นิทานอีสป เรื่อง “ความฝันของประติมากร” ไทย-Eng

“ความฝันของประติมากร” เป็นนิทานอีสปที่บอกเรื่องราวของประติมากรมีความฝันที่มีตัวเลือกให้เลือก ให้เกียรติดวงวิญญาณของเขาด้วยการประดิษฐ์มันขึ้นมาเหมือนเทพเจ้า หรือลดระดับมันราวกับสัตว์ร้าย

นิทานอีสปเรื่องเทพความฝันของประติมากร

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองอันเงียบสงบท่ามกลางเนินเขาสูง มีประติมากรคนหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งชาวเมืองลืมชื่อไปนานแล้ว เขาเป็นคนสันโดษซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานศิลปะอันน่าทึ่งที่ประดับประดาจัตุรัสกลางเมืองเท่านั้น ประติมากรรมของเขาไม่ใช่แค่รูปแบบที่ไร้ชีวิตชีวา แต่ดูเหมือนว่าจะมีประกายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรวบรวมแก่นแท้ของเหล่าเทพเจ้าเอาไว้

Once upon a time, In a quiet town nestled amidst rolling hills, there lived a sculptor whose name had been long forgotten by the townsfolk. He was a recluse, known only by his remarkable works of art that adorned the town square. His sculptures were not merely lifeless forms but seemed to possess a spark of divinity, capturing the essence of the gods themselves.

คืนเดือนหงายคืนหนึ่ง ขณะที่เขาทำงานหนักในห้องทำงานที่มีแสงสลัว การปรากฏตัวของลึกลับก็ดังไปทั่วห้อง สายลมอันอ่อนโยนพัดเข้ามา และเปลวเทียนที่ริบหรี่ดูเหมือนจะร่ายรำอย่างสง่างามราวกับอยู่ในโลกอื่น ทันใดนั้น เสียงที่แผ่วเบาดังเสียงกระซิบก็ปกคลุมประสาทสัมผัสของประติมากร

One moonlit night, as he toiled away in his dimly lit workshop, a mysterious presence filled the room. A gentle breeze stirred, and the flickering candle flames seemed to dance with an otherworldly grace. Suddenly, a voice, soft as a whisper, enveloped the sculptor’s senses.

“เจ้ามีทางเลือก” เสียงนั้นพูด และประติมากรก็รู้ว่าเขาอยู่ต่อหน้าเทพ เขาหันกลับมาอย่างช้าๆ เพื่อดูร่างที่เปล่งประกาย สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีตัวตนที่เปล่งประกายออร่าศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือเฮอร์มีส ผู้ส่งสารของเทพเจ้า

“You have a choice,” the voice said, and the sculptor knew he was in the presence of a deity. He turned slowly to see a radiant figure, an ethereal being that radiated a divine aura. It was Hermes, the messenger of the gods.

เฮอร์มีสกล่าวต่อว่า “เจ้ายืนอยู่บนทางแยก ที่ซึ่งชะตากรรมของจิตวิญญาณของเจ้าอยู่ในมือของเจ้าเอง เจ้ามีทางเลือกระหว่างการให้เกียรติจิตวิญญาณของเจ้าด้วยการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สะท้อนถึงความศักดิ์สิทธิ์ การยกระดับจิตวิญญาณของมนุษยชาติ หรือการปฏิบัติต่อพรสวรรค์ของเจ้า ด้วยความเย่อหยิ่ง จึงลดจิตวิญญาณของเจ้าลงราวกับสัตว์ร้าย”

Hermes continued, “You stand at a crossroads, where the destiny of your soul lies in your hands. You have a choice between honoring your soul by crafting art that mirrors the divine, elevating humanity’s spirit, or treating your talent with arrogance, thereby lowering your soul such as a beasts.”

ประติมากรรู้สึกท่วมท้นด้วยการสถิตอยู่ของพระเจ้า รู้สึกถึงจุดมุ่งหมายอันลึกซึ้ง เขาตระหนักว่าพรสวรรค์ของเขาไม่ได้เป็นเพียงทักษะแต่เป็นของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นโอกาสในการยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาได้ใช้ฝีมือสร้างสรรค์งานประติมากรรมที่ก้าวข้ามโลกแห่งวัตถุ โดยรวบรวมแก่นแท้แห่งคุณธรรม ภูมิปัญญา และความงาม

The sculptor, overwhelmed by the divine presence, felt a profound sense of purpose. He realized that his talent was not just a skill but a sacred gift, an opportunity to elevate the human spirit. From that moment on, he channeled his craft to create sculptures that transcended the material world, capturing the essence of virtue, wisdom, and beauty.

คำพูดของแรงบันดาลใจที่เพิ่งค้นพบของประติมากรคนนี้แพร่กระจายไปทั่ว ดึงดูดผู้คนจากดินแดนอันห่างไกลให้มาชมศิลปะอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประดับประดาจัตุรัสกลางเมือง ผลงานของเขาทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่ามนุษยชาติมีทางเลือกที่จะปรารถนาสู่ความยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าภายใน หรือลงไปสู่ความต่ำต้อย

Word of the sculptor’s newfound inspiration spread far and wide, drawing people from distant lands to witness the divine artistry that graced the town square. His works served as a reminder that humanity had the choice to aspire to greatness, to honor the divine within, or to descend into baseness.

นิทานอีสปความฝันของประติมากร

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การเลือกใช้พรสวรรค์ของเราสามารถยกระดับจิตวิญญาณของเราเองหรือเลือกดูหมิ่นตัวเอง และให้เราให้เกียรติพลังในตัวเรา”

  • พลังแห่งการเลือก: เรื่องราวเตือนเราว่าเรามีพลังในการเลือกวิธีที่เราใช้พรสวรรค์ของเรา และไม่ว่าเราจะยกระดับจิตวิญญาณของเราหรือลดทอนพรสวรรค์เหล่านั้น
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความรับผิดชอบ: เน้นย้ำถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนในการตระหนักถึงของประทานของเราและความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น
  • ศิลปะคือการเปลี่ยนแปลง: ศิลปะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงทั้งผู้สร้างและผู้ชม โดยเชื่อมช่องว่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
  • การยกระดับมนุษยชาติ: พรสวรรค์ของเราสามารถใช้เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ เฉลิมฉลองคุณธรรมอันสูงส่งที่ทำให้เราคล้ายกับเทพเจ้า
  • การใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย: การค้นพบจุดมุ่งหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในความสามารถและความพยายามของเราสามารถนำไปสู่การเดินทางในชีวิตที่เติมเต็มและมีความหมายมากขึ้น

“Our choices in how we use our talents can either elevate our souls or demean them, encouraging us to honor the divine within us.”

  • The Power of Choice: The story reminds us that we have the power to choose how we use our talents and whether we uplift our souls or diminish them.
  • Humility and Responsibility: It underscores the importance of humility in recognizing our gifts and the responsibility that comes with them.
  • Art as Transformation: Art has the power to transform both the creator and the audience, bridging the gap between the mortal and the divine.
  • Elevating Humanity: Our talents can be used to elevate the human spirit, celebrating the noble virtues that make us akin to the gods.
  • Purposeful Living: Discovering a deeper purpose in our talents and endeavors can lead to a more fulfilling and meaningful life journey.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงพรสวรรค์ของเราไม่ได้เป็นเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเพื่อการพัฒนามนุษยชาติให้ดีขึ้นและการยกระดับจิตวิญญาณของเราเองด้วย

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เทพเฮอร์มีสกับสุนัข” ไทย-Eng

“เทพเฮอร์มีสกับสุนัข” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงสุนัขตัวหนึ่งผู้เคร่งศรัทธาทำความเคารพต่อรูปปั้นของเทพเจ้า แต่พระเจ้ากลับปฏิเสธการให้เกียรติเพิ่มเติมอย่างถ่อมใจ โดยเน้นย้ำถึงความเรียบง่ายของการอุทิศตนอย่างแท้จริง

นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับสุนัข

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง มีรูปปั้นเฮอร์มาที่เรียบง่าย ซึ่งเป็นรูปปั้นสี่ด้านที่ทำเครื่องหมายขอบเขตของแผ่นดิน รูปปั้นเฮอร์มานี้ไม่เหมือนใคร เพราะรูปปั้นนี้อุทิศให้กับเทพผู้ส่งสารเฮอร์มีส ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องความรวดเร็วและความฉลาด

Once upon a time, In a peaceful village, there stood a simple herma statue, a four-sided statue that marked the boundaries of the land. This herma statue was unlike any other, for it was dedicated to the messenger god Hermes, known for his swiftness and cleverness.

เช้าอันสดใสวันหนึ่ง ขณะที่ดวงอาทิตย์อาบแสงสีทองให้กับหมู่บ้าน สุนัขผู้ถ่อมตนผู้มีจิตใจเคร่งศาสนาได้เข้ามาหาเฮอร์มา สุนัขตระหนักถึงความเชื่อมโยงอันศักดิ์สิทธิ์จึงตัดสินใจแสดงความเคารพต่อเฮอร์มีส ด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้ง มันเงยหน้าขึ้น และด้วยท่าทางที่เรียบง่ายที่สุดแต่จริงใจที่สุด มันก็ทักทายเฮอร์มา

One bright morning, as the sun bathed the village in its golden light, a humble dog with a pious heart approached the herma. The dog, recognizing the divine connection, decided to pay homage to Hermes. With a deep sense of reverence, it raised its head, and in the simplest yet most sincere gesture, it saluted the herma.

เฮอร์มีสซึ่งเฝ้าดูจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา รู้สึกประทับใจกับการกระทำอันต่ำต้อยนี้ เขาปรากฏตัวต่อหน้าสุนัขในร่างอันศักดิ์สิทธิ์ของเขา มีรูปร่างที่เปล่งประกายสวมรองเท้ามีปีก สุนัขรู้สึกประหลาดใจและตกตะลึง รู้สึกถึงทั้งความสุขและความกลัวผสมกัน

Hermes, who had been watching from his divine realm, was touched by this humble act. He appeared before the dog in his divine form, a radiant figure with winged sandals. The dog, surprised and awestruck, felt a mixture of joy and fear.

เฮอร์มีสพูดด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นกับสุนัขว่า “เจ้าสุนัขผู้ซื่อสัตย์ การแสดงความเคารพของเจ้าทำให้ข้าประทับใจอย่างยิ่ง มันทำให้ข้าอบอุ่นใจที่ได้เห็นความจงรักภักดีของเจ้า ข้าจะทำอะไรได้บ้างเพื่อแสดงความขอบคุณเจ้า”

Hermes, with a warm smile, spoke to the dog, “Faithful one, your act of reverence has moved me. It warms my heart to see your devotion. What can I do to show my gratitude?”

สุนัขผู้ต่ำต้อยกระดิกหางอย่างมีความสุขตอบว่า “เฮอร์มีสผู้ยิ่งใหญ่ ข้าอยากจะชโลมท่านด้วยน้ำหอมที่หอมหวานที่สุด และประดับเฮอร์มาของคุณด้วยดอกไม้และมาลัย ท่านจะเป็นผู้นำทางนักเดินทางและปกป้องขอบเขต และสมควรได้รับเกียรติทั้งหมด”

The humble dog, its tail wagging in happiness, replied, “Great Hermes, I wish to anoint you with the sweetest perfumes and adorn your herma with flowers and garlands. You, who guide travelers and protect boundaries, deserve all honor.”

อย่างไรก็ตาม เฮอร์มีสยกมือขึ้นด้วยท่าทางอ่อนโยน เพื่อหยุดความตั้งใจของสุนัข “เพื่อนรัก” เขากล่าว “ข้าซาบซึ้งในความรักและความเคารพของเจ้า แต่ข้าไม่ได้แสวงหาเกียรติหรือเครื่องประดับใดๆ เพิ่มเติม คำทักทายที่เรียบง่ายของเจ้าซึ่งเกิดจากความจริงใจของหัวใจของเจ้า เป็นรูปแบบการอุทิศตนที่บริสุทธิ์ที่สุด มันคือทั้งหมดที่ข้าต้องการเพียงเท่านี้”

Hermes, however, raised his hand in a gentle gesture, halting the dog’s intentions. “Dear friend,” he said, “I appreciate your love and respect, but I do not seek further honor or adornment. Your simple salute, born from the sincerity of your heart, is the purest form of devotion. It is all I need.”

สุนัขเข้าใจคำพูดของเฮอร์มีส จึงพยักหน้าด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยตระหนักว่าการอุทิศตนที่แท้จริงมาจากใจ ไม่ใช่จากการแสดงท่าทางหรือการถวายอันใหญ่โต ด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างสุดซึ้ง สุนัขยังคงไปเยี่ยมเฮอร์มาต่อไป โดยแสดงความเคารพอย่างจริงใจต่อเทพเจ้าเฮอร์มีส

The dog, understanding Hermes’ words, nodded with humility. It realized that true devotion came from the heart, not from grand gestures or offerings. With a deep sense of contentment, the dog continued to visit the herma, offering its sincere salutes to the god Hermes.

นิทานอีสปเทพเฮอร์มีสกับสุนัข

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การอุทิศตนอย่างแท้จริงต่อบางสิ่งนั้นมาจากใจจริงและไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาอย่างประณีต”

  • ความจริงใจในการอุทิศตน: เรื่องราวนี้เน้นถึงคุณค่าของการอุทิศตนอย่างจริงใจและจริงใจต่อท่าทางหรือการถวายอันยิ่งใหญ่
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตน: การที่เฮอร์มีสปฏิเสธที่จะให้เกียรติต่อไปสอนเราว่าแม้แต่เทพเจ้าก็ยังชื่นชมความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเรียบง่าย
  • พลังของการกระทำที่เรียบง่าย: การแสดงความเคารพเล็กๆ น้อยๆ อย่างแท้จริงสามารถถือเป็นความหมายและความสำคัญที่ยิ่งใหญ่ได้
  • ตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์: เรื่องราวเตือนให้เรารับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตประจำวัน แม้แต่ในสถานที่ที่เรียบง่ายที่สุด
  • บทเรียนของความพึงพอใจ: ความพึงพอใจมาจากภายใน และการอุทิศตนที่แท้จริงคือเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของหัวใจ ไม่ใช่การแสดงภายนอก

“True devotion for something is heartfelt and doesn’t require elaborate displays.”

  • Sincerity in Devotion: This story highlights the value of sincere and heartfelt devotion over grand gestures or offerings.
  • Humility: Hermes’ refusal of further honor teaches us that even gods appreciate humility and simplicity.
  • The Power of Simple Acts: Small, genuine gestures of reverence can hold great meaning and significance.
  • Recognizing the Divine: The story reminds us to acknowledge the divine in everyday life, even in the simplest of places.
  • Lesson of Contentment: Contentment comes from within, and true devotion is about the purity of the heart, not external displays.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราให้รู้ถึงความงดงามอันลึกซึ้งของการอุทิศตนอย่างจริงใจและถ่อมตน และบทเรียนที่ว่าการแสดงความเคารพอย่างฟุ่มเฟือยอาจไม่จำเป็นเสมอไปในการเชื่อมโยงกับพระเจ้า มันเตือนเราว่าการอุทิศตนอย่างแท้จริงนั้นมาจากหัวใจ

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เทพเฮอร์มีสและประติมากร” ไทย-Eng

“เทพเฮอร์มีสและประติมากร” เป็นเรื่องราวนักเดินทางคนหนึ่งไปเยี่ยมชมห้องทำงานของประติมากรชื่อดัง เพื่อสอบถามเกี่ยวกับมูลค่าของรูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ  โดยสอนบทเรียนแก่ประติมากรในเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตนและคุณค่าของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสและประติมากร

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในตลาดอันคึกคักที่ตั้งอยู่ในเมืองโบราณอันมีเสน่ห์ มีประติมากรผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งซึ่งได้รับการยกย่องจากฝีมืออันยอดเยี่ยมของเขา ผลงานศิลปะของเขาประดับวัด พระราชวัง และพื้นที่สาธารณะ ดึงดูดใจทุกคนที่ได้พบเห็น

Once upon a time, In a bustling marketplace nestled within a charming ancient town, there lived a renowned sculptor who was celebrated for his exceptional craftsmanship. His works of art adorned temples, palaces, and public spaces, captivating the hearts of all who beheld them.

เช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส นักเดินทางผู้ถ่อมตน เครื่องแต่งกายธรรมดาๆ ท่าทางถ่อมตัว เดินเข้าไปในห้องทำงานของประติมากร นักเดินทางเดินทางจากดินแดนอันห่างไกลเพื่อชมผลงานชิ้นเอกที่เขาเคยได้ยินจากนิทาน

One sunny morning, a humble traveler, his attire plain and demeanor unassuming, wandered into the sculptor’s workshop. The traveler had journeyed from distant lands to witness the masterpieces he had heard from tales of.

เมื่อเข้ามา นักเดินทางก็จ้องมองรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ประดับเวิร์กช็อปด้วยความตกตะลึง เขาพรรณนาถึงเทพเจ้าและเทพธิดาแห่งกรีกโบราณซึ่งแกะสลักอย่างแม่นยำจนดูเหมือนเกือบจะมีชีวิตอยู่

Upon entering, the traveler gazed in awe at the divine statues that adorned the workshop. They depicted the gods and goddesses of ancient Greece, carved with such precision that they seemed almost alive.

นักเดินทางเข้าไปหาประติมากรซึ่งกำลังสกัดรายละเอียดของรูปปั้นอพอลโลอันงดงามอย่างพิถีพิถัน เขาถามว่า “รูปปั้นอพอลโล เทพแห่งดนตรีและแสงอันวิจิตรงดงามนี้ราคาเท่าไหร่”

The traveler approached the sculptor, who was meticulously chiseling the details of a magnificent Apollo statue. He asked, “How much for this exquisite statue of Apollo, the god of music and light?”

ประติมากรผู้มีหัวใจพองโตอย่างภาคภูมิใจตอบว่า “รูปปั้นอพอลโลนี้เป็นผลงานชิ้นเอกที่แท้จริง เป็นภาพสะท้อนของความงามอันศักดิ์สิทธิ์ คุณค่าของมันเกินจะวัดได้”

The sculptor, his heart swelling with pride, replied, “This statue of Apollo is a true masterpiece, a reflection of divine beauty. Its value is beyond measure.”

นักเดินทางพยักหน้าอย่างครุ่นคิดแล้วถามว่า “แล้วรูปปั้นเอเธน่า เทพีแห่งปัญญาที่ยืนอยู่ข้างๆ ล่ะ”

The traveler nodded thoughtfully and then inquired, “And what about the statue of Athena, the goddess of wisdom, standing beside it?”

ประติมากรครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “รูปปั้นของเอเธน่านั้นน่าทึ่งมาก แม้ว่าจะไม่ใหญ่โตเท่ากับอพอลโลก็ตาม มูลค่าของมันก็น้อยกว่าเล็กน้อย”

The sculptor pondered for a moment and replied, “Athena’s statue is indeed remarkable, although it is not as grand as Apollo. Its worth is slightly less.”

นักเดินทางยิ้มอย่างอบอุ่นและพูดต่อ “ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าข้าจะซื้อทั้งรูปปั้นอพอลโลและเอเธน่าด้วยกันล่ะ?”

The traveler smiled warmly and continued, “I see. What if I were to purchase both the Apollo and Athena statues together?”

ดวงตาของประติมากรเป็นประกายด้วยความคาดหวังที่จะขายผลงานสร้างสรรค์อันล้ำค่าของเขาสองชิ้น เขาเสนอราคาจำนวนมากและกระตือรือร้นที่จะขายให้เสร็จสิ้น

The sculptor’s eyes gleamed with anticipation at the prospect of selling two of his prized creations. He quoted a substantial sum, eager to complete the sale.

แต่นักเดินทางมีอีกหนึ่งคำขอ “ถ้าข้าซื้อทั้งรูปปั้นอพอลโลและเอเธน่า” เขากล่าว “ข้ายังอยากได้รูปปั้นของเฮอร์มีส เทพแห่งการสื่อสารและความฉลาดแกมโกงฟรีๆ อีกด้วย”

But the traveler had one more request. “If I acquire both the Apollo and Athena statues,” he said, “I would also like to get free the statue of Hermes, the god of communication and cunning.”

ประติมากรหยุดชั่วคราว รู้สึกงงเล็กน้อยกับตัวเลือกของนักเดินทาง เฮอร์มีสไม่ถือว่าเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่โดดเด่นที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาเห็นด้วยกับคำขอนี้ โดยคิดว่าการขายรูปปั้นสามรูปในวันเดียวถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง

The sculptor paused, slightly puzzled by the traveler’s choice. Hermes was not considered one of the most prominent gods. Nevertheless, he agreed to the request, thinking that selling three statues in one day was a remarkable feat.

เมื่อพวกเขาสรุปข้อตกลง พฤติกรรมของนักเดินทางก็เปลี่ยนไป ด้วยแววตาของเขา เขาเผยให้เห็นว่า “ฉันคือเฮอร์มีส เทพเจ้าที่คุณแกะสลักไว้ แต่จากการประเมินของเจ้าแล้ว ข้ามีค่าน้อยกว่าอพอลโลและเอเธน่า”

As they finalized the deal, the traveler’s demeanor shifted. With a twinkle in his eye, he revealed, “I am Hermes, the god of whom you have sculpted. And yet, in your estimation, I was worth less than Apollo and Athena.”

ประติมากรผู้ถ่อมตัวและรู้แจ้งตระหนักถึงความโง่เขลาของเขา ความภาคภูมิใจของเขาบดบังการตัดสินของเขา และเขาได้ประเมินคุณค่าของรูปปั้นเฮอร์มีสต่ำเกินไป

The sculptor was struck by his own arrogance, realizing that he had undervalued a god’s likeness based on his perception.

นิทานอีสปเทพเฮอร์มีสและประติมากร

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความเย่อหยิ่งทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าของทุกคน โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญที่รับรู้ของพวกเขา”

  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนในการรับรู้ตนเอง: เรื่องราวเน้นถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนในการรับรู้ตนเอง ความหยิ่งยโสสามารถนำไปสู่การดูถูกผู้อื่นและคุณค่าของพวกเขา
  • คุณค่าที่เหนือกว่ารูปลักษณ์ภายนอก: เป็นสิ่งเตือนใจว่าคุณค่าที่แท้จริงนั้นนอกเหนือไปจากรูปลักษณ์หรือตำแหน่งภายนอก การสร้างและการดำรงอยู่แต่ละครั้งมีคุณค่าไม่ซ้ำกัน
  • การหลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่ง: ความเย่อหยิ่งสามารถนำไปสู่การมองข้ามคุณค่าที่แท้จริงของบุคคลหรือสิ่งของ มักส่งผลให้พลาดโอกาสและบทเรียน
  • ตระหนักถึงคุณค่าของทุกสิ่ง: ทุกบทบาท ไม่ว่าจะดูเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม มีบทบาทสำคัญในผืนผ้าผืนใหญ่แห่งชีวิต
  • อันตรายจากการประเมินค่าต่ำไป: การประเมินค่าบุคคลต่ำไปโดยอาศัยการตัดสินอย่างผิวเผินอาจนำไปสู่การสูญเสียศักยภาพและความเข้าใจที่มีคุณค่า

“Arrogance blinds us to the worth of all, regardless of their perceived significance.”

  • Humility in Self-Perception: The story emphasizes the importance of humility in self-perception. Pride can lead to underestimating others and their worth.
  • Value Beyond Appearances: It’s a reminder that intrinsic value goes beyond external appearances or titles. Each creation and being holds unique worth.
  • Avoiding Arrogance: Arrogance can lead to overlooking the true value of individuals or things, often resulting in missed opportunities and lessons.
  • Recognizing the Value of All: Every role, no matter how minor it may seem, plays a vital part in the grand tapestry of life.
  • The Dangers of Underestimation: Underestimating someone based on superficial judgments can lead to lost potential and valuable insights.

โดยสรุปแล้วนิทานเป็นเรื่องราวประสบการณ์ของประติมากรทำหน้าที่เป็นบทเรียนอันเจ็บปวดในการตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งมีชีวิตและสิ่งสร้างสรรค์ทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงรูปลักษณ์หรือตำแหน่ง และไม่เคยประเมินใครต่ำเกินไป

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “งูกับพุ่มไม้หนาม” ไทย-Eng

“งูกับพุ่มไม้หนาม” เป็นนิทานอีสปที่กล่าวถึงงูจอมหลอกลวงซึ่งขึ้นชื่อว่ามีพฤติกรรมทรยศ ได้เข้าไปพัวพันกับพุ่มไม้หนามในช่วงน้ำท่วม หมาป่าที่ฉลาดจะสังเกตชะตากรรมของงูและแสดงความคิดเห็นว่า “เรือชั่วร้ายและคู่ควรกับกะลาสีของมัน”

นิทานอีสปเรื่องงูกับพุ่มไม้หนาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในใจกลางของป่าทึบ มีพุ่มไม้หนามตั้งตระหง่านอยู่ และภายในนั้นมีงูตัวหนึ่งพบที่อยู่อาศัยของมันแล้ว อย่างไรก็ตาม งูตัวนี้ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในป่า มันเป็นเจ้าเล่ห์ หลอกลวง และวางแผนทำร้ายผู้อื่นอยู่เสมอ

Once upon a time, In the heart of a dense forest, there stood a thorn hedge, and within it, a snake had found its dwelling. This snake, however, was not like the other creatures of the forest. It was cunning, deceitful, and always scheming to harm others.

เมื่อเวลาผ่านไป ธรรมชาติที่ทรยศของงูก็กลายเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวป่า สัตว์หลายชนิดตกเป็นเหยื่อของแผนการอันชาญฉลาดของมัน และพวกมันก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวต่อแผนการอันคดเคี้ยวของงูอยู่ตลอดเวลา

As time passed, the snake’s treacherous nature became well-known among the forest inhabitants. Many animals had fallen victim to its cunning plots, and they lived in constant fear of the snake’s devious schemes.

วันหนึ่ง เกิดพายุใหญ่เข้าทำลายป่า ทำให้เกิดฝนตกหนักจนทำให้แม่น้ำที่อยู่ใกล้เคียงพองตัวเกินตลิ่ง น้ำท่วมทะลักผ่านป่า กวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า รวมถึงรั้วหนามที่เคยเป็นบ้านของงูด้วย

One day, a tremendous storm struck the forest, bringing torrential rain that caused the river nearby to swell beyond its banks. The floodwaters surged through the forest, sweeping away everything in its path, including the thorn hedge that had been the snake’s home.

งูพันติดอยู่กับกิ่งไม้หนามอย่างช่วยไม่ได้ และพยายามต่อสู้กับกระแสน้ำที่ไม่หยุดหย่อนอย่างไร้ผล มันพยายามอย่างยิ่งที่จะปลดปล่อยตัวเองออกมา แต่หนามก็กักมันเอาไว้ไว้ในขณะที่น้ำท่วมพัดพามันไป

Helplessly entwined in the thorny branches, the snake struggled in vain against the relentless current. It desperately tried to free itself, but the thorns held it captive as the floodwaters carried it away.

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย หมาป่าเฒ่าผู้ชาญฉลาดได้เฝ้าสังเกตสภาพของงูจากระยะไกลที่ปลอดภัย ขณะที่งูถูกพาตัวไปในน้ำที่ไม่อาจให้อภัยได้ หมาป่าก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “เรือชั่วร้าย และมันก็คู่ควรกับกะลาสีเรือชั่วของมัน!”

Amidst the chaos, a wise old wolf observed the snake’s plight from a safe distance. As the snake was carried away by the unforgiving waters, the wolf couldn’t help but utter a remark, “A wicked ship, and worthy of its sailor!”

คำพูดของหมาป่ามีความจริงอันลึกซึ้ง พวกเขาพูดถึงแนวคิดที่ว่าคนที่ทำความชั่วร้ายและการหลอกลวงมักจะถูกกำจัดโดยการกระทำอันมุ่งร้ายของตนเอง ในกรณีนี้ ธรรมชาติที่ทรยศของงูได้นำไปสู่ความพินาศของมันเอง

The wolf’s words carried a profound truth. They spoke to the idea that those who engage in wickedness and deceit are often undone by their own malevolent actions. In this case, the snake’s treacherous nature had led to its own downfall.

นิทานอีสปงูกับพุ่มไม้หนาม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ผู้ที่มีส่วนร่วมในการหลอกลวงมักจะได้รับผลจากการกระทำของตนเอง”

  • ผลที่ตามมาของการฉ้อฉล: เรื่องราวเน้นว่าการกระทำที่หลอกลวงสามารถนำไปสู่ความหายนะและความทุกข์ทรมานของบุคคลได้ในที่สุด
  • ความรับผิดชอบ: เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและความคิดที่ว่าความชั่วร้ายมักจะก่อให้เกิดการลงโทษในตัวเอง
  • เลือกคู่หูของคุณอย่างชาญฉลาด: ความคิดเห็นของหมาป่าทำหน้าที่เป็นคำเตือนเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนหรือเพื่อนกับใคร ผู้ที่กระทำการหลอกลวงอาจพบว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับบุคคลที่คล้ายกันซึ่งนำไปสู่การล่มสลายโดยรวม
  • ความทุกข์ทรมานจากการทำร้ายตัวเอง: สถานการณ์ของงูแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมที่เป็นอันตรายสามารถนำไปสู่ความทุกข์ทรมานจากการทำร้ายตัวเองได้อย่างไร แม้ว่าสถานการณ์ภายนอกจะดูรุนแรงก็ตาม
  • ผู้สังเกตการณ์ที่ชาญฉลาด: เรื่องราวเน้นบทบาทของคนฉลาดที่สังเกตผลที่ตามมาของการกระทำของผู้อื่น และนำเสนอข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าที่ทำหน้าที่เป็นบทเรียนสำหรับทุกคน

“Who engage in deceit often suffer the consequences of their own actions.”

  • Consequences of Deceit: The story emphasizes that deceitful actions can eventually lead to an individual’s downfall and suffering.
  • Accountability: It underscores the importance of being accountable for one’s actions and the notion that wickedness often begets its own punishment.
  • Choose Your Companions Wisely: The wolf’s comment serves as a warning about the company one keeps. Those who engage in deceitful acts may find themselves associated with similar individuals, leading to collective downfall.
  • Self-Inflicted Suffering: The snake’s predicament showcases how harmful behavior can lead to self-inflicted suffering, even when external circumstances seem harsh.
  • Wise Observers: The story highlights the role of wise individuals who observe the consequences of others’ actions and offer valuable insights that serve as lessons for all.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นเรื่องราวเตือนใจ เตือนเราถึงอันตรายของการหลอกลวงและพฤติกรรมที่ทรยศหักหลัง และผลที่ตามมาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่มักจะตามมา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “งูเจ้าเล่ห์กับปูผู้เที่ยงธรรม” ไทย-Eng

“งูเจ้าเล่ห์กับปูผู้เที่ยงธรรม” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงงูและปูซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน จะแยกจากกันเมื่องูยอมรับการหลอกลวงและการทรยศหักหลัง ความซื่อสัตย์ของปูมีชัย นำไปสู่จุดจบที่น่าเศร้าสำหรับงู

นิทานอีสปเรื่องงูเจ้าเล่ห์กับปูผู้เที่ยงธรรม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในพื้นที่ชายฝั่งอันเงียบสงบ งูและปูเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกเขาใช้เวลาทั้งวันอยู่ริมชายฝั่งทะเลที่ส่องแสงระยิบระยับ แบ่งปันเรื่องราว และดื่มด่ำกับความอบอุ่นของมิตรภาพ ปูซึ่งมีนิสัยซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามักแนะนำให้งูใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์และยอมรับคุณค่าของความซื่อสัตย์

Once upon a time, In a serene coastal region, a snake and a crab had once been close friends. They spent their days by the shimmering seashore, sharing stories and basking in the warmth of their friendship. The crab, with its honest and straightforward nature, often advised the snake to lead an honest life and embrace the values of integrity.

วันหนึ่งงูเข้ามาหาปูพร้อมกับความคิด “เพื่อนรัก” ข้อความนี้กล่าว “ลองจินตนาการถึงความร่ำรวยที่เราจะได้รับหากเราใช้กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เราจะมีโลกทั้งใบอยู่แทบเท้าของเรา” ปูซึ่งยึดมั่นในคุณค่าของมันอยู่เสมอตอบว่า “ข้าชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์ของเจ้า แต่ฉข้าเชื่อมั่นในคุณธรรมของความซื่อสัตย์ การหลอกลวงและกลอุบายอาจนำมาซึ่งผลประโยชน์ชั่วคราว แต่นำไปสู่ความทุกข์ยากในที่สุด”

One day, the snake approached the crab with an idea. “My dear friend,” it said, “imagine the riches we could acquire if we employed a few cunning tricks. We could have the world at our feet.” The crab, ever true to its values, replied, “I appreciate your creativity, but I firmly believe in the virtue of honesty. Deception and trickery may bring temporary gains, but they lead to misery in the end.”

อย่างไรก็ตาม งูซึ่งแกว่งไปมาด้วยสัญชาตญาณเจ้าเล่ห์และหลอกลวงของมัน แทบไม่ได้ใส่ใจกับคำแนะนำอันชาญฉลาดของปูเลย มันเริ่มมีแผนการอันชาญฉลาดและการติดต่อที่ไม่ซื่อสัตย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในชุมชนชายฝั่ง ซึ่งค่อยๆ กัดกร่อนความไว้วางใจระหว่างเพื่อนทั้งสอง

However, the snake, swayed by its sly and deceitful instincts, paid little heed to the crab’s wise counsel. It began to engage in cunning schemes and dishonest dealings with other creatures in the coastal community, which gradually eroded the trust between the two friends.

วันแห่งชะตากรรมวันหนึ่ง ขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นอยู่ริมฝั่ง งูพยายามหลอกลวงนกนางนวลด้วยคำสัญญาอันเป็นเท็จ ปูเมื่อเห็นการกระทำที่ทรยศนี้จึงทนไม่ได้กับความไม่ซื่อสัตย์ของเพื่อนอีกต่อไป ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเด็ดขาด ปูจึงจับงูและจับมันไว้แน่นในก้ามของมัน

One fateful day, as they were strolling by the shore, the snake attempted to deceive a seagull with false promises. The crab, witnessing this treacherous act, could no longer tolerate its friend’s dishonesty. In a swift and decisive move, the crab grabbed the snake and held it firmly in its pincers.

งูซึ่งบัดนี้ทำอะไรไม่ถูกและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ตระหนักถึงความหนักหน่วงของการเลือกของมันและผลที่ตามมาจากพฤติกรรมหลอกลวงของมัน มันคร่ำครวญถึงการกระทำของมัน โดยยอมรับว่าคำแนะนำของปูนั้นฉลาดและมีเจตนาดี

The snake, now helpless and immobilized, realized the gravity of its choices and the consequences of its deceitful behavior. It lamented its actions, acknowledging that the crab’s counsel had been wise and well-intentioned.

หลังจากการไตร่ตรองครู่หนึ่ง ปูก็คลายการจับงูออก ขณะเดียวกัน ร่างของงูก็แข็งทื่อ และหายใจเฮือกสุดท้าย ปูมองดูรูปร่างที่ไร้ชีวิตของงูแล้วพูดอย่างเศร้าใจว่า “ถ้าเจ้าทำตามคำแนะนำของข้าก่อนหน้านี้และดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ เจ้าไม่จำเป็นต้องพบกับจุดจบที่โชคร้ายนี้”

The crab, after a moment of reflection, loosened its grip on the snake. As it did, the snake’s body stiffened, and it took its last breath. The crab looked at the snake’s lifeless form and sorrowfully commented, “If only you had heeded my advice earlier and led an honest life, you need not have met this unfortunate end.”

นิทานอีสปงูเจ้าเล่ห์กับปูผู้เที่ยงธรรม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ผลที่ตามมาของความไม่ซื่อสัตย์และคุณค่าของความซื่อสัตย์ และราคาที่ต้องจ่ายของคำหลอกลวง”

  • ผลที่ตามมาของความไม่ซื่อสัตย์: เรื่องราวเน้นว่าความไม่ซื่อสัตย์และการหลอกลวงสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย ทั้งในความสัมพันธ์และในชีวิต
  • คุณค่าของการให้คำปรึกษาที่ซื่อสัตย์: เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเอาใจใส่คำแนะนำของเพื่อนที่ซื่อสัตย์และมีเจตนาดีที่ใส่ใจในความเป็นอยู่ของเราอย่างแท้จริง
  • ความเสียใจและการไตร่ตรอง: ความเสียใจของงูต่อการกระทำของมันทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะไตร่ตรองทางเลือกของตนเองและมุ่งมั่นเพื่อเส้นทางที่ดีกว่า
  • ราคาของการหลอกลวง: การหลอกลวงมักมาพร้อมกับราคาที่สูง ดังที่เห็นได้จากชะตากรรมอันโชคร้ายของงู
  • เรื่องความซื่อสัตย์: ความซื่อสัตย์และความตรงไปตรงมาของปูได้รับการยกย่องว่าเป็นคุณธรรม ส่งเสริมแนวคิดที่ว่าการใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์มีคุณค่า

“The consequences of dishonesty and the value of integrity. And the price to pay for deception.”

  • The Consequences of Dishonesty: The story emphasizes that dishonesty and deceit can lead to dire consequences, both in relationships and in life.
  • Value of Honest Counsel: It highlights the importance of heeding the advice of honest and well-intentioned friends who genuinely care about our well-being.
  • Regret and Reflection: The snake’s regret for its actions serves as a reminder that it’s never too late to reflect on one’s choices and strive for a better path.
  • The Price of Deception: Deceit often comes at a high cost, as seen in the snake’s unfortunate fate.
  • Integrity Matters: The crab’s honesty and straightforwardness are celebrated as virtues, promoting the idea that living an honest life is valuable.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับผลของความไม่ซื่อสัตย์ ความสำคัญของคำแนะนำที่ซื่อสัตย์ และคุณค่าของความซื่อสัตย์ในการกระทำและความสัมพันธ์ของเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เหยี่ยวดำป่วย” ไทย-Eng

“เหยี่ยวดำป่วย” เป็นนิทานอีสปที่บอกเล่าเรื่องราวของเหยี่ยวดำที่กำลังจะตายซึ่งเต็มไปด้วยความเสียใจต่อชีวิตที่ผิดพลาด โดยเน้นถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมาย และหลีกเลี่ยงการกลับใจในนาทีสุดท้ายบนเตียงครั้งสุดท้าย

นิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวดำป่วย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ท่ามกลางท้องฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด เหยี่ยวดำที่เหนื่อยล้าและป่วยก็ทะยานขึ้นอย่างไร้จุดหมาย ปีกของมันซึ่งครั้งหนึ่งเคยทรงพลัง ตอนนี้กลับอ่อนแอและอ่อนแอ มันใช้ชีวิตอย่างประมาทเลินเล่อ ปล่อยใจไปกับการผจญภัยทุกประเภทโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา

Once upon a time, Amidst the endless skies, a tired and ailing kite soared aimlessly. Its wings, once powerful, were now frail and feeble. It had lived its life recklessly, indulging in all kinds of misadventures without a second thought for the consequences.

เมื่อกำลังของเหยี่ยวดำลดลง มันก็ตระหนักถึงความประมาทเลินเล่อในเยาว์วัยและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ความเสียใจท่วมท้นความคิดของมัน และปรารถนาที่จะมีโอกาสแก้ไขความเสียหายที่มันเกิดขึ้น ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย มันร้องขอการให้อภัยและสัญญาว่าจะเปลี่ยนวิถีหากได้รับโอกาสอีกครั้ง

As the kite’s strength waned, it realized the recklessness of its youth and the mistakes it had made. Regret flooded its thoughts, and it longed for a chance to undo the harm it had caused. With its last breath, it pleaded for forgiveness and promised to change its ways if given another opportunity.

แต่โชคชะตาไม่ให้อภัยเหมือนสายลม ที่ไม่แสดงความเมตตา คำวิงวอนของเหยี่ยวดำไม่มีคำตอบ และมันก็ยอมจำนนต่ออาการป่วย และเวียนวนจนเหลือระยะสุดท้าย

But fate, as unforgiving as the wind, showed no mercy. The kite’s plea went unanswered, and it succumbed to its ailments, spiraling down to its final rest.

เมื่อลมหายใจเฮือกสุดท้าย ว่าวป่วยโหยหาเวลามากขึ้นเพื่อแก้ไข ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยจุดมุ่งหมายและความหมาย แต่การเงื้อมมือแห่งความตายมิอาจหยุดยั้งได้ และไม่ได้ให้โอกาสครั้งที่สอง

With its last breath, the sick kite yearned for more time to make amends, to live a life filled with purpose and meaning. But the unrelenting grip of death offered no second chances.

นิทานอีสปเหยี่ยวดำป่วย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความเสียใจเป็นเครื่องเตือนใจว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่าและไม่ควรถูกใช้อย่างสิ้นเปลือง เนื่องจากไม่รับประกันโอกาสครั้งที่สอง”

  • คุณค่าของเวลา: เรื่องราวนี้เป็นเครื่องเตือนใจอันเจ็บปวดถึงความสำคัญของการใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในชีวิต มันสนับสนุนให้เราคว้าโอกาส ไล่ตามความปรารถนาของเรา และทะนุถนอมทุกช่วงเวลา
  • การหลีกเลี่ยงความเสียใจ: เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้ชีวิตโดยปราศจากความเสียใจ ตัดสินใจเลือกที่สอดคล้องกับค่านิยมและแรงบันดาลใจของเรา
  • การกลับใจบนเตียงครั้งสุดท้าย: เรื่องราวเตือนไม่ให้ต้องพึ่งพาความเสียใจในนาทีสุดท้ายและการเปลี่ยนแปลงในใจ มันสนับสนุนให้เราดำเนินชีวิตในลักษณะที่สอดคล้องกับค่านิยมและหลักการของเราตั้งแต่เริ่มต้น
  • การยอมรับวัตถุประสงค์: ความเสียใจของเหยี่ยวดำที่ป่วยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมาย ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายและการกระทำที่มีความหมาย
  • ความไม่เที่ยงของชีวิต: เน้นย้ำถึงธรรมชาติของชีวิตที่หายวับไปและความที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของความตาย ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราใช้เวลาทุกช่วงเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด: เรื่องราวเตือนเราว่าไม่เคยสายเกินไปที่จะไตร่ตรองตัวเลือกของเราและทำการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในขณะที่ยังมีเวลาอยู่

“Regret serves as a stark reminder that time is precious and should not be squandered, as second chances are not guaranteed.”

  • The Value of Time: This story serves as a poignant reminder of the importance of making the most of the time we have in life. It encourages us to seize opportunities, pursue our passions, and cherish every moment.
  • Avoiding Regrets: It emphasizes the need to live a life free from regrets, making choices that align with our values and aspirations.
  • Final death-bed Repentance: The story cautions against relying on last-minute regrets and changes of heart. It encourages us to live in a way that aligns with our values and principles from the start.
  • Embracing Purpose: The sick kite’s regrets highlight the significance of living a purposeful life, driven by meaningful goals and actions.
  • The Impermanence of Life: It underscores the fleeting nature of life and the inevitability of death, motivating us to make the most of every moment.
  • Learning from Mistakes: The story reminds us that it’s never too late to reflect on our choices and make positive changes while we still have time.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ถ่ายทอดบทเรียนเหนือกาลเวลาที่ว่าชีวิตที่ดำเนินไปอย่างมีเป้าหมายและความตั้งใจนั้นเติมเต็มได้มากกว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความเสียใจและพลาดโอกาส

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ชายผู้เรืออับปางและทะเล” ไทย-Eng

“ชายผู้เรืออับปางและทะเล” เป็นนิทานอีสปที่กล่าวถึงผู้รอดชีวิตจากเรืออับปางกล่าวหาว่าทะเลทรยศ แต่ทะเลกลับตอบโต้ว่าลมไม่ใช่ตัวมันเองที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนแทนที่จะโทษปัจจัยภายนอก

นิทานอีสปเรื่องชายผู้เรืออับปางและทะเล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งพบว่าตัวเองจมอยู่กับเศษซากเรืออับปางในทะเลอันกว้างใหญ่ที่ไม่อาจให้อภัยได้ ขณะที่เขาพยายามดิ้นรนที่จะลอยอยู่ ความโกรธและความสิ้นหวังก็ปะทุขึ้นภายในตัวเขา เขาตะโกนใส่ทะเลโดยกล่าวหาว่าเป็นการทรยศหักหลังชีวิตของกะลาสีเรือ

Once upon a time, there was a man who found himself shipwrecked, clinging to a piece of debris in the vast, unforgiving sea. As he struggled to stay afloat, anger and despair welled up within him. He shouted at the sea, accusing it of treachery for taking away the lives of sailors.

ด้วยความสิ้นหวัง เขาร้องออกมาว่า “เจ้าทะเลทรยศ! เจ้ากลืนกินเรือและมนุษย์อย่างไม่สำนึกผิด! เจ้าเป็นสัตว์ร้ายที่ไร้หัวใจ!”

In his desperation, he cried out, “You treacherous sea! You devour ships and men without remorse! You are a heartless beast!”

ทะเลตอบด้วยความประหลาดใจว่า “มนุษย์เอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงตำหนิข้า ข้าไม่ใช่ต้นเหตุของความทุกข์ทรมาน แต่เป็นพายุที่กวนน้ำทะเลของข้าให้ปั่นป่วน เช่นเดียวกับอารมณ์ภายในตัวเจ้าที่นำไปสู่การกระทำของเจ้าได้ มาเสียใจทีหลัง” และทะเลกล่าวต่อว่า “อย่าโทษฉันสำหรับความโชคร้ายของคุณ ข้าเป็นเพียงภาพสะท้อนของสายลมที่กวนใจข้า โดยธรรมชาติแล้ว ข้าสงบและปลอดภัยพอๆ กับผืนดินนั่นแหละ”

To his astonishment, the sea replied, “Why do you blame me, O mortal? I am not the cause of your suffering. It is the winds that stir my waters into turmoil, just as the emotions within you can lead to actions you may later regret.” and the sea said “do not blame me for your misfortune. I am but a reflection of the winds that stir me. By nature, I am as calm and safe as the land itself.”

นิทานอีสปชายผู้เรืออับปางและทะเล

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงไตร่ตรองถึงการกระทำของเราและรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของเรา แทนที่จะโทษสิ่งภายนอก”

  • การตำหนิผู้อื่น: เรื่องราวแสดงให้เห็นว่าผู้คนมักตำหนิแรงกดดันจากภายนอกสำหรับปัญหาของพวกเขาโดยไม่พิจารณาถึงสาเหตุที่ซ่อนอยู่ มันเตือนให้เราไตร่ตรองการกระทำและตัวเลือกของเราเองก่อนจะตำหนิ
  • การทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริง: เช่นเดียวกับลมที่รบกวนทะเล อารมณ์ภายในและการตัดสินใจของเราสามารถนำไปสู่ความวุ่นวายในชีวิตของเราได้ การทำความเข้าใจและจัดการกับสาเหตุที่แท้จริงเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญในการค้นหาสันติภาพ
  • การยอมรับความรับผิดชอบ: การตอบสนองของทะเลกระตุ้นให้เรารับผิดชอบต่อการกระทำและการตัดสินใจของเรา โดยตระหนักว่าเรามีพลังในการนำทางชีวิตของเราเอง
  • การแก้ไขข้อขัดแย้ง: แทนที่จะโยนความผิด การสื่อสารและความเข้าใจอย่างเปิดเผยสามารถนำไปสู่การแก้ไขข้อขัดแย้งและค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ท้าทาย
  • บทเรียนของธรรมชาติ: ธรรมชาติมักสะท้อนประสบการณ์ของมนุษย์ เช่นเดียวกับที่ทะเลยังคงสงบโดยปราศจากอิทธิพลของลม การค้นหาความสงบภายในและความมั่นคงสามารถช่วยให้เราฝ่าฟันพายุแห่งชีวิตได้ฉันใด

“Reflect on our actions and take responsibility for our choices rather than blaming external forces.”

  • Blaming Others: The story illustrates how people often blame external forces for their troubles without considering the underlying causes. It reminds us to reflect on our own actions and choices before assigning blame.
  • Understanding Root Causes: Like the winds that disturb the sea, our inner emotions and decisions can lead to turmoil in our lives. Understanding and addressing these root causes is essential for finding peace.
  • Accepting Responsibility: The sea’s response encourages us to take responsibility for our actions and decisions, recognizing that we have the power to navigate our own lives.
  • Conflict Resolution: Instead of assigning blame, open communication and understanding can lead to resolving conflicts and finding solutions to challenges.
  • Nature’s Lessons: Nature often mirrors human experiences. Just as the sea remains calm without the influence of the winds, finding inner calm and stability can help us weather life’s storms.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนเราว่าแม้ว่าสถานการณ์ภายนอกอาจมีบทบาทต่อความท้าทายของเรา แต่การรับผิดชอบต่อการกระทำและอารมณ์ของเราเป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาความสงบและการแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เทพารักษ์กับนักเดินทาง” ไทย-Eng

“เทพารักษ์กับนักเดินทาง” เป็นนิทานอีสปที่สอนบทเรียนเกี่ยวกับความซื่อสัตย์และความซื่อสัตย์ เตือนไม่ให้มีการพฤติการซ้ำซ้อน และเป็นที่มาของสำนวนยอดนิยม “เป่าร้อนและเป่าเย็น” ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียความไว้วางใจและมิตรภาพ

นิทานอีสปเรื่องเทพารักษ์กับนักเดินทาง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ใจกลางป่าอันหนาวเหน็บ เทพารักษ์ผู้เห็นอกเห็นใจ สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มีขาคล้ายแพะและลำตัวท่อนบนของมนุษย์ ได้บังเอิญพบกับนักเดินทางที่เหนื่อยล้า นักเดินทางนิ้วของเขาชาเพราะความหนาวเย็น ยอมรับคำเชิญอันสง่างามของเทพารักษ์ให้ไปหลบภัยในถ้ำอันอบอุ่นสบายของเขา ความอบอุ่นของไฟเริ่มละลายกระดูกที่เย็นชาของพวกเขา

Once upon a time, In the heart of a frosty forest, a compassionate satyr, a whimsical creature with goat-like legs and a human upper body, stumbles upon a weary traveler. The traveler, his fingers numb from the cold, accepts the satyr’s gracious invitation to take refuge in his cozy cave. The warmth of the fire begins to thaw their chilled bones.

ขณะที่พวกเขานั่งอยู่ข้างเปลวไฟ นักเดินทางก็เริ่มเป่านิ้วที่โดนความเย็นจัด และเทพารักษ์ผู้อยากรู้อยากเห็นก็ถามเกี่ยวกับการกระทำที่แปลกประหลาดนี้ นักเดินทางอธิบายว่าลมหายใจของเขาสามารถนำความอบอุ่นมาสู่นิ้วของเขาได้ ซึ่งเป็นเทคนิคที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เทพารักษ์ประทับใจในความฉลาดของนักเดินทางอย่างแท้จริง

As they sit by the crackling flames, the traveler starts to blow on his frostbitten fingers, and the curious satyr inquires about this peculiar act. The traveler explains that his breath can bring warmth to his fingers, a resourceful technique indeed. The satyr is genuinely impressed by the traveler’s cleverness.

อย่างไรก็ตาม การหลอกลวงเพียงชั่วครู่ได้ทำลายความสนิทสนมกันที่เพิ่งค้นพบนี้ นักเดินทางจอมซุกซนเป่าซุปร้อนๆ โดยอ้างว่ากำลังทำให้ซุปเย็นลง เทพารักษ์ ซึ่งเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์ มองผ่านความเท็จนี้ เขาตระหนักถึงความซ้ำซ้อนของนักเดินทางและรู้สึกตกใจกับพฤติกรรมการหลอกลวงดังกล่าว ความไว้วางใจของเขาถูกทรยศ และเขาไม่สามารถเก็บนักเดินทางที่หลอกลวงไว้ในถ้ำของเขาได้อีกต่อไป

However, a moment of deceit shatters the newfound camaraderie. The traveler, mischievously, blows on his steaming soup, asserting that he’s cooling it down. The satyr, a paragon of honesty, sees through this falsehood. He recognizes the traveler’s duplicity and is appalled by such double-dealing behavior. His trust has been betrayed, and he can no longer harbor the deceitful traveler in his cave.

ที่ตลกร้ายคือ เจตนาของนักเดินทางไม่ได้หลอกลวง แต่เทพารักษ์ไม่คิดอย่างนั้น

The funny thing is The traveler’s intentions were not deceptive. But the satyr doesn’t think so.

นิทานอีสปเทพารักษ์กับนักเดินทาง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“แม้ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะคิดอย่างนั้น”

  • ความซื่อสัตย์เป็นวิถีทางที่ดีที่สุด: นิทานเน้นย้ำบทเรียนเหนือกาลเวลาที่ว่าความซื่อสัตย์ควรเป็นรากฐานของการมีปฏิสัมพันธ์ของเราเสมอ การหลอกลวงสามารถคลี่คลายความไว้วางใจและนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน
  • ความมีน้ำใจและการตอบแทนซึ่งกันและกัน: เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตอบแทนความเมตตาด้วยความซื่อสัตย์ เมื่อมีคนแสดงน้ำใจออกมา ถือเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะต้องตอบสนองด้วยความจริงใจและความกตัญญู
  • ผลที่ตามมาของการหลอกลวง: การหลอกลวงมีผลตามมา ดังที่เห็นได้จากการสูญเสียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เทพารักษ์จัดเตรียมไว้ให้ของผู้เดินทาง
  • ความไว้วางใจและมิตรภาพ: ความไว้วางใจเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ที่มีความหมาย เมื่อความไว้วางใจถูกทำลายลง การสร้างใหม่หรือรักษามิตรภาพที่แท้จริงไว้ก็เป็นเรื่องท้าทาย
  • การปฏิบัติที่ยุติธรรมและมีจริยธรรม: การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างยุติธรรม ซื่อสัตย์ และด้วยความเคารพ ดังที่เทพารักษ์ทำในตอนแรก จะส่งเสริมความสัมพันธ์เชิงบวกและยั่งยืน
  • ความซื่อสัตย์ส่วนบุคคล: เรื่องราวสนับสนุนให้เรารักษาความซื่อสัตย์ส่วนบุคคลของเรา เพื่อให้มั่นใจว่าคำพูดและการกระทำของเราสอดคล้องกับความซื่อสัตย์

“Even if there is no intention to deceive But not everyone would think so.”

  • Honesty is the Best Policy: The fable underscores the timeless lesson that honesty should always be the foundation of our interactions. Deception can unravel trust and lead to fractured relationships.
  • Kindness and Reciprocity: It highlights the importance of reciprocating kindness with integrity. When someone extends their generosity, it’s our responsibility to respond with sincerity and gratitude.
  • Consequences of Deception: Deceit carries consequences, as illustrated by the traveler’s loss of the sanctuary provided by the satyr.
  • Trust and Friendships: Trust is the cornerstone of any meaningful relationship. Once trust is shattered, it’s challenging to rebuild or maintain a genuine friendship.
  • Fair and Ethical Conduct: Treating others fairly, honestly, and with respect, as the satyr initially did, fosters positive and lasting connections.
  • Personal Integrity: The story encourages us to uphold our personal integrity, ensuring our words and actions align with honesty.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นเรื่องราวเตือนใจต่ออันตรายของการซ้ำซ้อนและคุณค่าที่ยั่งยืนของความซื่อสัตย์ในการมีปฏิสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดสำนวนยอดนิยมว่า ‘เป่าร้อนและเป่าเย็น’ เตือนเราให้ระวังพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องและหลอกลวง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ดอกกุหลาบและดอกบานไม่รู้โรย” ไทย-Eng

“ดอกกุหลาบและดอกบานไม่รู้โรย” เป็นนิทานอีสปที่เป็นเรื่องราวของดอกผักบานไม่รู้โรยยกย่องความงามของดอกกุหลาบ ในขณะที่ดอกกุหลาบรับรู้ถึงธรรมชาติที่ดำรงอยู่ชั่วคราวของมัน และดอกผักโขมรู้สึกภาคภูมิใจในการดำรงอยู่ของมันอย่างยั่งยืน

นิทานอีสปเรื่องดอกกุหลาบและดอกบานไม่รู้โรย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสวนที่มีชีวิตชีวา ดอกดอกบานไม่รู้โรยผู้ต่ำต้อยพบว่าตัวเองเติบโตอยู่ข้างๆ ดอกกุหลาบอันงดงาม ชื่นชมความงามอันวิจิตรและกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ ทำให้ผักดอกบานไม่รู้โรยอดไม่ได้ที่จะแสดงความชื่นชม “โอ้ กุหลาบผู้สง่างาม” มันกล่าว “ความงดงามของเจ้าทำให้ทุกคนที่จ้องมองเจ้าหลงใหล การปรากฏของคุณนำความสุขมาสู่สวนแห่งนี้”

Once upon a time, In a vibrant garden, a humble amaranth found itself growing beside a magnificent rose. Admiring the rose’s exquisite beauty and fragrant reputation, the amaranth couldn’t help but express its admiration. “Oh gracious rose,” it said, “your splendor enchants all who gaze upon you. Your presence brings joy to this garden.”

กุหลาบมีความสง่างามตอบสนองด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนเท่าเทียมกัน “ดอกดอกบานไม่รู้โรยที่รัก” มันตอบ “คำพูดของเจ้าทำให้ข้าอบอุ่น แต่จำไว้ว่าความงามของข้านั้นอยู่เพียงชั่วครู่ และเวลาของข้าที่นี่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ข้าอาจจะบานสะพรั่งได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ในไม่ช้า กลีบดอกไม้ของข้าก็เหี่ยวเฉา และ กลิ่นของข้าก็จะจางหายไป”

The rose, in its elegance, responded with equal humility. “Dear amaranth,” it replied, “your words warm my heart. Yet, remember that my beauty is fleeting, and my time here is but a brief moment. I may bloom for a short while, but soon my petals will wither, and my fragrance will fade.”

ดอกดอกบานไม่รู้โรยฟังด้วยความเคารพและเข้าใจ “จริง” มันรำพึง “ความงามของเจ้าอาจอยู่เพียงชั่วครู่ แต่ธรรมชาติที่ยืนยงของข้าทำให้ข้าสามารถชื่นชมสวนแห่งนี้ได้ตลอดฤดูกาล ไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นนิรันดร์”

The amaranth listened with respect and understanding. “True,” it mused, “your beauty may be fleeting, but my enduring nature allows me to grace this garden through seasons, unwavering and eternal.”

นิทานอีสปดอกกุหลาบและดอกบานไม่รู้โรย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงรับรู้ถึงคุณค่าของทั้งความงดงามที่หายวับไป และความยืดหยุ่นในชีวิต”

  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนและการเคารพซึ่งกันและกัน: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างดอกกุหลาบกับผักโขมแสดงให้เห็นถึงพลังของความอ่อนน้อมถ่อมตนและความชื่นชมซึ่งกันและกัน เตือนให้เราชื่นชมคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์ของกันและกันโดยไม่หยิ่งผยอง
  • การโอบรับความไม่เที่ยง: การรับรู้ถึงความงามชั่วคราวของดอกกุหลาบสอนให้เรายอมรับความไม่เที่ยงในชีวิตและค้นหาคุณค่าในช่วงเวลาปัจจุบัน
  • ความหลากหลายในคุณค่า: เรื่องราวเน้นย้ำว่าสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันซึ่งมีส่วนช่วยต่อความงดงามและความสำคัญของโลก แต่ละคนมีบทบาทและคุณค่าของตัวเอง
  • ความงามของการมีอายุยืนยาว: ธรรมชาติอันเป็นนิรันดร์ของผักโขมบ่งบอกถึงความงามของความอดทนและความพากเพียร แสดงให้เห็นว่าความสม่ำเสมอสามารถรักษาเสน่ห์ของตัวเองได้อย่างไร
  • การสะท้อนถึงแก่นแท้: การไตร่ตรองถึงแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกทำให้เราค้นพบความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและชื่นชมคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งเหล่านั้น
  • การยอมรับความหลากหลาย: เช่นเดียวกับสวนที่เจริญรุ่งเรืองไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ โลกของเราก็เต็มไปด้วยความหลากหลายของผู้คนและคุณสมบัติของพวกเขา การเปิดรับความแตกต่างเหล่านี้ช่วยส่งเสริมสังคมที่มีความสามัคคี

“Be aware value both the fleeting beauty and enduring resilience in life.”

  • Humility and Mutual Respect: The interaction between the rose and the amaranth showcases the power of humility and mutual admiration, reminding us to appreciate each other’s unique qualities without arrogance.
  • Embracing Impermanence: The rose’s acknowledgment of its transient beauty teaches us to accept impermanence in life and find value in the present moment.
  • Diversity in Value: The story highlights how different beings possess distinct qualities that contribute to the world’s beauty and significance. Each has its own role and worth.
  • The Beauty of Longevity: The amaranth’s everlasting nature signifies the beauty of endurance and persistence, illustrating how consistency can hold its own charm.
  • Reflection on Essence: Reflecting on the essence of things beyond their outward appearances enables us to discover deeper meanings and appreciate their true worth.
  • Embracing Diversity: Just as the garden thrives with various blooms, our world is enriched by the diversity of people and their qualities. Embracing these differences fosters a harmonious society.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้แสดงให้เราเห็นคุณค่าของคุณสมบัติอันหลากหลายที่แต่ละบุคคลนำมาสู่ชีวิตของเรา และยอมรับทั้งแง่มุมของการดำรงอยู่เพียงชั่วครู่และยั่งยืน

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “แม่น้ำกับทะเล” ไทย-Eng

“แม่น้ำกับทะเล” เป็นนิทานอีสปโดยแม่น้ำสายต่างๆ บ่นกับทะเลว่าน้ำเปลี่ยนเป็นเค็ม แต่ทะเลแนะนำให้พวกเขาเลือกเส้นทางอื่นหากต้องการหลีกเลี่ยงความเค็ม

นิทานอีสปเรื่องวัวและแม่น้ำกับทะเล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ท่ามกลางผืนดิน แม่น้ำไหลอย่างสง่างาม พัดพาน้ำใสและหวานผ่านหุบเขาและที่ราบ กระนั้น ขณะที่พวกสายน้ำเดินทาง พวกเขาบ่นกันเองเกี่ยวกับความคับข้องใจที่พวกเขาเผชิญต่อทะเลอันกว้างใหญ่ พวกเขาคร่ำครวญว่าน้ำบริสุทธิ์ของพวกเขากลายเป็นน้ำเค็มอย่างไม่อาจดื่มได้หลังจากปะปนกับน้ำในท้องทะเลอันกว้างใหญ่

Once upon a time, Amidst the land, rivers flowed gracefully, carrying their clear and sweet waters through valleys and plains. Yet, as they journeyed, they grumbled amongst themselves about a grievance they held against the vast sea. They lamented that their pure waters turned undrinkably salty after mingling with the sea’s expanse.

วันหนึ่งพวกเขาร่วมกันตัดสินใจแสดงความไม่พอใจต่อทะเล “เจ้าเปลี่ยนความหวานของเราให้เป็นความขม” พวกเขาบ่น “น้ำของเราเมื่อบริสุทธิ์แล้ว ก็แปดเปื้อนเพราะความเค็มของเจ้า”

One day, they collectively decided to express their discontent to the sea. “You transform our sweetness into bitterness,” they complained. “Our waters, once pure, become tainted by your saltiness.”

ทะเลรับฟังคำกล่าวหาของแม่น้ำอย่างใจเย็น แล้วตอบด้วยสติปัญญาว่า “ถ้าเจ้าทราบถึงผลที่ตามมา แล้วทำไมเจ้าไม่พยายามหลีกเลี่ยงผลที่ตามมาล่ะ? มันอยู่ในอำนาจของเจ้าที่จะเลือกเส้นทางอื่น”

The sea listened calmly to river complaints and then replied with wisdom, “If you are aware of the outcome, then why do you not seek to avoid such a consequence? It is within your power to choose a different path.”

แม่น้ำทั้งหลายได้ยินเสียงตอบรับของทะเลก็เงียบไป พวกเขาตระหนักว่าแม้ทะเลมีผลกระทบต่อน้ำของพวกเขาจริงๆ แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะนำทางในลักษณะที่ลดการสัมผัสกับทะเลเค็มให้เหลือน้อยที่สุด

The rivers, hearing the sea’s response, fell silent. They realized that while the sea indeed had an impact on their waters, they also held the choice to navigate their course in a way that minimized their contact with the salty sea.

นิทานอีสปแม่น้ำกับทะเล

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“เช่นเดียวกับที่แม่น้ำควรเลือกเส้นทางอย่างชาญฉลาดเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียแก่นแท้ของแม่น้ำ เราก็จะต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาจากการกระทำและการมีปฏิสัมพันธ์ของเราเช่นกัน”

  • ความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์: แม่น้ำต่างๆ บ่นเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการเลือกของพวกเขาเอง เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาจากการกระทำของเรา
  • การพิจารณาผลกระทบ: ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือมีส่วนร่วมในการกระทำ จำเป็นต้องพิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้อื่นและสถานการณ์โดยรวมอย่างไร
  • การสื่อสารและการเอาใจใส่: แทนที่จะบ่นหลังจากข้อเท็จจริง การสื่อสารอย่างเปิดเผยและการเอาใจใส่สามารถป้องกันผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์และความเข้าใจผิดได้
  • หลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น: เรื่องราวทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ผลเสีย เหมือนกับแม่น้ำที่หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับทะเล
  • การวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีสติ: การวิจารณ์ให้ชั้นเพิ่มเติม โดยเตือนการวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เหมาะสมที่อาจทำร้ายหรือขัดขวางผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าเราจะตั้งใจช่วยเหลือก็ตาม

“Just as the rivers should have chosen their paths wisely to avoid losing their essence, we too must consider the consequences of our actions and interactions.”

  • Responsibility for Outcomes: The rivers, by complaining about the outcome of their own choices, highlight the importance of taking responsibility for the consequences of our actions.
  • Consideration of Impact: Before criticizing or engaging in actions, it’s essential to consider how they might impact others and the overall situation.
  • Communication and Empathy: Instead of complaining after the fact, open communication and empathy can prevent unfavorable outcomes and misunderstandings.
  • Avoid Unnecessary Conflict: The story serves as a reminder to avoid situations that might lead to negative consequences, much like the rivers avoiding contact with the sea.
  • Mindful Criticism: The commentary provides an additional layer, cautioning against inappropriate criticism that might unintentionally harm or hinder someone, even if our intention is to help.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่สนับสนุนให้เราเลือกอย่างมีสติ สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงสถานการณ์ด้วยสติปัญญาและการเอาใจใส่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์และผลลัพธ์เชิงบวก

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children