นิทานอีสป เรื่อง “เทพซูสกับเต่า” ไทย-Eng

“เทพซูสกับเต่า” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงซูสได้เชิญสัตว์ทุกตัวมาร่วมงาน แต่เต่ากลับไม่มา เพราะชอบอยู่บ้านมากกว่า ซูสโกรธมาก เลยสาบให้เต่าต้องแบกบ้านของมันไปทุกทุกที่ เป็นนิทานเชิงล้อเลียนเต่าซึ่งกระดองของมันก็เปรียบเสมือนบ้านนั่นเอง

นิทานอีสปเรื่องเทพซูสกับเต่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรแห่งเทพเจ้าโบราณ การเฉลิมฉลองงานแต่งงานครั้งใหญ่กำลังดำเนินอยู่ ซูส กษัตริย์แห่งเหล่าทวยเทพได้ส่งคำเชิญไปยังสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก ตั้งแต่ผู้ที่มีอำนาจที่สุดไปจนถึงผู้ที่ต่ำต้อยที่สุด สัตว์ทุกตัวเข้าร่วมด้วยความกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองอันศักดิ์สิทธิ์

Once upon a time, In the realm of ancient gods, a grand wedding celebration was underway. Zeus, the king of the gods, had extended an invitation to all the creatures of the earth, from the mightiest to the humblest. Every animal attended, eager to partake in the divine festivities.

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความปีติยินดี มีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป นั่นคือเต่า ซูสรู้สึกงุนงงสับสนกับการที่เต่าเลือกที่จะอยู่ลำพัง จึงออกตามหาเต่าและสอบถามว่าเธอไม่ไปจากงานเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่

However, amidst the jubilation, there was one notable absence—the tortoise. Zeus, perplexed by this lone absentee, sought out the tortoise and inquired about her absence from the grand celebration.

เต่ามีท่าทางเชื่องช้าและสุขุมรอบคอบตอบว่า “ท่านซูสผู้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้คำเชิญของท่านจะดูมีน้ำใจ แต่ข้าก็เลือกที่จะอยู่ในที่พักอาศัยอันแสนสะดวกสบายของข้า เพราะด้วยความเรียบง่ายของบ้าน ข้าจึงพบความพึงพอใจแล้ว”

The tortoise, with her slow and deliberate manner, replied, “Great Zeus, though your invitation was gracious, I chose to stay within the comforts of my humble abode. For in the simplicity of home, I find contentment.”

ซูสซึ่งเป็นที่รู้จักจากนิสัยที่ไม่อาจคาดเดาได้ รู้สึกไม่พอใจกับคำตอบของเต่า เขารู้สึกว่าการไม่อยู่ของเต้าทำให้โอกาสอันน่ายินดีเสียไป และด้วยความโกรธของเขา เขาจึงตัดสินใจลงโทษแบบพิเศษ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เต่าจะต้องแบกบ้านของมันไปทุกทุกที่ เป็นเกราะป้องกัน ไม่ว่ามันจะไปที่ไหนก็ตาม นั่นก็คือกระดองเต่านั่นเอง

Zeus, known for his unpredictable temper, was displeased by the tortoise’s response. He felt that her absence had marred the joyous occasion, and in his anger, he decreed a unique punishment. From that day forward, The turtle has to carry its home everywhere, his protective shell, wherever she ventured. That’s a turtle shell.

นิทานอีสปเทพซูสกับเต่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“คุณค่าของความเรียบง่ายและความพึงพอใจในสภาพแวดล้อมของเราเอง รวมถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจที่เร่งรีบด้วยความโกรธ”

  • คุณค่าของความเรียบง่าย: การเลือกเต่าที่จะอยู่บ้านแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของความเรียบง่ายและการค้นหาความพึงพอใจในสภาพแวดล้อมของตนเอง
  • ความเคารพต่อคำเชิญ: เมื่อได้รับเชิญให้เข้าร่วมในงานเฉลิมฉลองหรืองานต่างๆ โดยทั่วไปถือว่าเป็นการให้เกียรติในการเข้าร่วม เนื่องจากการไม่อยู่อาจรบกวนความสามัคคีของโอกาส
  • ผลที่ตามมาของความโกรธ: ปฏิกิริยาหุนหันพลันแล่นของซูส ต่อการไม่อยู่ของเต่าทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงผลที่ตามมาจากความโกรธและการตัดสินใจที่เร่งรีบ
  • ความขอบคุณสำหรับที่อยู่อาศัย: เรื่องราวกระตุ้นให้เราชื่นชมความสะดวกสบายและความปลอดภัยของบ้าน ไม่ว่าบ้านนั้นจะต่ำต้อยแค่ไหนก็ตาม
  • การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง: การลงโทษของเต่าในการอุ้มกลับบ้านทำให้เรานึกถึงความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่นที่อาจเกิดขึ้นจากความท้าทายหรือการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในชีวิตของเรา
  • ความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตน: แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างซูส ก็สามารถเรียนรู้บทเรียนเกี่ยวกับความอ่อนน้อมถ่อมตนจากสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด

“Value of simplicity and contentment in our own surroundings, as well as the consequences of hasty decisions made in anger.”

  • Value of Simplicity: The tortoise’s choice to stay home illustrates the value of simplicity and finding contentment in one’s own surroundings.
  • Respect for Invitations: When invited to partake in celebrations or events, it’s generally considered respectful to attend, as absences can disrupt the harmony of the occasion.
  • Consequences of Anger: Zeus’ impulsive reaction to the tortoise’s absence serves as a reminder of the consequences of anger and hasty decisions.
  • Appreciation for Home: The story encourages us to appreciate the comforts and security of our homes, no matter how humble they may be.
  • Adapting to Change: The tortoise’s punishment of carrying her home reminds us of the adaptability and resilience that can arise from unforeseen challenges or changes in our lives.
  • Importance of Humility: Even the mightiest beings, like Zeus, can learn lessons in humility from the simplest of creatures.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ถ่ายทอดภูมิปัญญาเกี่ยวกับความพึงพอใจ ความเคารพ และผลที่ตามมาของการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่น โดยนำเสนอบทเรียนเหนือกาลเวลาที่นิทานพื้นบ้านและนิทานมักถ่ายทอด

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เทพแห่งสงครามกับคู่ครองของเขา” ไทย-Eng

“เทพแห่งสงครามกับคู่ครองของเขา” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงเทพเจ้าแห่งสงครามได้เททพเจ้าแห่งความเย่อหยิ่งจองหองมาเป็นคู่ครอง ซึ่งทั้งคู่มีความอันตรายมากๆ ยิ่งเป็นเนื้อคู่กัน สิ่งรอบข้างยิ่งแย่ลง

นิทานอีสปเรื่องเทพแห่งสงครามกับคู่ครองของเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรแห่งเทพเจ้า ที่ซึ่งโชคชะตาพันธนาการด้วยวิธีที่แปลกประหลาด ได้เกิดเหตุการณ์แห่งโชคชะตาที่เรียกว่า “พิธีแต่งานแห่งการเสี่ยงดวง” การเสี่ยงดวงอันศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งได้รับคำแนะนำจากสิ่งที่มองไม่เห็น นำไปสู่การรวมตัวกันที่น่าประหลาดใจ เทพเจ้าแห่งสงคราม พบว่าตัวเองถูกผูกมัดกับเทพเจ้าแห่งความเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งเป็นศูนย์รวมของความเย่อหยิ่งอวดดี

Once upon a time, In the realm of gods, where destinies entwine in curious ways, there came a fateful event known as the “marriage lottery.” This divine lottery, guided by whims unseen, led to a surprising union. The god of war, found himself bound to god of arrogant, the embodiment of insolent pride.

ในตอนแรก มันเป็นเพียงการทอยลูกเต๋าแห่งจักรวาล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น เสียงกระซิบอันแสนหวานของเทพแห่งความเย่อหยิ่ง เติมพลังให้กับธรรมชาติอันร้อนแรงของเทพเจ้าแห่งสงคราม และพวกเขาก็กลายเป็นคู่ที่แยกกันไม่ออกซึ่งทุกคนต่างเกรงกลัว

At first, it was but a roll of the cosmic dice, but as time passed, their connection grew stronger. god of arrogant’s sweet whispers fueled god of war’ fiery nature, and together they became an inseparable pair, feared by all.

ด้วยความตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่เป็นอันตรายระหว่างสงครามและความเย่อหยิ่ง ราชาแห่งเทพเจ้าจึงออกกฤษฎีกาอันศักดิ์สิทธิ์แก่ทุกอาณาจักร ทั้งมนุษย์และเทพ เขาเตือนว่า “อย่าให้ความอวดดีจองหองเป็นที่โปรดปรานในหมู่ประชาชาติหรือเมืองต่างๆ ของมนุษยชาติ เนื่องจากการมาถึงของเธอจะเป็นการประกาศการมาถึงของสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

Recognizing the dangerous liaison between War and Arrogance, the king of the gods issued a solemn decree to all realms, mortal and divine alike. He cautioned, “Let not Insolence ever find favor among the nations or cities of humankind, for her arrival shall inevitably herald the coming of War.”

คำประกาศอันลึกซึ้งนี้ทำหน้าที่เป็นบทเรียนเหนือกาลเวลาที่สะท้อนผ่านยุคสมัย โดยเน้นย้ำถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายของความเย่อหยิ่งและความก้าวร้าวที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ โดยเรียกร้องให้ผู้นำและสังคมปฏิเสธความหยิ่งยโส ยอมรับความอ่อนน้อมถ่อมตน และร่วมมือกันป้องกันไม่ให้เกิดหายนะของสงคราม

This profound proclamation served as a timeless lesson, echoing through the ages. It emphasized the dire consequences of unchecked arrogance and aggression. It called upon leaders and societies to reject pride, embrace humility, and collectively work to prevent the catastrophic arrival of war.

นิทานอีสปเทพแห่งสงครามกับคู่ครองของเขา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“สองสิ่งที่ไม่ดีรวมกันมักจะเป็นหายนะเสมอ”

  • ความผูกพันที่คาดเดาไม่ได้: เรื่องราวแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เหล่าเทพเจ้าก็สามารถค้นพบตัวเองในการเป็นหุ้นส่วนที่ไม่คาดคิด โดยเน้นถึงความเชื่อมโยงของชีวิตที่ไม่อาจคาดเดาได้
  • ธรรมชาติที่เย้ายวนใจของความเย่อหยิ่ง: ความสามารถของความเย่อหยิ่งในการทำให้เทพเจ้าแห่งสงครามติดใจตอกย้ำเสน่ห์เย้ายวนและอันตรายของความเย่อหยิ่ง เป็นการเตือนผู้นำที่ให้ความสำคัญกับความภาคภูมิใจมากกว่าสันติภาพ
  • บทบาทของการแนะแนวที่ชาญฉลาด: ผู้นำและพี่เลี้ยงที่ฉลาดมีบทบาทสำคัญในการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งโดยให้คำแนะนำและตักเตือน ความเข้าใจของพวกเขาควรมีคุณค่าและเอาใจใส่
  • ความรับผิดชอบร่วมกัน: เรื่องราวเน้นย้ำว่าการรักษาสันติภาพเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน โดยกระตุ้นให้บุคคลและประเทศชาติปฏิเสธความอวดดีและส่งเสริมความร่วมมือและความอ่อนน้อมถ่อมตน
  • ผลกระทบแบบโดมิโน่: การเล่าเรื่องแสดงให้เห็นว่าลักษณะหรือการกระทำเชิงลบเพียงประการเดียวสามารถกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์ทำลายล้างที่ต่อเนื่องกันได้อย่างไร โดยเน้นถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของมัน

“Two bad things combined are always a disaster.”

  • Unpredictable Bonds: The story illustrates how even the gods can find themselves in unexpected partnerships, highlighting the unpredictability of life’s connections.
  • The Seductive Nature of Arrogance: Arrogantia’s ability to enthrall the god of war underscores the seductive and dangerous allure of arrogance, warning against leaders who prioritize pride over peace.
  • The Role of Wise Guidance: Wise leaders and mentors play a crucial role in averting conflicts by offering counsel and warnings. Their insights should be valued and heeded.
  • Shared Responsibility: The story emphasizes that maintaining peace is a shared responsibility, urging individuals and nations to reject insolence and promote cooperation and humility.
  • The Domino Effect: The narrative illustrates how a single negative trait or action can trigger a cascade of destructive events, emphasizing the importance of addressing issues at their root.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจที่น่าสนใจถึงอันตรายที่เกิดจากความอวดดีและความก้าวร้าวเมื่อพวกเขาสร้างพันธมิตรที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เรียกร้องให้มีการเฝ้าระวัง ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการปฏิเสธความเย่อหยิ่ง เพื่อรักษาสันติภาพและความปรองดองทั้งในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์และในโลกแห่งมนุษย์

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ต้นวอลนัท” ไทย-Eng

“ต้นวอลนัท” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงต้นวอลนัทที่ออกผลริมถนนถูกผู้คนที่เดินผ่านไปมาแย่งชิงถั่ว ทำให้ต้นไม่พอใจและบอกว่าผู้คนต่างยินดีกับผลอลนัท แต่มีวิธีแสดงความขอบคุณที่แย่มาก

นิทานอีสปเรื่องต้นวอลนัท

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในชนบทอันเงียบสงบ มีต้นวอลนัทอันงดงามยืนต้นอยู่ ในแต่ละปี จะมีลูกวอลนัทที่ประณีตที่สุด เป็นที่ชื่นใจอย่างแท้จริงแก่ทุกคนที่ผ่านไปมา แต่ต้นไม้กลับเก็บงำความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ที่สัญจรไปมามีวิธีเพลิดเพลินกับผลไม้ที่แปลกประหลาด แทนที่จะค่อยๆ เก็บวอลนัท พวกเขากลับขว้างกิ่งไม้และก้อนหิน ทำให้ถั่วอันล้ำค่าตกลงมา

Once upon a time, In a peaceful countryside, there stood a magnificent walnut tree. Each year, it bore the most exquisite walnuts, a true delight for all who passed by. Yet, the tree harbored a growing discontent. The passersby had a peculiar way of enjoying its fruits; instead of gently picking the walnuts, they hurled sticks and stones, causing the prized nuts to rain down.

วันหนึ่ง ขณะที่แสงแดดอาบต้นไม้ด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น ต้นวอลนัทก็ไม่สามารถระงับความคับข้องใจได้อีกต่อไป ต้นวอลนัทส่งเสียงกรอบแกรบและถอนหายใจยาวว่า “ผู้คนยินดีกับผลไม้ของข้า แต่พวกเขามีวิธีแสดงความขอบคุณที่แย่มาก พวกเขาขว้างไม้และก้อนหินโดยไม่ได้ตระหนักถึงความเจ็บปวดที่ทำให้เกิดกับข้า”

One day, as the sun bathed the walnut tree in a warm embrace, it could no longer contain its frustration. With a rustling of leaves and a deep sigh, the walnut tree complained, “People gladly enjoy my fruits, but they have a terrible way of showing their gratitude. They throw sticks and stones, not realizing the pain they inflict upon me.”

เมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญของต้นไม้ นักเดินทางเฒ่าเดินผ่านก็หยุดชะงักไป เขาเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้แล้วพูดว่า “ต้นวอลนัทที่รัก ข้าเข้าใจความหงุดหงิดของเจ้า ผู้คนมักไม่ตระหนักถึงอันตรายที่พวกเขาก่อขึ้นในขณะที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเจ้า แต่จำไว้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนกัน มีคนที่ชื่นชมของขวัญของเจ้า และจะปฏิบัติต่อคุณด้วยความกรุณา”

Hearing the tree’s lament, an old traveler passing by paused. He looked up at the tree and said, “Dear walnut tree, I understand your frustration. People often don’t realize the harm they cause while reaping the benefits. But remember, not everyone is the same. There are those who appreciate your gifts and will treat you with kindness.”

ต้นวอลนัทไตร่ตรองคำพูดเหล่านี้ขณะที่นักเดินทางเดินทางต่อไป เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนไป ผู้คนที่สัญจรไปมาบางคนยังคงใช้เส้นทางที่ยากลำบาก แต่คนอื่นๆ เริ่มสังเกตเห็นความไม่สบายของต้นไม้ พวกเขาเริ่มเก็บวอลนัทอย่างนุ่มนวล แสดงความขอบคุณอย่างมีวิจารณญาณมากขึ้น

The walnut tree pondered these words as the traveler continued on his journey. As the seasons changed, some passersby continued their rough ways, but others began to notice the tree’s discomfort. They started to pick walnuts gently, expressing their gratitude in a more thoughtful manner.

นิทานอีสปต้นวอลนัท

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การกระทำอาจส่งผลต่อผู้อื่นแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม และไม่ใช่ทุกคนจะปฏิตนดีกับคุณเสมอ”

  • ความกตัญญูกตเวทีและความเคารพ: เรื่องราวนี้เน้นถึงความสำคัญของการแสดงความกตัญญูและความเคารพต่อของขวัญจากธรรมชาติและความพยายามของผู้อื่น การได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมการเท่านั้น วิธีที่เราปฏิบัติต่อแหล่งที่มามีความสำคัญ
  • การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นด้วยการตระหนักรู้: บางครั้งผู้คนต้องการสิ่งเตือนใจหรือสะกิดเบาๆ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของตน การตระหนักรู้สามารถนำไปสู่การกระทำที่คำนึงถึงผู้อื่นมากขึ้น
  • ไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนกัน: นิทานเตือนเราว่าผู้คนมีมุมมองและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน แม้ว่าบางคนอาจทำโดยไม่คิดอะไร แต่บางคนก็มีน้ำใจและใจดี สิ่งสำคัญคือต้องไม่สรุปและชื่นชมความหลากหลายในพฤติกรรมของมนุษย์
  • พระคำแห่งปัญญา: คำแนะนำของนักเดินทางเน้นย้ำถึงพลังแห่งปัญญาและอิทธิพลเชิงบวกที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการกระทำ
  • ความอดทนของต้นไม้: ความอดทนของต้นวอลนัทในการหวังการเปลี่ยนแปลงแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความเชื่อในความดีของธรรมชาติของมนุษย์

“Actions can affect others, even unintentionally. And not everyone will always treat you well.”

  • Gratitude and Respect: This story highlights the importance of showing gratitude and respect for the gifts of nature and the efforts of others. Enjoying benefits is only part of the equation; how we treat the source matters.
  • Change Begins with Awareness: Sometimes, people need a reminder or a gentle nudge to change their behavior. Awareness can lead to more considerate actions.
  • Not Everyone is Alike: The tale reminds us that people have different perspectives and behaviors. While some may act without thinking, others are considerate and kind. It’s essential not to generalize and appreciate the diversity in human behavior.
  • Words of Wisdom: The traveler’s advice emphasizes the power of wisdom and the positive influence it can have on changing attitudes and actions.
  • The Walnut Tree’s Patience: The walnut tree’s patience in hoping for change demonstrates resilience and the belief in the goodness of human nature.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สนับสนุนให้เราคำนึงถึงวิธีที่เราเพลิดเพลินกับของขวัญจากธรรมชาติและการมีส่วนร่วมของผู้อื่น มันทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่าการกระทำของเราสามารถส่งผลกระทบต่อโลกรอบตัวเราได้ และความมีน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยแสดงความขอบคุณได้เป็นอย่างดี

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “แมวกับเทพวีนัส” ไทย-Eng

“แมวกับเทพวีนัส” เป็นนิทานอีสปที่บอกเล่าเรื่องราวของแมวก็กลายเป็นหญิงสาว เธอพบชายหนุ่มคนหนึ่ง และหลงรักเขา และวันหนึ่งเทพวีนัสปล่อยหนูและหญิงสาวก็ไล่ตามมัน

นิทานอีสปเรื่องแมวกับเทพวีนัส

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรแห่งเทพเจ้าโบราณ มีแมวขี้สงสัยอาศัยอยู่ตัวหนึ่งซึ่งตกหลุมรักชายหนุ่มรูปงามอย่างลึกซึ้ง ด้วยความรักล้นเหลือของเธอ เธอจึงวิงวอนเทพวีนัส เทพีแห่งความรัก ให้เปลี่ยนเธอให้เป็นมนุษย์หญิง เพื่อที่เธอจะได้อยู่กับคนที่เธอรัก เทพวีนัสรู้สึกทึ่งกับคำขอ จึงยอมทำตาม และแมวก็กลายเป็นหญิงสาวที่น่าหลงใหล

Once upon a time, In the realm of ancient gods, there lived a curious cat who fell deeply in love with a handsome young man. Overwhelmed by her affection, she beseeched Venus, the goddess of love, to transform her into a human woman so she could be with her beloved. Venus, intrigued by the request, granted it, and the cat became a captivating young lady.

ชายหนุ่มผู้หลงใหลในความงามของเธอจึงแต่งงานกับเธอและพาเธอไปที่บ้านของเขา ทุกอย่างดูดีจนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่พวกเขาผักผ่อนในห้องของตน วีนัสจึงตัดสินใจทดสอบว่าแมวได้เปลี่ยนธรรมชาติไปพร้อมกับรูปร่างของเธอหรือไม่ เธอหย่อนหนูตัวเล็กเข้าไปในห้อง

The young man, entranced by her beauty, married her and brought her to his home. All seemed well until one day, as they relaxed in their chamber, Venus decided to test whether the cat had truly changed her nature along with her form. She lowered a tiny mouse into the room.

ทันใดนั้น หญิงสาวก็ลืมหน้ากากของมนุษย์ของเธอ และกระโจนใส่หนู สัญชาตญาณของแมวก็เข้าครอบงำ เธอต้องการจับและกลืนกินมัน เทพวีนัสผิดหวังกับการแสดงนี้ และตระหนักว่าธรรมชาติของแมวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนมันให้กลับมามีรูปร่างเหมือนแมวดั้งเดิม

Instantly, the young lady forgot her human guise and pounced on the mouse, her feline instincts taking over. She wanted to catch and devour it. Venus, disappointed by this display, realized that the cat’s nature remained unchanged, and so she transformed her back into her original feline form.

นิทานอีสปแมวกับเทพวีนัส

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“คนเราถึงแม้เขาจะเปลี่ยนบุคลิก แต่ก็ยังมีสันดานเหมือนเดิมเสมอ”

  • ธรรมชาติที่แท้จริงยังคงอยู่: นิทานเรื่องนี้สอนเราว่าธรรมชาติที่แท้จริงนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป แต่ลักษณะและสัญชาตญาณโดยธรรมชาติของเรามักจะยังคงเหมือนเดิม
  • อย่าลืมว่าคุณเป็นใคร: จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง แม้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน การพยายามเป็นคนที่ไม่ใช่ตัวเองอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความผิดหวังภายในได้
  • ความหุนหันพลันแล่น: ปฏิกิริยาทันทีของแมวต่อหนูเป็นสัญลักษณ์ว่าความหุนหันพลันแล่นสามารถเอาชนะความคิดที่มีเหตุผลได้อย่างไร เป็นการเตือนใจให้คิดก่อนทำ
  • ความพึงพอใจ: บางครั้งเราโหยหาสิ่งที่เราเชื่อว่าจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์หรือสถานการณ์ เรื่องนี้ส่งเสริมความพึงพอใจว่าเราเป็นใครและสิ่งที่เรามี
  • การสะท้อนตนเอง: การไตร่ตรองถึงการกระทำและแรงจูงใจของเรานั้นมีคุณค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญหรือเผชิญกับสิ่งล่อใจ

“Even though people change their personality But always still have the same traits.”

  • True Nature Persists: This fable teaches us that one’s true nature is not easily altered. Even if appearances change, our inherent traits and instincts often remain the same.
  • Don’t Forget Who You Are: It’s essential to stay true to oneself, even in different circumstances. Trying to be someone you’re not can lead to inner conflict and disappointment.
  • Impulsiveness: The cat’s immediate reaction to the mouse symbolizes how impulsiveness can override rational thought. It’s a reminder to think before acting.
  • Be Content: Sometimes, we yearn for things we believe will make us happier, like changing our appearance or circumstances. This story encourages contentment with who we are and what we have.
  • Self-Reflection: It’s valuable to reflect on our actions and motivations, especially when we go through significant changes or face temptations.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบตนเองนี้เตือนเราว่าแม้การเปลี่ยนแปลงสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกของเราได้ แต่ธรรมชาติที่แท้จริงของเรากลับซ่อนลึกอยู่ภายในตัวเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “นักเป่าแตรถูกจับเป็นเชลย” ไทย-Eng

“นักเป่าแตรถูกจับเป็นเชลย” เป็นนิทานอีสปที่นักเป่าแตรที่ถูกจับในสนามรบได้เรียนรู้ว่าบทบาทของเขาในการยุยงให้เกิดความขัดแย้งนั้นส่งผลทางอ้อม โดยเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบของผู้ที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่นในความขัดแย้ง

นิทานอีสปเรื่องนักเป่าแตรถูกจับเป็นเชลย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสงครามท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด นักเป่าแตรคนหนึ่งพบว่าตัวเองตกอยู่ในภาวะคับแค้นใจ เขาถูกจับโดยทหารศัตรูซึ่งต่างจากเขาตรงที่ถือดาบและโล่ คนเป่าแตรด้วยความสิ้นหวังที่จะไว้ชีวิต เขาจึงอ้อนวอนกับผู้จับกุมว่า “ข้าเป็นเพียงคนเป่าแตรผู้ต่ำต้อย และไม่มีอาวุธสงคราม ไว้ชีวิตข้าเถอะ เพราะข้าไม่ได้ทำให้ใครเลือดไหลในสนามรบเลย”

Once upon a time, There is the war in the midst of a fierce battle, a trumpeter found himself in dire straits. He was captured by the enemy soldiers, who, unlike him, bore swords and shields. Desperate to spare his life, the trumpeter pleaded with his captors, “I am but a humble trumpeter, carrying no weapons of war. Spare me, for I have not spilled blood on the battlefield.”

อย่างไรก็ตาม ทหารศัตรูไม่มั่นใจในการปกป้องตัวเองของเขา หนึ่งในนั้นตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “บทบาทของเจ้าในฐานะนักเป่าแตรนั้นไม่ได้ไร้ผลใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยการเล่นเครื่องดนตรีนั้น เจ้าได้ปลุกระดมนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนให้ออกรบ ปลุกเร้าความกล้าหาญและความมุ่งมั่นของพวกเขา เสียงดนตรีของเจ้าเป็นเหมือนเสียงร้องจากอาวุธ ทำนองแห่งความขัดแย้ง ถึงเจ้าไม่ได้ถือดาบ แต่เจ้าเป็นเครื่องมือในการทำสงครามและนั่นก็แบกความผิดของตัวเองด้วยเช่นกัน” และทหารอีกคนกล่าวเสริมว่า “เครื่องดนตรีของเจ้าสนับสนุนให้ผู้อื่นเข้าร่วมการต่อสู้ ทำสงคราม และเสี่ยงชีวิตของพวกเขา ในบางแง่ การกระทำของเจ้าอาจ ยิ่งกว่าคนถืออาวุธเสียอีก”

The enemy soldiers, however, were not convinced by his defense. One of them sternly replied, “Your role as a trumpeter is not without its consequences. By playing that instrument, you have incited countless warriors to battle, stirring their courage and resolve. Your music has been the call to arms, the melody of conflict. You may not wield a sword, but you have been an instrument of war, and that, too, carries its own guilt.” And another soldier added “Your instrument encourages others to join the fight, to wage war, and to risk their lives. In some ways, your actions may be even worse than those who wield weapons.”

เมื่อตระหนักถึงความจริงในคำพูดของพวกเขา คนเป่าแตรจึงเข้าใจว่าการกระทำของเขาแม้จะโดยอ้อม แต่ก็มีบทบาทสำคัญในความรุนแรงที่เกิดขึ้น เขามีส่วนทำให้เกิดความวุ่นวายและความทุกข์ทรมานในสนามรบ

Realizing the truth in their words, the trumpeter understood that his actions, though indirect, had played a significant role in the violence that had unfolded. He had contributed to the chaos and suffering of the battlefield.

นิทานอีสปนักเป่าแตรถูกจับเป็นเชลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การมีส่วนทำให้เกิดอันตรายหรือความขัดแย้งทางอ้อมสามารถมีความรับผิดชอบได้พอๆ กับการกระทำโดยตรง”

  • ความรับผิดชอบต่อการกระทำ: เรื่องราวนี้สอนเราว่าแม้แต่การกระทำทางอ้อมก็อาจส่งผลที่ตามมาที่สำคัญได้ เราควรคำนึงถึงผลกระทบที่การเลือกของเรามีต่อผู้อื่นและรับผิดชอบต่อพวกเขา
  • พลังแห่งอิทธิพล: อิทธิพลไม่ว่าจะผ่านทางคำพูด ดนตรี หรือวิธีการอื่นๆ สามารถกำหนดเหตุการณ์และพฤติกรรมได้ เราควรใช้อิทธิพลของเราอย่างมีความรับผิดชอบและคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
  • ผลที่ตามมาของอิทธิพล: บทบาทของนักเป่าแตรในฐานะผู้สนับสนุนผู้อื่นผ่านดนตรีของเขาเน้นย้ำถึงพลังแห่งอิทธิพลและความรับผิดชอบทางจริยธรรมที่มาพร้อมกับอิทธิพลนั้น
  • การตัดสินใจอย่างมีจริยธรรม: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตัดสินใจอย่างมีจริยธรรม แม้แต่ในบทบาทที่อาจดูเป็นเรื่องรองก็ตาม เป็นการเตือนใจว่าตัวเลือกของเราควรสอดคล้องกับค่านิยมและหลักการของเรา
  • ตระหนักถึงผลที่ตามมาโดยไม่ตั้งใจ: บางครั้งเราอาจไม่เข้าใจผลที่ตามมาโดยไม่ตั้งใจจากการกระทำของเราอย่างเต็มที่จนกว่าจะสายเกินไป สิ่งสำคัญคือต้องคาดการณ์และพิจารณาผลที่ตามมาเหล่านี้ก่อนตัดสินใจเลือก

“Indirect contributions to harm or conflict can be just as responsible as direct actions.”

  • Accountability for Actions: This story teaches us that even indirect actions can have significant consequences. We should be mindful of the impact our choices have on others and take responsibility for them.
  • The Power of Influence: Influence, whether through words, music, or other means, can shape events and behavior. We should use our influence responsibly and consider its potential effects.
  • Consequences of Influence: The trumpeter’s role as an encourager of others through his music highlights the power of influence and the ethical responsibilities that come with it.
  • Ethical Decision-Making: The story highlights the importance of ethical decision-making, even in roles that may seem secondary. It’s a reminder that our choices should align with our values and principles.
  • Recognizing Unintended Consequences: Sometimes, we may not fully grasp the unintended consequences of our actions until it’s too late. It’s crucial to anticipate and consider these consequences before making choices.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นเรื่องราวเตือนใจ กระตุ้นให้เราไตร่ตรองถึงผลกระทบทางจริยธรรมจากการกระทำของเรา และอิทธิพลที่เราใช้ ไม่ว่าจะผ่านคำพูด ดนตรี หรือวิธีการอื่นๆ

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “สองนักเดินทางกับต้นเพลน” ไทย-Eng

“สองนักเดินทางกับต้นเพลน” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงนักเดินทางที่เหนื่อยล้าสองคนแสวงหาร่มเงาใต้ต้นไม้ โดยคนหนึ่งละเลยคุณค่าของมันจนกว่าต้นไม้จะแสดงคุณค่าของมัน โดยสอนถึงความสำคัญของการตระหนักถึงพรที่อยู่รอบตัวเรา

นิทานอีสปเรื่องสองนักเดินทางกับต้นเพลน

กาลครั้งหนึ่งในฤดูร้อนที่แผดเผา นักเดินทางสองคนที่เหน็ดเหนื่อยกำลังเดินทางผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงแดด แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาที่พวกเขาอย่างไม่หยุดยั้ง และคอของพวกเขาก็แห้งผากจากความร้อนที่ไม่หยุดหย่อน ความแข็งแกร่งของพวกเขาลดลงในแต่ละย่างก้าว และพวกเขาก็โหยหาการบรรเทาทุกข์

Once upon a scorching summer day, two weary travelers were making their way through a vast, sun-baked desert. The relentless sun beat down upon them, and their throats were parched from the unrelenting heat. Their strength waned with each step, and they longed for relief.

ในระยะไกล พวกเขามองเห็นต้นเพลนต้นหนึ่งที่สูงตระหง่าน ใบกว้างสีเขียว เป็นที่พักผ่อนจากแสงแดดอันแรงกล้า ด้วยความกระตือรือร้นที่จะหลีกหนีจากความร้อนจัด พวกเขาจึงรีบไปที่ต้นไม้และปักหลักอยู่ในร่มเงาที่เย็นสบายและรู้สึกซาบซึ้งใจ

In the distance, they spotted a majestic plane tree, its broad, green leaves providing a respite from the harsh sun. Eager to escape the oppressive heat, they hurried towards the tree and gratefully settled in its cool, soothing shade.

ขณะที่พวกเขาพักอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ นักเดินทางคนหนึ่งซึ่งมีความเห็นถากถางดูถูกเหยียดหยามกล่าวว่า “ช่างเป็นต้นไม้ที่ไร้ประโยชน์จริงๆ มันไม่ให้ผลหรือให้ไม้อันมีค่าเลย มันไม่มีประโยชน์เลย”

As they rested beneath the tree’s welcoming canopy, one of the travelers, driven by cynicism, remarked, “What a useless tree this is! It doesn’t bear fruit or provide valuable wood. It serves no purpose at all.”

ด้วยความเจ็บปวดจากคำพูดเนรคุณของนักเดินทาง ต้นเพลนชราที่ฉลาดจึงสะบัดใบของมันเบาๆ และกระซิบว่า “นักเดินทางเอ๋ย ถึงข้าไม่อาจให้ผลไม้หรือไม้ดีๆ แต่ข้าก็ให้ร่มเงาและผ่อนปรนจากแสงแดดที่แผดจ้า นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ในตัวเองของข้าหรอกหรือ พวกเจ้ากำลังได้รับประโยชน์จากร่มเงาของข้าตอนนี้”

Hurt by the traveler’s ungrateful words, the wise old plane tree gently rustled its leaves and whispered, “Dear travelers, I may not offer fruit or timber, but I provide shade and respite from the blistering sun. Isn’t that a purpose in itself? You are benefiting from my shade right now.”

นักเดินทางต่างตระหนักถึงคุณค่าของต้นไม้ จึงรู้สึกซาบซึ้งอย่างสุดซึ้ง พวกเขาดื่มจากขวดน้ำ ซึ่งได้รับความสดชื่นจากที่พักพิงของเงาต้นไม้ พวกเขาเดินทางต่อไปโดยแบกรับความซาบซึ้งที่เพิ่งค้นพบต่อพรแห่งธรรมชาติที่มักถูกมองข้ามไปด้วย

The travelers, now recognizing the tree’s value, felt a deep sense of gratitude. They drank from their water flasks, reinvigorated by the tree’s shelter. They continued their journey, carrying with them a newfound appreciation for the often-overlooked blessings of nature.

นิทานอีสปสองนักเดินทางกับต้นเพลน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“คิดให้ดีก่อนจะตำหนิสิ่งใด และจงชื่นชมพรที่เรียบง่ายและมักไม่มีใครสังเกตเห็นในชีวิต เพราะพรเหล่านั้นสามารถปลอบใจและผ่อนปรนเมื่อคุณต้องการมากที่สุด”

  • ความกตัญญูต่อสิ่งเรียบง่าย: เรื่องราวเตือนใจให้เรารู้สึกขอบคุณสำหรับพรที่เรียบง่ายแต่ทรงคุณค่าในชีวิต แม้ว่าพรเหล่านั้นอาจดูเหมือนไม่ชัดเจนในทันทีก็ตาม
  • อย่าดูถูกคุณค่าของความเมตตา: การกระทำของต้นเพลนในการให้ร่มเงาเป็นตัวอย่างของความสำคัญของความมีน้ำใจและการช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าจะไม่เห็นผลประโยชน์ส่วนตัวก็ตาม
  • เรื่องมุมมอง: เน้นย้ำถึงความสำคัญของมุมมอง และมุมมองของคนๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการรับรู้โลกรอบตัวเราได้อย่างมาก
  • การเห็นคุณค่าของธรรมชาติ: ธรรมชาติมักให้ประโยชน์ที่จำเป็นแก่เรา และเราควรเคารพและทะนุถนอมธรรมชาติเพื่อความปลอบใจและการสนับสนุนที่ธรรมชาติมอบให้ ไม่ว่าจะในเวลาที่ต้องการหรือในยามว่าง
  • คำพูดมีผลกระทบ: เรื่องราวยังทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่าคำพูดของเราสามารถส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นการเลือกพวกเขาอย่างชาญฉลาดและรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญ

“Think carefully before criticizing anything and appreciate the simple and often unnoticed blessings in life, for they can provide solace and respite when you need it most.”

  • Gratitude for the Simple Things: The story reminds us to be grateful for the simple yet invaluable blessings in life, even when they may not seem immediately apparent.
  • Don’t Underestimate the Value of Kindness: The plane tree’s act of providing shade exemplifies the importance of kindness and helping others, even when there is no apparent personal gain.
  • Perspective Matters: It highlights the significance of perspective and how one’s viewpoint can drastically change the way we perceive the world around us.
  • Appreciating Nature: Nature often provides us with essential benefits, and we should respect and cherish it for the solace and support it offers, whether in times of need or leisure.
  • Words Have Consequences: The story also serves as a reminder that our words can impact others deeply, so it’s important to choose them wisely and thoughtfully.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เราชื่นชมแง่มุมของชีวิตที่ดูเหมือนเล็กน้อยและไม่มีนัยสำคัญ เพราะสิ่งเหล่านี้มักจะทำให้เราโล่งใจและมีความสุขได้มากที่สุดเมื่อเราต้องการมันมากที่สุด

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เต่ากับเหล่านก” ไทย-Eng

“เต่ากับเหล่านก” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงคำขอความช่วยเหลือของเต่านำไปสู่การทรยศโดยนกอินทรีและอีกา เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีเจตนาที่แท้จริงและการไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง

นิทานอีสปเรื่องเต่ากับเหล่านก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนอันห่างไกล เต่าปรารถนาที่จะเปลี่ยนทิวทัศน์ มันเข้าใกล้นกอินทรีคู่บารมี โดยเสนอรางวัลมากมายเพื่อแลกกับการขนส่งไปยังบ้านใหม่ นกอินทรีผู้สูงศักดิ์ซึ่งมีพละกำลังและสง่างามจับกระดองเต่าด้วยกรงเล็บอันทรงพลังของมัน และขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

Once upon a time, In a distant land, a Tortoise longed for a change of scenery. It approached a majestic Eagle, offering a rich reward in exchange for transportation to its new home. The noble Eagle, with strength and grace, gripped the Tortoise’s shell with her powerful talons and ascended into the vast sky.

ขณะที่พวกมันเดินทาง พวกมันได้พบกับอีกาเจ้าเล่ห์ที่มองเห็นโอกาส อีกากระซิบอย่างเจ้าเล่ห์กับนกอินทรีว่า “เต่าเป็นอาหารอันโอชะ เป็นงานฉลองที่รอเราอยู่”

As they journeyed, they encountered a cunning Crow who saw an opportunity. The Crow whispered slyly to the Eagle, “Tortoise is a delicacy, a feast waiting to happen.”

อย่างไรก็ตาม นกอินทรีที่ฉลาดกลับมองเห็นกลอุบายของอีกาได้ มันตอบว่า “กระดองแข็งเกินไปสำหรับจะงอยปากของข้า”

The wise Eagle, however, saw through the Crow’s deceit. He replied, “The shell is too sturdy for my beak.”

แต่อีกาเจ้าเล่ห์ยืนกรานว่า “หินด้านล่างจะแตกเปลือกเต่านั้นออกให้กว้างได้”

But the crafty Crow persisted, “The rocks below will crack that shell wide open.”

น่าเสียใจที่นกอินทรีได้รับอิทธิพลจากคำพูดของอีกา ปล่อยเต่าออกไปเหนือหน้าผาขรุขระ เต่าผู้น่าสงสารได้พบกับจุดจบอันน่าสลดใจ และกลายเป็นอาหารในงานเลี้ยงโดยไม่ได้ตั้งใจสำหรับนกอินทรีและอีกา

Regrettably, the Eagle, influenced by the Crow’s words, released the Tortoise over a jagged precipice. The poor Tortoise met a tragic end, becoming an unintended feast for the Eagle and the Crow.

นิทานอีสปเต่ากับเหล่านก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“อย่าทะยานขึ้นไปบนปีกนกของศัตรู จงระมัดระวังคนที่เราไว้วางใจและตระหนักว่าผู้อื่นอาจมีเจตนาแอบแฝง”

  • ระวังที่คนที่หลอกลวง: นิทานเรื่องนี้เตือนให้เราระวังผู้ที่ให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือในวาระที่ซ่อนอยู่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของคุณ
  • การคิดอย่างมีวิจารณญาณ: การคิดอย่างมีวิจารณญาณและความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ ภูมิปัญญาเริ่มแรกของนกอินทรีน่าจะมีชัยเหนือคำพูดอันชาญฉลาดของอีกา
  • ผลที่ตามมาของความใจง่าย: การทำตามคำแนะนำของผู้อื่นโดยสุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันขัดแย้งกับวิจารณญาณที่ดีกว่าของคุณ อาจนำไปสู่ผลที่ตามมาที่โชคร้ายได้
  • เชื่อสัญชาตญาณของคุณ: เชื่อสัญชาตญาณของคุณและประเมินคำแนะนำอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจที่สำคัญ อย่าหลงไปกับคำแนะนำที่โน้มน้าวใจแต่น่าสงสัย
  • ความซื่อสัตย์: ความไม่ซื่อสัตย์ของอีกานำไปสู่ความตายของเต่า การยึดมั่นในความซื่อสัตย์และความซื่อสัตย์ในการกระทำและการมีปฏิสัมพันธ์ของเราถือเป็นสิ่งสำคัญ

“Never soar aloft on an enemy’s pinions. Be cautious about who we trust and to recognize when others might have ulterior motives.”

  • Beware of Deceptive Counsel: This fable reminds us to be cautious of those who offer advice or assistance with hidden agendas. Not everyone has your best interests at heart.
  • Critical Thinking: Critical thinking and discernment are essential. The Eagle’s initial wisdom should have prevailed over the Crow’s cunning words.
  • The Consequences of Gullibility: Blindly following the guidance of others, especially when it contradicts your better judgment, can lead to unfortunate consequences.
  • Trust Your Instincts: Trust your instincts and evaluate advice carefully, especially when it involves important decisions. Don’t be swayed by persuasive but dubious counsel.
  • Honesty: The Crow’s dishonesty led to the Tortoise’s demise. Upholding integrity and honesty in our actions and interactions is vital.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจที่ชัดเจนถึงผลที่ตามมาของความไว้วางใจที่หายไป และความสำคัญของการประเมินคำแนะนำอย่างมีวิจารณญาณและข้อเสนอความช่วยเหลือ

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “หงส์กับห่าน” ไทย-Eng

“หงส์กับห่าน” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงหงส์ตัวหนึ่งช่วยห่านเพื่อนของมันจากความตายด้วยพลังแห่งเสียงของดนตรี พลังพิเศษของดนตรีในการหลีกเลี่ยงอันตรายและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

นิทานอีสปเรื่องหงส์กับห่าน

ในสวรรค์ริมทะเลสาบอันเงียบสงบ หงส์ผู้สง่างามและห่านใช้ชีวิตร่วมกันอย่างกลมกลืน วันเวลาของพวกมันเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ล่องลอยอย่างเกียจคร้านบนผืนน้ำที่ส่องประกายระยิบระยับ และอาบแดดท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น หงส์ซึ่งมีขนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะนั้นขึ้นชื่อในด้านความงามอันน่าทึ่ง ในขณะที่ห่านนั้นขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติที่ใจดีและอ่อนโยน

In a serene lakeside haven, a graceful swan and a humble goose shared their days in harmony. Their days were filled with tranquility, floating lazily on the glistening water and basking in the warm sunlight. The swan, with its snowy plumage, was renowned for its breathtaking beauty, while the goose was known for its kind and gentle nature.

เย็นแห่งโชคชะตาวันหนึ่ง ขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ภัยคุกคามอันอันตรายก็ปรากฏออกมาจากเงามืด สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ดวงตาเป็นประกายด้วยความหิวโหย พุ่งเข้ามาหาคู่ที่สงบสุขอย่างเงียบๆ หงส์และห่านไม่รู้ถึงอันตรายที่ซุ่มซ่อน ยังคงเหินข้ามผืนน้ำ หลงอยู่ในโลกของตัวเอง

One fateful evening, as the sun dipped below the horizon, a dangerous threat emerged from the shadows. A cunning fox, eyes gleaming with hunger, crept silently towards the peaceful pair. The swan and the goose, unaware of the lurking peril, continued to glide across the water, lost in their own world.

ขณะที่สุนัขจิ้งจอกเข้าใกล้ สัญชาตญาณอันแหลมคมของหงส์ก็ตรวจพบอันตรายได้ ด้วยการสะบัดปีกอย่างสง่างาม มันแจ้งเตือนห่านให้ระวังอันตรายที่ใกล้เข้ามา ความตื่นตระหนกแล่นผ่านพวกมัน และตระหนักถึงความอ่อนแอของพวกมัน พวกมันต้องการแผนที่รวดเร็วเพื่อเอาตัวรอด

As the fox closed in, the swan’s sharp instincts detected the danger. With a graceful flick of its wings, it alerted the goose to the approaching peril. Panic surged through them as they realized their vulnerability. They needed a plan, and fast to survive.

หงส์คิดอย่างรวดเร็วจึงหันไปหาเพื่อนที่มันไว้ใจแล้วพูดว่า “เพื่อนรัก เราต้องทำอะไรซักอย่างอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยพวกเราจากนักล่าเจ้าเล่ห์ตัวนี้ ข้ามีของขวัญที่อาจเป็นเพียงความรอดของเรา”

Thinking swiftly, the swan turned to its trusted companion and said, “Dear friend, we must act quickly to save ourselves from this cunning predator. I have a gift that might just be our salvation.”

ด้วยคำพูดนั้น หงส์ก็เริ่มร้องเพลง ท่วงทำนองอันไพเราะจนดูเหมือนสะท้อนผ่านจิตวิญญาณยามค่ำคืน เสียงของมันดังขึ้นเป็นซิมโฟนีแห่งความบริสุทธิ์และความสง่างามที่สะท้อนไปทั่วผืนน้ำอันเงียบสงบ

With those words, the swan began to sing, a melody so hauntingly beautiful that it seemed to echo through the very soul of the night. Its voice soared, a symphony of purity and grace that resonated across the tranquil waters.

สุนัขจิ้งจอกได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะก็หยุดตามทางของมัน ด้วยความหลงใหลในเสียงเพลงอันบริสุทธิ์ มันถูกสะกดจิตชั่วขณะ สัญชาตญาณนักล่าของมันถูกบดบังด้วยความงดงามของท่วงทำนอง

The fox, hearing the mesmerizing song, stopped in its tracks. Enchanted by the ethereal music, it was momentarily transfixed, its predatory instincts dulled by the sheer beauty of the melody.

หงส์และห่านฉวยโอกาสว่ายอย่างรวดเร็วไปยังที่ปลอดภัย โดยมีเสียงเพลงอันไพเราะของหงส์ชี้นำ ในที่สุดสุนัขจิ้งจอกก็หลุดพ้นจากมนต์สะกดและไล่ตาม แต่มันก็สายเกินไป พวกมันทั้งสองเข้าถึงต้นอ้อริมทะเลสาบอย่างปลอดภัยแล้ว เกินกว่าเงื้อมมือของสุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์

Seizing the opportunity, the swan and the goose swiftly swam to safety, guided by the swan’s enchanting song. The fox, finally breaking free from the spell, gave chase, but it was too late. The friends had reached the safety of the lakeside reeds, beyond the cunning fox’s grasp.

เพลงของหงส์ไม่เพียงช่วยชีวิตพวกเขาเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่าแม้จะเผชิญกับอันตราย พลังแห่งดนตรีและความสามัคคีก็สามารถมีชัยเหนือภัยคุกคามที่มืดมนที่สุดได้

The swan’s song had not only saved their lives but had also shown that even in the face of danger, the power of music and unity could triumph over the darkest of threats.

นิทานอีสปหงส์กับห่าน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความสามัคคี การคิดอย่างรวดเร็ว และพลังแห่งความงามและศิลปะดนตรีสามารถช่วยเอาชนะความท้าทายที่น่ากลัวที่สุดได้”

  • ความแข็งแกร่งของมิตรภาพ: เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของมิตรภาพและวิธีที่เพื่อนสามารถพึ่งพาซึ่งกันและกันในยามตกอยู่ในอันตราย
  • พลังแห่งดนตรี: ดนตรีมีความสามารถพิเศษในการกระตุ้นอารมณ์และแม้กระทั่งหันเหอันตราย มันเน้นย้ำถึงผลกระทบอันลึกซึ้งของศิลปะต่อชีวิตของเรา
  • การคิดอย่างรวดเร็ว: ในสถานการณ์ที่ท้าทาย การคิดอย่างรวดเร็วและสร้างสรรค์อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชีวิตรอด ความเฉลียวฉลาดของหงส์ช่วยพวกเขาทั้งสองไว้
  • ความสามัคคีต่อต้านความยากลำบาก: เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามร่วมกัน บุคคลสามารถรวมตัวกันเพื่อเอาชนะความท้าทาย โดยเน้นความสำคัญของการทำงานร่วมกัน
  • ชื่นชมความแตกต่าง: เรื่องราวเฉลิมฉลองความแตกต่างระหว่างหงส์กับห่าน โดยเน้นว่าคุณสมบัติเฉพาะตัวของพวกมันมีส่วนช่วยให้พวกมันอยู่รอดได้อย่างไร

“Unity, quick thinking, and the power of beauty and art can help overcome even the most formidable challenges.”

  • The Strength of Friendship: This story illustrates the strength of friendship and how companions can rely on each other in times of peril.
  • The Power of Music: Music has a unique ability to evoke emotions and even divert danger. It highlights the profound impact of the arts on our lives.
  • Quick Thinking: In challenging situations, thinking quickly and creatively can be the key to survival. The swan’s ingenuity saved them both.
  • Unity Against Adversity: When faced with a common threat, individuals can unite to overcome challenges, emphasizing the importance of working together.
  • Appreciating Differences: The story celebrates the differences between the swan and the goose, highlighting how their unique qualities contributed to their survival.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สแสดงให้เห็นถึงผลกระทบอันลึกซึ้งของความคิดสร้างสรรค์ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เรื่องราวนี้เน้นย้ำถึงศักยภาพของความสามัคคีและศิลปะในการเอาชนะความยากลำบาก

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “รูปปั้นกับสมบัติ” ไทย-Eng

“รูปปั้นกับสมบัติ” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงรูปปั้นเฮอร์มีสทำให้เจ้าของผิดหวังจนพังทลาย เผยให้เห็นสมบัติที่ซ่อนอยู่ เน้นย้ำถึงพรที่คาดเดาไม่ได้และความอกตัญญูของคนเรา

นิทานอีสปเรื่องรูปปั้นกับสมบัติ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ซึ่งสักการะเทพเจ้าเฮอร์มีสอย่างแรงกล้า ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องการนำความมั่งคั่งและความโชคดีมาให้ เขามีรูปปั้นเทพเจ้าที่สร้างขึ้นอย่างสวยงามอยู่ในบ้านของเขา ซึ่งเขาเชื่อว่าจะนำพาเขาไปสู่ความร่ำรวยไม่รู้จบ

Once upon a time, In a small village, there lived a man who fervently worshipped the god Hermes, known for bringing wealth and good fortune. He had a beautifully crafted statue of the god in his home, which he believed would bring him endless riches.

หลายปีผ่านไปและความจงรักภักดีของชายคนนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาจะสวดอ้อนวอนและถวายเครื่องบูชา แต่ชีวิตของเขาก็สงบเสงี่ยม และเขาต้องดิ้นรนเพื่อหารายได้ ความสงสัยเริ่มคืบคลานเข้ามาในหัวใจของเขา และเขาสงสัยว่าเหตุใดเทพเจ้าเฮอร์มีสจึงไม่อวยพรเขาด้วยความมั่งคั่งตามที่สัญญาไว้

Years passed, and the man’s devotion remained unwavering. Yet, despite his prayers and offerings, his life remained modest, and he struggled to make ends meet. Doubt began to creep into his heart, and he wondered why the god Hermes hadn’t blessed him with wealth as promised.

วันแห่งโชคชะตาวันหนึ่ง ความคับข้องใจและความผิดหวังกลืนกิน ชายผู้นี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาคว้ารูปปั้นเฮอร์มีสจากฐานแล้วโยนมันลงพื้นด้วยความโกรธ เขาต้องประหลาดใจเมื่อรูปปั้นแตกสลาย มีเหรียญทองจำนวนมากไหลออกมาจากหัวที่หักของรูปปั้น กองเป็นประกายปกคลุมพื้น

One fateful day, consumed by frustration and disappointment, the man could bear it no longer. He grabbed the statue of Hermes from its pedestal and angrily threw it to the ground. To his astonishment, as the statue shattered, a torrent of golden coins spilled forth from its broken head, covering the floor in a gleaming heap.

เมื่อจ้องมองภาพอัศจรรย์ตรงหน้า ชายคนนั้นก็เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งโล่งใจ ตกตะลึง และความเสียใจ เขาตระหนักว่าเฮอร์มีสได้มอบความมั่งคั่งที่เขาแสวงหาไว้จริงๆ แล้ว แต่มันมาในรูปตอบสนองต่อความโกรธของเขามากกว่าการอุทิศตนเป็นเวลาหลายปี

Staring at the miraculous sight before him, the man was filled with a mix of emotions—relief, awe, and regret. He realized that Hermes had indeed delivered the wealth he sought, but it had come in response to his act of anger rather than his years of devotion.

ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะทรงระงับพรของเขาไว้จนกระทั่งผู้นมัสการได้อดทนต่อความยากลำบากและแสดงศรัทธาอันไม่เปลี่ยนแปลง

The god, it seemed, had withheld his blessings until the worshipper had endured hardship and displayed unwavering faith.

นิทานอีสปรูปปั้นกับสมบัติ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“พรมักเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด โดยได้รับอิทธิพลจากอารมณ์และการกระทำของเรา และเน้นย้ำความสำคัญของศรัทธาและความกตัญญูในชีวิต”

  • ความอดทนและความพากเพียร: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความอดทนและความพากเพียรในความพยายามของตน รางวัลอาจไม่มาทันที แต่มักจะมาในเวลาที่คุณคาดหวังน้อยที่สุด
  • ความศรัทธาและความเชื่อ: เน้นย้ำถึงพลังของความเชื่อและความศรัทธาในการบรรลุเป้าหมาย ความสงสัยและความคับข้องใจสามารถขัดขวางความก้าวหน้าได้ ในขณะที่ศรัทธาอันแน่วแน่สามารถเคลื่อนภูเขาได้
  • การมองเห็นที่เหนือกว่าความมั่งคั่งทางวัตถุ: เหรียญทองที่ท่วมท้นเป็นสัญลักษณ์ว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้เป็นเพียงการครอบครองวัตถุเท่านั้น นอกจากนี้ยังแสดงถึงการเติบโตทางวิญญาณและส่วนตัวที่บรรลุผลสำเร็จผ่านการท้าทายและศรัทธา
  • บทเรียนในความยืดหยุ่น: ความท้าทายและความพ่ายแพ้อาจเป็นโอกาสในการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะนำไปสู่รางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่าในที่สุด
  • ความกตัญญูและการไตร่ตรอง: การสะท้อนของผู้ชายผู้นี้การเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาเองทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้ชื่นชมสิ่งดีๆ ในชีวิตของเรา และเพื่อรับทราบถึงความสำคัญของการตอบแทนความเมตตา
  • คำตอบที่แปลกใหม่: บางครั้งคำตอบของชีวิตก็มาในรูปแบบที่ไม่คาดคิดและในเวลาที่ไม่คาดคิด เรื่องราวเตือนเราว่าพรมาถึงในวิธีที่เราอาจไม่คาดคิด

“Blessings can come unexpectedly, influenced by our emotions and actions, and underscores the importance of faith and gratitude in life.”

  • Patience and Persistence: The story underscores the importance of patience and persistence in one’s endeavors. Rewards may not come immediately, but they often arrive when you least expect them.
  • Faith and Belief: It highlights the power of belief and faith in achieving one’s goals. Doubt and frustration can hinder progress, while unwavering faith can move mountains.
  • Seeing Beyond Material Wealth: The flood of gold coins symbolizes that true wealth isn’t just about material possessions. It can also represent spiritual and personal growth achieved through challenges and faith.
  • Lessons in Resilience: Challenges and setbacks can be opportunities for growth and transformation, leading to greater rewards in the end.
  • Gratitude and Reflection: The worshipper’s reflection on his own behavior serves as a reminder to appreciate the good in our lives and to acknowledge the importance of reciprocating kindness.
  • Unconventional Answers: Sometimes, life’s answers come in unexpected ways and at unexpected times. The story reminds us that blessings can arrive in ways we might not anticipate.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราว่าพรแห่งชีวิตมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราเรียนรู้ที่จะฝ่าฟันความยากลำบากด้วยความอดทนและความศรัทธาที่ไม่สั่นคลอน และค้นพบว่าการเดินทางนั้นให้รางวัลพอๆ กับจุดหมายปลายทางในที่สุด

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ความปรารถนาที่เติมเต็มภาพลักษณ์” ไทย-Eng

“ความปรารถนาที่เติมเต็มภาพลักษณ์” เป็นนิทานอีสปที่เล่าถึงประติมากรต้องการขายเทวรูปในฐานะเทพเจ้าที่เติมเต็มความปรารถนา แต่อ้างอิงถึงความต้องการเร่งด่วนของเขาเอง โดยสอนถึงคุณค่าของความอดทนในการบรรลุเป้าหมายระยะยาว

นิทานอีสปเรื่องความปรารถนาที่เติมเต็มภาพลักษณ์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในจัตุรัสตลาดที่พลุกพล่าน ประติมากรผู้มากทักษะได้จัดแสดงผลงานล่าสุดของเขาอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งเป็นเทวรูปอันงดงามที่เขาอ้างว่าเป็นเทพเจ้าที่ให้พรได้อย่างมหัศจรรย์ เขาประกาศว่ารูปปั้นนี้มีพลังมหัศจรรย์ในการมอบความปรารถนาอันลึกล้ำที่สุดของเจ้าของ

Once upon a time, In a bustling market square, a skilled sculptor proudly displayed his latest creation – a magnificent statue he claimed to be a wonder-working god. The statue, he announced, had the miraculous power to grant the deepest desires of its owner.

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชายชราผู้ชาญฉลาดคนหนึ่งจึงเข้าไปหาประติมากรและถามว่า “ถ้าเทวรูปองค์นี้โดดเด่นอย่างที่คุณพูด ทำไมคุณถึงขายมัน เจ้าไม่ควรเก็บสมบัติเช่นนี้ไว้สำหรับตัวเจ้าเองหรือ”

Curiosity piqued, a wise old man approached the sculptor and inquired, “If this god is as remarkable as you say, why are you selling it? Shouldn’t you keep such a treasure for yourself?”

ผู้ดูที่อยากรู้อยากเห็นประหลาดใจกับผลงานชิ้นเอกและถามว่าทำไมประติมากรจึงเต็มใจที่จะแยกส่วนกับทรัพย์สินอันมีค่าเช่นนี้ ประติมากรตอบว่า “เจ้าเห็นไหมเพื่อนของข้า แม้ว่าเทวรูปองค์นี้มีพลังที่จะเติมเต็มความปรารถนาของเจ้า แต่มันก็ดำเนินการตามกำหนดเวลาของตัวเองโดยใช้เวลาในการให้บุญ แต่ข้าก็เหมือนกับหลายๆ คนพบว่าตัวเองอยู่ใน ต้องการเงินทุนด่วน”

Curious onlookers marveled at the masterpiece and inquired why the sculptor was willing to part with such a valuable asset. With a wry smile, the sculptor responded, “You see, my friends, while this god possesses the power to fulfill your wishes, it operates on its own schedule, taking its time to grant favors. But I, like many, find myself in need of immediate funds.”

นิทานอีสปความปรารถนาที่เติมเต็มภาพลักษณ์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงสร้างสมดุลระหว่างความต้องการเร่งด่วนด้วยความอดทนเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด”

  • ความพึงพอใจในทันทีกับความอดทน: เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนระหว่างความพึงพอใจในทันทีและความอดทน บางครั้ง เราถูกล่อลวงให้เสียสละผลประโยชน์ระยะยาวเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น คล้ายกับการตัดสินใจของประติมากรที่จะขายเทพเจ้าเพื่อต้องการเงินด่วน
  • คุณค่าของรางวัลที่ล่าช้า: มันเตือนเราว่ารางวัลที่ยิ่งใหญ่มักต้องใช้เวลาและความอดทน เช่นเดียวกับเทพเจ้าของประติมากร สิ่งที่มีค่าที่สุดบางอย่างในชีวิต เช่น การเติบโตส่วนบุคคล หรือการบรรลุเป้าหมายที่สำคัญ ต้องใช้เวลาด้วยนั่นเอง
  • ความรอบคอบในการตัดสินใจ: กระตุ้นให้เราคิดอย่างมีวิจารณญาณก่อนตัดสินใจ ทางเลือกของประติมากรเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประเมินผลที่ตามมาจากการกระทำของเรา และพิจารณาว่าสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของเราหรือไม่
  • หลีกเลี่ยงทางเลือกที่หุนหันพลันแล่น: การตัดสินใจที่เร่งรีบในบางครั้งอาจทำให้เสียใจได้ การใช้เวลาสักครู่เพื่อพิจารณาภาพรวมสามารถช่วยให้เราหลีกเลี่ยงทางเลือกที่หุนหันพลันแล่นได้
  • ระวังคำสัญญาที่ว่างเปล่า: เรื่องราวนี้ยังทำหน้าที่เป็นคำเตือนเกี่ยวกับความสงสัยอีกด้วย เราควรระวังคำสัญญาที่ฟังดูดีเกินจริง เช่นเดียวกับที่ชายชราตั้งคำถามกับคำกล่าวอ้างของประติมากร

“Balancing immediate needs with patience is key to making wise decisions.”

  • Immediate Gratification vs. Patience: This story illustrates the trade-off between immediate gratification and patience. Sometimes, we are tempted to sacrifice long-term benefits for short-term gains, similar to the sculptor’s decision to sell the god for quick money.
  • Value of Delayed Rewards: It reminds us that great rewards often require time and patience. Just like the sculptor’s god, some of the most valuable things in life, such as personal growth or achieving significant goals, take time to manifest.
  • Discernment in Decision-Making: It encourages us to think critically before making decisions. The sculptor’s choice highlights the importance of evaluating the consequences of our actions and determining whether they align with our long-term goals.
  • Avoiding Impulsive Choices: Rushed decisions made in haste can sometimes lead to regret. Taking a moment to consider the bigger picture can help us avoid impulsive choices.
  • Beware of Empty Promises: The story also serves as a cautionary tale about skepticism. We should be wary of promises that sound too good to be true, just as the old man questioned the sculptor’s claims.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนให้เราสร้างสมดุลระหว่างความต้องการเร่งด่วนของเรากับความอดทนที่จำเป็นสำหรับรางวัลที่ยิ่งใหญ่และยาวนาน

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children