแลเอาใจใส่และความมุ่งมั่นที่คนเลี้ยงม้ามอบให้ ความไว้วางใจสร้างขึ้นจากความเคารพซึ่งกันและกัน ความน่าเชื่อถือ และความเต็มใจที่จะให้อภัยความผิดพลาดในอดีต
  • ผลที่ตามมาของการกระทำหุนหันพลันแล่น การตัดสินใจหุนหันพลันแล่นของม้าที่จะหนีออกจากคอกม้ามีผลที่ไม่ได้ตั้งใจ มันต้องเผชิญกับความหิวโหย ความเหน็ดเหนื่อย และความโดดเดี่ยวในการแสวงหาอิสรภาพ นิทานเรื่องนี้สอนให้เราพิจารณาผลของการกระทำอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจเลือกอย่างหุนหันพลันแล่น
  • ความสำคัญของการเป็นคู่หู เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเป็นหุ้นส่วนและการทำงานร่วมกันที่สามารถทำได้เมื่อแต่ละคนทำงานร่วมกัน ม้าและคนเลี้ยงม้าเสริมความแข็งแกร่งของกันและกันและพึ่งพาการสนับสนุนซึ่งกันและกัน มันเตือนเราถึงคุณค่าของการทำงานร่วมกันและผลประโยชน์ที่มาจากการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น

“True freedom is found in the bonds of trust and companionship, not in the illusion of independence.”

  • Appreciating what we have: The story emphasizes the importance of appreciating and valuing what we already possess. The horse’s desire for freedom led it to forsake the care and security provided by the groom. However, it soon realized that true freedom is not found in isolation but in the companionship and support of others.
  • Loyalty and trust: The horse’s decision to return to the groom demonstrates the value of loyalty and trust in a relationship. Despite the horse’s temporary taste of independence, it recognized the depth of care and commitment offered by the groom. Trust is built through mutual respect, reliability, and the willingness to forgive past mistakes.
  • The consequences of impulsive actions: The horse’s impulsive decision to escape the stable had unintended consequences. It faced hunger, exhaustion, and loneliness in the pursuit of freedom. The story teaches us to carefully consider the consequences of our actions before making impulsive choices.
  • The importance of partnership: The story highlights the significance of partnerships and the synergy that can be achieved when individuals work together. The horse and the groom complemented each other’s strengths and relied on each other for support. It reminds us of the value of collaboration and the benefits that come from working in harmony with others.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนอันมีค่าเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี ความภักดีและความไว้วางใจในความสัมพันธ์ ผลที่ตามมาของการกระทำหุนหันพลันแล่น และความสำคัญของการเป็นหุ้นส่วน สนับสนุนให้เราทะนุถนอมการสนับสนุนและการดูแลจากผู้อื่น ตัดสินใจอย่างรอบคอบ และหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ที่มีความหมายในชีวิตของเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “สิงโตกับลาไปออกล่าสัตว์” ไทย-Eng

“สิงโตกับลาไปออกล่าสัตว์” นิทานอีสปเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับการรู้จุดแข็งจุดอ่อนของตนเอง การคิดก่อนลงมือทำ และการควบคุมตัวเองนั้นเป็สิ่งสำคัญมาก

นิทานอีสปเรื่องสิงโตกับลาไปออกล่าสัตว์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สิงโตกับลาออกไปล่าสัตว์ด้วยกัน สิงโตซึ่งเป็นราชาแห่งอาณาจักรสัตว์นั้นมีทักษะและพละกำลัง ในขณะที่ลานั้นไร้เดียงสาและไม่มีประสบการณ์ เมื่อเดินทางเข้าไปในป่าก็พบกับกวางฝูงหนึ่ง สิงโตวางแผนจับกวาง และลาก็เต็มใจช่วยเหลือ

Once upon a time, a lion and an ass went hunting together. The lion, being the king of the animal kingdom, was skilled and powerful, while the ass was naive and inexperienced. As they ventured into the forest, they came across a herd of deer. The lion devised a plan to capture the deer, and the ass eagerly agreed to assist.

สิงโตสั่งให้ลาวางตำแหน่งตัวเองที่ด้านตรงข้ามของกวาง แล้วให้ส่งเสียงร้องให้ดังลั่น จากนั้นสิงโตจะซุ่มโจมตีกวางเพื่อใช้ประโยชน์จากสภาพตกใจของพวกมัน ลารู้สึกตื่นเต้นที่มีโอกาสล่า จึงทำตามคำสั่งของสิงโต

The lion instructed the ass to position itself at the opposite end of the deer and let out a loud bray. The lion would then ambush the deer, taking advantage of their startled state. The ass, excited by the prospect of hunting, followed the lion’s instructions.

เมื่อลาร้องออกมาอย่างโหวกเหวกโวยวาย กวางก็ตื่นตัวทันทีและหนีไปทุกทิศทุกทาง แผนการของสิงโตล้มเหลว และไม่สามารถจับพวกมันได้เลย สิงโตผิดหวังและผิดหวังจึงหันไปหาลาและพูดว่า “เจ้าลาโง่! การตะโกนเสียงดังโวยวายของเจ้าทำให้เหยื่อหนีไป ความไม่เข้าใจและการควบคุมตนเองของเจ้าทำให้เราต้องสูญเสียอาหาร”

As the ass let out a bray, the deer were instantly alerted and fled in all directions. The lion’s plan failed, and he was unable to catch any of them. Disappointed and frustrated, the lion turned to the ass and said, “You foolish creature! Your loud braying has scared away the prey. Your lack of understanding and self-control has cost us our meal.”

นิทานอีสปสิงโตกับลาออกล่าสัตว์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การมีพันธมิตรที่มีความสามารถย่อมดีกว่าการมีพันธมิตรที่กระตือรือร้นแต่ไม่มีทักษะ เพราะความกระตือรือร้นเพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่ความล้มเหลวได้”

  • รู้จุดแข็งและข้อจำกัดของตน: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรู้จุดแข็งและข้อจำกัดของตนเอง ลาแม้จะกระตือรือร้น แต่ก็ขาดความสามารถตามธรรมชาติ และความเข้าใจในการล่า มันสอนให้เรารู้จักความสามารถและข้อจำกัดของตัวเอง หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เราอยู่นอกขอบเขต
  • คิดก่อนลงมือทำ เสียงตะโกนอย่างหุนหันพลันแล่นและไร้ความคิดของลาทำให้เหยื่อหนีไป นิทานเน้นความสำคัญของการคิดก่อนทำ และคำนึงถึงผลที่ตามมาของการกระทำของเรา มันเตือนให้เราใช้ความระมัดระวัง ประเมินสถานการณ์ และตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
  • ไว้วางใจในความเชี่ยวชาญของผู้อื่น สิงโตในฐานะราชาแห่งอาณาจักรสัตว์มีความรู้และประสบการณ์ในการล่าสัตว์ ลาไม่ไว้วางใจความเชี่ยวชาญของสิงโตทำให้การล่าไม่สำเร็จ นิทานสอนให้เราไว้วางใจและพึ่งพาความเชี่ยวชาญของผู้อื่นเมื่อเราขาดความรู้หรือประสบการณ์ในด้านใดด้านหนึ่ง
  • การควบคุมตนเองและความสงบ การที่ลาขาดการควบคุมตนเองในการส่งเสียงดัง แสดงให้เห็นถึงการขาดความสงบในช่วงเวลาวิกฤต เรื่องราวเน้นความสำคัญของการควบคุมตนเองและความสงบในสถานการณ์ที่ท้าทาย มันเตือนให้เราสงบสติอารมณ์และจดจ่อกับงานที่ทำอยู่

“It’s better to have a capable partner than an eager but unskilled one, as enthusiasm alone may lead to failure.”

  • Know your strengths and limitations: The story highlights the importance of knowing one’s strengths and limitations. The ass, despite its enthusiasm, lacked the natural ability and understanding of hunting. It teaches us to recognize our own abilities and limitations, avoiding situations where we are out of our depth.
  • Think before you act: The ass’s impulsive and thoughtless braying caused the prey to escape. The story emphasizes the importance of thinking before acting and considering the consequences of our actions. It reminds us to exercise caution, evaluate the situation, and make wise decisions.
  • Trust in the expertise of others: The lion, as the king of the animal kingdom, had the knowledge and experience in hunting. The ass’s failure to trust the lion’s expertise led to the unsuccessful hunt. The story teaches us to trust and rely on the expertise of others when we lack knowledge or experience in a particular area.
  • Self-control and composure: The ass’s lack of self-control in braying loudly demonstrated its lack of composure in a critical moment. The story emphasizes the importance of self-control and composure in challenging situations. It reminds us to stay calm, composed, and focused on the task at hand.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการรู้จุดแข็งและข้อจำกัดของเรา คิดก่อนลงมือทำ ไว้วางใจในความเชี่ยวชาญของผู้อื่น และควบคุมตนเองและสงบสติอารมณ์ สนับสนุนให้เราตัดสินใจอย่างรอบรู้ ขอคำแนะนำเมื่อจำเป็น และแสดงให้เห็นถึงการควบคุมตนเองในสถานการณ์ที่ท้าทาย

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “จิ้งจอกจอมอวดดีกับแมวจอมฉลาด” ไทย-Eng

“จิ้งจอกจอมอวดดีกับแมวจอมฉลาด” เป็นนิทานที่สอนเราให้ระวังของการโอ้อวดในความสามารถของเรา มันไม่ได้ส่งผลดีต่อใครเลย และการกระทำต่างๆ สำคัญกว่าคำพูดเสมอไม่ว่าจะเรื่องใด

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกจอมอวดดีกับแมวจอมฉลาด

กาลครั้งหนึ่ง สุนัขจิ้งจอก และแมวพบกันในป่า มันเริ่มโอ้อวดความฉลาดและความว่องไว โดยมันอ้างว่ามีกลอุบายมากมายเพื่อเอาชนะศัตรู

Once upon a time, a fox and a cat met in the forest. He began boasting about him cleverness and agility, each claiming to possess a myriad of tricks to outsmart their enemies.

ขณะที่พวกมันคุยกันต่อ ก็ได้ยินเสียงเห่าของสุนัขล่าเนื้อใกล้เข้ามา เจ้าเหมียวรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความตื่นตระหนกและเฝ้าดูกิ่งไม้จากที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม สุนัขจิ้งจอกลังเล และตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใช้แผนการหลบหนีใด สุนัขไล่ตามสุนัขจิ้งจอกทัน และไม่นานมันก็ถูกจับและถูกพาไป

As they continued their discussion, they heard the barking of hounds approaching. Filled with panic, the cat quickly climbed up a tree and watched from the safety of its branches. The fox, however, hesitated and couldn’t decide which escape plan to employ. The hounds caught up to the fox, and it was soon captured and carried away.

หลังจากอันตรายผ่านพ้นไป แมวก็ลงมาจากต้นไม้และเข้าไปหาสุนัขจิ้งจอกที่ถูกจับตัวไป ซึ่งกำลังคร่ำครวญถึงชะตากรรมอันเลวร้ายของมัน แมวพูดขึ้นว่า “เจ้าโอ้อวดเกี่ยวกับเล่ห์เหลี่ยมมากมายของเจ้า แต่เมื่อเวลาที่สำคัญที่สุด เจ้ากลับไม่สามารถเลือกได้สักอย่าง และช่วยตัวเองให้รอดได้”

After the danger had passed, the cat descended from the tree and approached the captured fox, who was lamenting his unfortunate fate. The cat remarked, “You were boasting about your numerous tricks, but when it mattered the most, you were unable to choose one and save yourself.”

นิทานอีสปจิ้งจอกกับแมว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงมีแผนที่เชื่อถือได้แผนเดียวในเวลาที่ต้องการ ดีกว่าโอ้อวดกลอุบายมากมายแต่ไม่สามารถตัดสินใจได้”

  • ความเรียบง่ายและใช้งานได้จริง เรื่องราวเน้นคุณค่าของความเรียบง่ายและใช้งานได้จริง แมวที่มีวิธีการปีนต้นไม้อย่างตรงไปตรงมา สามารถหลบหนีอันตรายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน สุนัขจิ้งจอกกับกลอุบายมากมายที่มันอวดอ้าง นำไปสู่การไม่แน่ใจและในที่สุดก็ถูกจับได้ มันเตือนเราว่าบางครั้งวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายและใช้งานได้จริงที่สุดคือวิธีที่ดีที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการโอ้อวดที่ว่างเปล่า เรื่องราวเน้นให้เห็นถึงอันตรายของการโอ้อวดที่ว่างเปล่า ความเย่อหยิ่งของสุนัขจิ้งจอกในกลอุบายในจินตนาการนั้นพิสูจน์แล้วว่าไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามที่แท้จริง สอนเราถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนและการหลีกเลี่ยงการโอ้อวดที่ว่างเปล่า โดยมุ่งเน้นที่ทักษะและการกระทำที่แท้จริงแทน
  • การเลือกอย่างชาญฉลาด ความสามารถของแมวในการเลือกอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดทำให้แมวอยู่รอด นิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการเลือกอย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะในสถานการณ์คับขัน เตือนให้เราประเมินทางเลือกของเรา พิจารณาผลที่ตามมา และเลือกแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุด
  • การกระทำสำคัญกว่าคำพูด การกระทำของแมวดังกว่าคำพูด ในขณะที่สุนัขจิ้งจอกโอ้อวดความฉลาด แมวก็แสดงความว่องไวด้วยการปีนต้นไม้อย่างรวดเร็ว เรื่องราวเน้นความสำคัญของการกระทำและการกระทำมากกว่าแค่คำพูดหรือคำสัญญาเปล่าๆ

“It’s better to have one reliable plan in a time of need than to boast about numerous tricks and be unable to decide on one.”

  • Simplicity and practicality: The story emphasizes the value of simplicity and practicality. The cat, with its straightforward approach of climbing a tree, was able to escape the danger quickly and effectively. The fox, on the other hand, was overwhelmed by the numerous tricks it boasted about, leading to indecision and ultimately, its capture. It reminds us that sometimes the simplest and most practical solution is the best one.
  • Avoiding empty boasting: The story highlights the dangers of empty boasting. The fox’s pride in its imagined repertoire of tricks proved to be useless when confronted with a real threat. It teaches us the importance of humility and avoiding empty boasts, focusing instead on real skills and actions.
  • Making wise choices: The cat’s ability to make a quick and decisive choice led to its survival. The story teaches us the importance of making wise choices, especially in critical situations. It reminds us to assess our options, consider the consequences, and choose the most appropriate course of action.
  • Actions speak louder than words: The cat’s actions spoke louder than its words. While the fox boasted about its cleverness, the cat demonstrated its agility by swiftly climbing the tree. The story emphasizes the importance of actions and deeds rather than mere words or empty promises.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความเรียบง่าย การปฏิบัติจริง ความอ่อนน้อมถ่อมตน การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด และความสำคัญของการกระทำมากกว่าคำพูด กระตุ้นให้เรามุ่งความสนใจไปที่ทักษะที่แท้จริง หลีกเลี่ยงการโอ้อวดเปล่าๆ เลือกอย่างชาญฉลาด และปล่อยให้การกระทำของเราพูดแทนตัวเอง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “หมาป่าจอมโอหังกับนกกระเรียนผู้ใจดี” ไทย-Eng

“หมาป่าจอมโอหังกับนกกระเรียนผู้ใจดี” เป็นนิทานอีสปทที่สอนบทเรียนอันมีค่าเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้อื่น การรักษาคำมั่นสัญญา คุณค่าของมิตรภาพ และผลที่ตามมาของความยโสโอหัง

นิทานอีสปเรื่องหมาป่าจอมโอหังกับนกกระเรียนผู้ใจดี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หมาป่าผู้หิวโหยมีกระดูกติดอยู่ในลำคอของมัน มันเจ็บปวดมากและกินหรือดื่มอะไรไม่ได้เลย หมดหวังที่จะขอความช่วยเหลือ มันร้องเรียกสัตว์ทุกตัวในป่า ขอให้ใครสักคนเอากระดูกออก และบรรเทาความทุกข์ของมัน

Once upon a time, a hungry wolf had a bone stuck in his throat. He was in great pain and couldn’t eat or drink anything. Desperate for help, he called out to all the animals in the forest, asking for someone to remove the bone and relieve his suffering.

นกกระเรียนได้ยินคำขอร้องของหมาป่าและเสนอความช่วยเหลือให้มัน มันมีจะงอยปากเรียวยาวที่สามารถล้วงลึกเข้าไปในคอของหมาป่า และเอากระดูกออกได้ หมาป่าเห็นด้วย และนกกระเรียนก็ดึงกระดูกออกมาอย่างระมัดระวัง ปลดปล่อยหมาป่าจากอาการไม่สบายของมันได้

A crane heard the wolf’s plea and offered him assistance. He had a long, slender beak that could reach deep into the wolf’s throat and remove the bone. The wolf agreed, and the crane carefully extracted the bone, freeing the wolf from his discomfort.

ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของนกกระเรียน หมาป่าขอบคุณเขา และพูดว่า “ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านที่ช่วยชีวิตข้าไว้ มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้เพื่อตอบแทนคุณไหม” นกกระเรียนตอบว่า “ข้าจะขอบคุณมากถ้าท่านสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อข้าด้วยความเมตตา และไม่ทำร้ายข้าหรือนกกระเรียนตัวอื่นๆ ในอนาคต”

Grateful for the crane’s help, the wolf thanked he and said, “I owe you a debt of gratitude for saving my life. Is there anything I can do to repay you?” The crane replied, “I would appreciate it if you would promise to treat me with kindness and not harm me or any of my fellow cranes in the future.”

อย่างไรก็ตาม หมาป่ากลับหัวเราะกับคำขอของนกกระเรียน เขาเชื่อว่าในฐานะผู้ล่าที่ทรงพลัง เขาไม่จำเป็นต้องมีคำสัญญาเช่นนั้น เขาคิดว่าเขาสามารถเอาชนะ และกินนกกระเรียนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

The wolf, however, laughed at the crane’s request. He believed that as a powerful predator, he had no need for such promises. He thought he could overpower and devour the crane whenever he pleased.

เวลาผ่านไป วันหนึ่งหมาป่าเจอนกกระเรียนกำลังหาอาหารใกล้บ่อน้ำตื้น หมาป่าฉวยโอกาสแก้แค้น พุ่งเข้าใส่นกกระเรียน ตั้งใจจะโจมตีและกินมัน แต่นกกระเรียนก็กางปีกอย่างรวดเร็วและบินไปยังที่ปลอดภัยให้พ้นมือหมาป่า

Time passed, and one day, the wolf came across the crane searching for food near a shallow pond. Seizing the opportunity for revenge, the wolf lunged at the crane, intending to attack and consume him. But the crane quickly spread him wings and flew to safety, out of the wolf’s reach.

ขณะที่หมาป่าเฝ้าดูนกกระเรียนบินอยู่เหนือมัน มันก็ตระหนักถึงผลที่ตามมาจากความเย่อหยิ่งและความโหดร้ายของมัน ถ้ามันรักษาสัญญาและแสดงความเมตตาต่อนกกระเรียน นกกระเรียนคงช่วยเหลือมันในยามคับขัน ความโลภและการไม่สนใจผู้อื่นทำให้เขาสูญเสียพันธมิตรที่มีค่าไป

As the wolf watched the crane soar above him, he realized the consequences of his arrogance and cruelty. If he had kept his promise and shown kindness to the crane, she would have continued to help him in times of need. Instead, his greed and disregard for others had cost him a valuable ally.

นิทานอีสปหมาป่ากับนกกระเรียน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การรักษาสัญญาและการแสดงความมีน้ำใจสามารถนำไปสู่การเป็นพันธมิตรที่มีคุณค่าและความช่วยเหลือในยามจำเป็น”

  • ความกตัญญูกตเวทีและความเมตตา เรื่องราวเน้นความสำคัญของความกตัญญูและความเมตตาต่อผู้ที่ช่วยเหลือเรา ในตอนแรกหมาป่าได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือของนกกระเรียน แต่เขาไม่เห็นคุณค่าในตัวนกกระเรียน และแสดงความเมตตาต่อนกกระเรียนอย่างที่สมควรได้รับ เป็นการเตือนให้เราแสดงความขอบคุณและปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาและความเคารพต่อความช่วยเหลือที่พวกเขามอบให้เรา
  • เคารพคำสัญญา หมาป่าไม่รักษาสัญญาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเคารพคำมั่นสัญญาของเรา สัญญาและข้อตกลงมีไว้เพื่อรักษาโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ การผิดคำสัญญาสามารถนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด สูญเสียความไว้วางใจ และพลาดโอกาสในการสนับสนุนซึ่งกันและกัน
  • ผลที่ตามมาของความเย่อหยิ่ง ความเย่อหยิ่งของหมาป่าและความเชื่อในความเหนือกว่าของตัวเองทำให้เขาตกต่ำ เขาประเมินทรัพยากรและความสามารถในการหลบหนีของนกกระเรียนต่ำเกินไป เรื่องนี้สอนเราถึงผลที่ตามมาจากความเย่อหยิ่งและความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนและการเคารพผู้อื่น
  • คุณค่าของมิตรภาพ นกกระเรียนเป็นพันธมิตรที่มีค่าสำหรับหมาป่าเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ แต่การที่เขาปฏิบัติต่อกระเรียนอย่างไม่เหมาะสมทำให้เขาสูญเสียพันธมิตรนั้นไป ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการให้คุณค่าและการบำรุงเลี้ยงความสัมพันธ์กับผู้อื่น การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาและความเคารพ เราสามารถสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง

“Keeping one’s promises and showing kindness can lead to valuable alliances and help in times of need.”

  • Gratitude and kindness: The story highlights the importance of gratitude and kindness towards those who help us. The wolf initially benefited from the crane’s assistance, but he failed to appreciate her and show him the kindness him deserved. It reminds us to express gratitude and treat others with kindness and respect for the help they offer us.
  • Honoring promises: The wolf’s failure to keep his promise showcases the significance of honoring our commitments. Promises and agreements are meant to be kept, regardless of the circumstances. Breaking promises can lead to strained relationships, loss of trust, and missed opportunities for mutual support.
  • Consequences of arrogance: The wolf’s arrogance and belief in his own superiority led to his downfall. He underestimated the crane’s resourcefulness and ability to escape his grasp. The story teaches us the consequences of arrogance and the importance of humility and respect for others.
  • Value of alliances: The crane was a valuable ally to the wolf when he needed help, but his mistreatment of her led to the loss of that alliance. It serves as a reminder of the importance of valuing and nurturing relationships with others. By treating others with kindness and respect, we can build strong alliances that benefit everyone involved.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความกตัญญู ความเมตตา การให้เกียรติสัญญา ความอ่อนน้อมถ่อมตน และคุณค่าของพันธมิตร กระตุ้นให้เราชื่นชมความช่วยเหลือที่เราได้รับ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของเรา และตระหนักถึงความเข้มแข็งและการสนับสนุนที่มาจากความสัมพันธ์ที่มีความหมาย

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “กบขี้อิจฉากับวัวตัวใหญ่” ไทย-Eng

“กบขี้อิจฉากับวัวตัวใหญ่” เป็นนิทานอีทปที่สอนให้เรารู้คุณค่าตัวเอง การยอมรับตัวเอง การไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เป็นสิ่งที่ทุกคนควรพึงกระทำ

นิทานอีสปเรื่องกบขี้อิจฉากับวัวตัวใหญ่

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในสระน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างมีความสุข วันหนึ่งพวกเขาเห็นวัวตัวใหญ่กำลังเล็มหญ้าอย่างสงบในทุ่งใกล้ๆ กบรู้สึกทึ่งกับขนาดและพละกำลังของวัว และเริ่มรู้สึกว่าตัวเล็ก และไม่มีความสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกัน

Once upon a time, a group of frogs lived happily in a small pond. One day, they saw a huge ox grazing peacefully in a nearby field. The frogs were amazed by the ox’s size and strength and began to feel small and insignificant in comparison.

ด้วยความอิจฉาริษยา กบตัวหนึ่งจึงเกิดความคิดขึ้น มันประกาศว่า “ถ้าเราทุกคนยืนทับกัน เราจะยิ่งใหญ่เท่าวัว!” กบตัวอื่นๆ เห็นว่าแนวคิดนี้น่าสนใจและเริ่มกองทับกัน ก่อตัวเป็นหอคอยเพื่อพยายามเทียบความสูงของวัว

Filled with envy, one of the frogs came up with an idea. It declared, “If we all stand on top of each other, we can become as big as the ox!” The other frogs found this idea intriguing and started to pile up on top of each other, forming a tower in an attempt to match the ox’s height.

ขณะที่พวกมันพยายามรักษาสมดุล กบที่ด้านล่างของหอคอยก็เริ่มรู้สึกแหลกสลาย และหนักอึ้ง พวกมันตระหนักว่าความพยายามของพวกเขาที่จะใหญ่เท่าวัวนั้นไร้ประโยชน์และอันตราย ขณะที่พวกมันกำลังจะพังทลาย หอคอยแห่งกบก็พังทลายลง และพวกมันก็ตกลงไปในน้ำ

As they struggled to maintain their balance, the frogs at the bottom of the tower began to feel crushed and overwhelmed. They realized that their attempt to become as big as the ox was futile and dangerous. Just as they were about to collapse, the tower of frogs crumbled, and they fell back into the water.

นิทานอีสปกบขี้อิจฉากับวัวตัวใหญ่

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความอิจฉาและการพยายามเป็นสิ่งที่คุณไม่ใช่สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายได้”

  • ยอมรับตัวเอง กบในเรื่องพอใจและมีความสุขจนเปรียบตัวเองกับวัว พวกเขาเริ่มอิจฉาและไม่พอใจในขนาดและความสามารถของตนเอง เรื่องราวนี้เตือนเราถึงความสำคัญของการยอมรับและโอบกอดตัวเราในแบบที่เราเป็น แทนที่จะพยายามเป็นคนอื่นตลอดเวลา
  • ยอมรับความเป็นเอกลักษณ์ของเรา แต่ละคนมีจุดแข็งและคุณสมบัติของตนเองที่ทำให้พวกเขาพิเศษ กบในเรื่องล้มเหลวที่จะชื่นชมความสามารถพิเศษของตัวเองและพยายามเลียนแบบคนอื่น มันสอนให้เรายอมรับความเป็นปัจเจกชน และโฟกัสไปที่จุดแข็งของตัวเองมากกว่าการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
  • อันตรายของความอิจฉา ความอิจฉาอาจนำไปสู่ความไม่พอใจโดยไม่จำเป็นและการแข่งขันที่ไม่ดี ความอิจฉาริษยาของกบทำให้พวกเขาทำการตัดสินใจที่เสี่ยงและทำไม่ได้ เรื่องราวเตือนถึงผลด้านลบของความอิจฉาและกระตุ้นให้เราปลูกฝังความพึงพอใจและความกตัญญูต่อสิ่งที่เรามี
  • ความคาดหวังที่เป็นจริง ความพยายามของกบที่จะตัวใหญ่เท่าวัวนั้นไม่สามารถเป็นจริง และไม่ยั่งยืน สอนเราถึงความสำคัญของการตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงและเข้าใจข้อจำกัดของตัวเอง สิ่งสำคัญคือต้องมีมุมมองที่เป็นจริงและมุ่งมั่นเพื่อการเติบโตส่วนบุคคลแทนที่จะพยายามเป็นคนที่เราไม่ได้เป็น

“Envy and trying to be something you’re not can lead to disastrous consequences.”

  • Accepting ourselves: The frogs in the story were content and happy until they compared themselves to the ox. They became envious and dissatisfied with their own size and capabilities. The story reminds us of the importance of accepting and embracing ourselves as we are, rather than constantly striving to be someone else.
  • Embracing our uniqueness: Each individual has their own strengths and qualities that make them special. The frogs in the story failed to appreciate their own unique abilities and tried to imitate someone else. It teaches us to embrace our individuality and focus on our own strengths rather than comparing ourselves to others.
  • The danger of envy: Envy can lead to unnecessary dissatisfaction and unhealthy competition. The frogs’ envy of the ox led them to make a risky and impractical decision. The story warns against the negative consequences of envy and encourages us to cultivate contentment and gratitude for what we have.
  • Realistic expectations: The frogs’ attempt to become as big as the ox was unrealistic and unsustainable. It teaches us the importance of setting realistic goals and understanding our own limitations. It’s essential to have a realistic perspective and strive for personal growth rather than trying to become someone we are not.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนอันมีค่าเกี่ยวกับการยอมรับตนเอง การยอมรับในเอกลักษณ์ของเรา และอันตรายของความอิจฉา มันกระตุ้นให้เราชื่นชมคุณสมบัติและจุดแข็งของตัวเอง ตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง และมุ่งเน้นไปที่การเติบโตส่วนบุคคลมากกว่าการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวนี้เตือนใจเราว่าความสุขและความสมหวังที่แท้จริงมาจากภายใน ไม่ใช่การพยายามเลียนแบบหรือเหนือกว่าผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ลาเจ้าเล่ห์กับสัมมภาระของมัน” ไทย-Eng

“ลาเจ้าเล่ห์กับสัมมภาระของมัน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการหลอกหลวง และะผลที่ตามมา กับความมรับผิด และซื่อตรงต่อหน้าที่ของตนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

นิทานอีสปเรื่องลาเจ้าเล่ห์กับสัมมภาระของมัน

กาลครั้งหนึ่ง มีลาตัวหนึ่งแบกเกลือจำนวนมากไว้บนหลังของมัน ขณะที่มันเดินเคียงข้างเจ้านายของมัน ขณะที่พวกเขาข้ามลำธาร ลาเกิดสะดุดและตกลงไปในน้ำโดยบังเอิญ สิ่งที่ทำให้ลาประหลาดใจก็คือ ปริมาณของเกลือเบาลงเมื่อเกลือละลายในน้ำ ลารู้สึกโล่งใจ เดินทางต่อไปโดยบรรทุกของที่เบากว่ามาก

Once upon a time, an ass was carrying a heavy load of salt on its back as it walked alongside its master. As they crossed a stream, the ass stumbled and accidentally fell into the water. To the ass’s surprise, the load of salt became lighter as the salt dissolved in the water. Relieved, the ass continued its journey with a much lighter load.

วันรุ่งขึ้น ลากับเจ้านายก็ออกเดินทางไปตามทางเดิม คราวนี้ลาเจ้าเล่ห์ตั้งใจสะดุดและตกลงไปในลำธารโดยหวังว่าจะทำให้เกลือที่บรรทุกมาเบาลงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แทนที่เจ้านายจะใช้เกลือ เจ้านายใช้ฟองน้ำแทน ซึ่งอุ้มน้ำไว้ และหนักขึ้น ส่งผลให้มันต้องแบกภาระหนักขึ้นบนหลัง

The next day, the ass and its master set off on the same route. This time, the cunning ass intentionally stumbled and fell into the stream, hoping to make the load of salt lighter again. However, instead of salt, the master had loaded the ass with sponges, which soaked up water and became heavier. As a result, the ass had to carry an even heavier burden on its back.

นิทานอีสปลาเจ้าเล่ห์กับสัมมภาระของมัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“เจตนาหลอกลวงสามารถส่งผลย้อนกลับได้ และนำไปสู่ผลที่ตามมาที่หนักกว่า”

  • อันตรายจากการหลอกลวง ความพยายามของลาที่จะหลอกลวงนายของมันกลับตาลปัตร ด้วยการพยายามใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ด้วยการหลอกลวง ลาจึงลงเอยด้วยสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณธรรมที่สำคัญ
  • ผลที่ตามมาจากความโลภ การที่ลาอยากได้ของที่เบากว่าทำให้มันทำสิ่งที่ไม่ซื่อสัตย์ ความโลภในการเดินทางที่ง่ายกว่าส่งผลให้งานหนักขึ้น เรื่องนี้เตือนเราว่าความโลภมักจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ
  • ความสำคัญของการยอมรับความรับผิดชอบ แทนที่จะพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ลาควรยอมรับภาระที่ได้รับ การยอมรับและปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเราด้วยความขยันหมั่นเพียรและความซื่อสัตย์เป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับการเติบโตส่วนบุคคล
  • พลังแห่งความจริง ในตัวอย่างแรก ลาได้ประโยชน์จากความจริงเมื่อเกลือละลายในน้ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้การหลอกลวง ความจริงก็เปิดเผยตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เรื่องราวเน้นพลังและคุณค่าของความจริง

“Deceitful intentions can backfire, leading to heavier consequences.”

  • The danger of deceit and manipulation: The ass’s attempt to deceive its master backfired. By trying to take advantage of a situation through deception, the ass ended up in a worse position than before. Honesty and integrity are essential virtues.
  • The consequences of greed: The ass’s desire for a lighter load led it to take dishonest actions. Its greed for an easier journey resulted in a more burdensome task. The story reminds us that greed often leads to unfavorable outcomes.
  • The importance of accepting responsibilities: Instead of trying to evade its responsibilities, the ass should have accepted the burden it was given. Accepting and fulfilling our responsibilities with diligence and integrity is a valuable lesson for personal growth.
  • The power of truth: In the first instance, the ass benefited from the truth when the salt dissolved in the water. However, when it resorted to deception, the truth revealed itself, leading to unfavorable consequences. The story emphasizes the power and value of truthfulness.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์ ซื่อตรง และการยอมรับความรับผิดชอบ มันเตือนถึงอันตรายของความโลภและการหลอกลวง เตือนเราว่าการแสวงหาทางลัดหรือการจัดการสถานการณ์อาจส่งผลด้านลบ ในท้ายที่สุด เรื่องราวนี้กระตุ้นให้เราเข้าใกล้ความรับผิดชอบของเราด้วยความซื่อสัตย์และความขยันหมั่นเพียร โดยเข้าใจว่าความจริงเป็นรากฐานของชีวิตที่มีคุณธรรมและเติมเต็ม

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “คนขี้เหนียวกับทองคำของเขา” ไทย-Eng

“คนขี้เหนียวกับทองคำของเขา” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราในเรื่องอันตรายกับการยึดติดกับคนหรือสิ่งของ และภาพลวงตาของความมั่นคงในทรัพย์สินทางวัตถุ

นิทานอีสปเรื่องคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คนขี้เหนียวคนหนึ่งได้สะสมเงินทองไว้มากมาย เขาหวงแหนทรัพย์สมบัติของเขาและจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในการนับและชื่นชมมัน เขาจะซ่อนทองไว้ในรูบนดิน และไปหาบ่อยๆ เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย

Once upon a time, There once was a miser who had accumulated a great amount of gold. He cherished his wealth and would spend hours counting and admiring it. He would hide his gold in a hole in the ground and visit it frequently to ensure it was safe.

วันหนึ่งคนขี้เหนียวพบว่าทองของเขาถูกขโมยไป เอาชนะความเศร้าโศกและความโกรธ เขาร้องไห้ออกมา และคร่ำครวญถึงการสูญเสียของเขา คนเดินผ่านไปผ่านมาได้ยินเสียงร้องจึงเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น

One day, the miser found that his gold had been stolen. Overcome with grief and anger, he cried out and lamented his loss. A passerby, hearing his cries, approached and asked what had happened.

คนขี้เหนียวอธิบายว่าทองของเขาถูกขโมยไป และเขาเสียใจมากกับการสูญเสีย คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยากรู้เกี่ยวกับความผูกผันของคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา จึงถามว่า “ทองคำของคุณจะมีประโยชน์อะไรหากคุณไม่สามารถเพลิดเพลิน หรือนำไปใช้ประโยชน์ได้”

The miser explained that his gold had been stolen, and he was devastated by the loss. The passerby, curious about the miser’s attachment to his gold, asked, “But what good is your gold if you cannot enjoy it or use it for anything?”

คนขี้เหนียวถึงกับชะงัก และรู้ความจริงในคำพูดของผู้สัญจรผ่านไปมา ความหมกมุ่นกับการสะสมทองคำของเขาทำให้เขาไม่มีความสุขหรือพึงพอใจ เขาปิดกั้นความมั่งคั่งของเขา กีดกันผลประโยชน์และความสุขที่อาจเกิดขึ้นจากมันเอง

The miser paused and realized the truth in the passerby’s words. His obsession with hoarding his gold had brought him no joy or satisfaction. He had locked away his wealth, depriving himself of its potential benefits and pleasures.

นิทานอีสปคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความมั่งคั่งมีคุณค่าเมื่อนำมาซึ่งความสมหวัง ไม่ใช่แค่เมื่อถูกสะสมเท่านั้น”

  • อันตรายจากการยึดติดมากเกินไป การยึดติดกับทองคำมากจนเกินไปของคนขี้เหนียวทำให้เขาทุกข์ยาก ความหมกมุ่นทำให้เขาไม่สามารถเพลิดเพลินกับความสุขที่เรียบง่ายในชีวิต และเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้
  • คุณค่าของการแบ่งปันและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การกักตุนความมั่งคั่งโดยไม่นำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ใดๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ที่แท้จริง การแบ่งปันทรัพยากรของเรา และการมีน้ำใจกับผู้อื่นสามารถทำให้เกิดความสุขและสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายได้
  • ภาพลวงตาของความมั่นคงในทรัพย์สินทางวัตถุ คนขี้เหนียวเชื่อว่าการเก็บทองไว้จะช่วยให้ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ทองคำของเขาถูกขโมยไป แสดงให้เห็นว่าทรัพย์สินทางวัตถุเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยหรือความสุขที่แท้จริงได้
  • ความสำคัญของการหาความสมดุล แม้ว่าการออมและคำนึงถึงการเงินของเราจะเป็นเรื่องฉลาด แต่ก็มีความสำคัญเท่าเทียมกันในการสร้างความสมดุลระหว่างการออมและการเพลิดเพลินกับผลงานที่เราลงแรง การสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อแลกกับความสุขของชีวิตสามารถนำไปสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเสียใจ

“Wealth is valuable when it brings fulfillment and not just when it’s hoarded.”

  • The danger of excessive attachment: The miser’s extreme attachment to his gold led to his misery. His obsession prevented him from enjoying life’s simple pleasures and connecting with others.
  • The value of sharing and generosity: Hoarding wealth without using it for any purpose serves no real benefit. Sharing our resources and being generous with others can bring joy and create meaningful relationships.
  • The illusion of security in material possessions: The miser believed that storing his gold would ensure its safety. However, his gold was stolen, showing that material possessions alone cannot guarantee true security or happiness.
  • The importance of finding balance: While it is wise to save and be mindful of our finances, it is equally important to strike a balance between saving and enjoying the fruits of our labor. Hoarding wealth at the expense of experiencing life’s joys can lead to a life filled with regret.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนเราถึงอันตรายของการยึดติดมากเกินไป ความสำคัญของการแบ่งปันและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความจำเป็นที่จะต้องหาสมดุลระหว่างการประหยัดและการมีความสุขกับชีวิต มันกระตุ้นให้เราไตร่ตรองถึงลำดับความสำคัญของเราและพิจารณาคุณค่าที่แท้จริงของความมั่งคั่งที่มากกว่าการสะสมเพียงอย่างเดียว

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เด็กชายโลภมากกับถั่วเฮเซลนัท” ไทย-Eng

“เด็กชายโลภมากกับถั่วเฮเซลนัท” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความอันตรายของความโลภ คุณค่าของความพอประมาณ การรับฟังความคิดเห็นที่มีคุณค่าจากผู้อวุโส และการเรียนรู้จากความผิดพลาด

นิทานอีสปเรื่องเด็กชายโลภมากกับถั่วเฮเซลนัท

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เด็กหนุ่มคนหนึ่งพบต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยต้นฟิลเบิร์ตที่สุก และอร่อย (หรือที่เรียกว่าเฮเซลนัท) ด้วยความตื่นเต้นและหิว เด็กชายเอื้อมมือไปหยิบถั่วอย่างกระตือรือร้นมาใส่ภาชนะ อย่างไรก็ตาม มือของเขาดันติดอยู่ในคอแคบๆ ของภาชนะที่ใส่ถั่ว

Once upon a time, a young boy came across a tree full of ripe and delicious filberts (also known as hazelnuts). Excited and hungry, the boy eagerly reached out to grab the nuts. However, his hand became stuck in the narrow neck of the container holding the nuts.

ไม่ว่าเด็กชายจะดึงแรงแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถปล่อยมือได้ รู้สึกผิดหวังและสิ้นหวัง เขาเริ่มร้องไห้และดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเด็กชายและถามว่าเกิดอะไรขึ้น

No matter how hard the boy pulled, he couldn’t free his hand. Feeling disappointed and desperate, he started crying and attracting the attention of passersby. One of them, an old man, approached the boy and asked what had happened.

เด็กชายอธิบายสถานการณ์ของเขาผ่านน้ำตาของเขา ชายชรามองดูสถานการณ์และแนะนำอย่างชาญฉลาดว่า “อย่าโลภมาก เด็กน้อย แบมือของเจ้า และปล่อยถั่วสักสองสามชิ้น แล้วมือของเจ้าจะออกมาโดยง่าย”

Through his tears, the boy explained his predicament. The old man looked at the situation and wisely suggested, “Don’t be so greedy, my child. Open your hand and let go of a few filberts. Then your hand will easily come out.”

ตามคำแนะนำของชายชรา เด็กชายโยนถั่วบางส่วนออกจากมือ ด้วยภาระที่ลดลง เขาสามารถเลื่อนมือออกจากภาชนะ และในที่สุดก็เป็นอิสระ

Following the old man’s advice, the boy dropped a few of the filberts from his hand. With the reduced load, he was able to slide his hand out of the container and was finally free.

นิทานอีสปเด็กชายกับถั่วเฮเซลนัท

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความโลภมักนำไปสู่การติดกับดัก แต่การปล่อยวางสามารถนำไปสู่อิสรภาพได้”

  • อันตรายของความโลภ ความละโมบของเด็กชายที่ต้องการคว้าไส้กรองทั้งหมดในคราวเดียวทำให้มือของเขาติดขัด มันเตือนเราว่าความโลภอาจทำให้เรามองไม่เห็นผลของการกระทำของเรา และทำให้เราติดอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์
  • คุณค่าของความพอประมาณ คำแนะนำของชายชราที่ให้โยนถั่วบางส่วนออกจากมือ เขาสอนถึงความสำคัญของความพอประมาณ บางครั้งเราต้องละทิ้งความปรารถนาที่มากเกินไปและพอใจกับปริมาณที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านลบ
  • คำแนะนำที่ชาญฉลาด การขอคำแนะนำจากผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีสติปัญญาและประสบการณ์ สามารถช่วยให้เราพบวิธีแก้ปัญหาของเรา คำแนะนำที่เรียบง่ายแต่ชาญฉลาดของชายชราช่วยให้เด็กชายเอาชนะสถานการณ์ของเขาได้
  • การเรียนรู้จากความผิดพลาด ประสบการณ์ของเด็กชายทำหน้าที่เป็นบทเรียนในการเรียนรู้จากความผิดพลาด ด้วยการตระหนักถึงผลที่ตามมาจากความโลภของเขา และปรับเปลี่ยนการกระทำของเขา เขาสามารถแก้ไขสถานการณ์และปลดปล่อยตัวเองได้

“Greed often leads to one’s entrapment, but letting go can lead to freedom.”

  • The dangers of greed: The boy’s greediness in wanting to grab all the filberts at once led to his hand getting stuck. It reminds us that greed can blind us to the consequences of our actions and cause us to get trapped in undesirable situations.
  • The value of moderation: The old man’s advice to release a few filberts teaches the importance of moderation. Sometimes, we need to let go of our excessive desires and be content with a reasonable amount to avoid negative consequences.
  • Wise counsel: Seeking advice from others, especially those with wisdom and experience, can help us find solutions to our problems. The old man’s simple yet wise suggestion helped the boy overcome his predicament.
  • Learning from mistakes: The boy’s experience serves as a lesson in learning from mistakes. By recognizing the consequences of his greed and adjusting his actions, he was able to rectify the situation and free himself.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนเราถึงอันตรายของความโลภและความสำคัญของความพอประมาณ กระตุ้นให้เราแสวงหาคำแนะนำที่สุขุม เต็มใจละทิ้งความปรารถนาที่มากเกินไป และเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา การทำเช่นนั้น เราสามารถหลีกเลี่ยงการติดอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย และมีชีวิตที่สมดุลและเติมเต็มมากขึ้น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children