สุภาษิตคำพังเพยกินบนเรือนขี้บนหลังคา ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กินบนเรือนขี้บนหลังคา

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกินบนเรือนขี้บนหลังคา

ที่มาของสำนวนคือ มาจากที่คนโบราณเอาลักษณะของแมวที่ไม่ดี จากลักษณะนิสัยของแมวซึ่งมักกินข้าวอยู่บนเรือนและขึ้นไปถ่ายบนหลังคาเรือน คำว่าเรือนแปลว่าบ้าน ลักษณะบ้านของคนไทยสมัยก่อนเป็นบ้านชั้นเดียว ใต้ถุนสูง เวลาให้อาหารแมวที่เลี้ยงไว้ก็จะให้บนบ้านเพราะแมวเป็นสัตว์ที่สะอาด กินนอนอยู่บนบ้าน ไม่เหมือนสุนัขที่คนเลี้ยงมักจะให้อาหารที่ใต้ถุนบ้าน กินนอนอยู่ใต้ถุนบ้าน แต่เวลาที่แมวจะขับถ่ายมักจะปีนขึ้นไปถ่ายบนหลังคา ซึ่งเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของแมวที่มักจะกลบสิ่งขับถ่ายของตน ดังมีอีกสำนวนหนึ่งอธิบายนิสัยขับถ่ายของแมวว่า “หมาขี้แล้วแจว แมวขี้แล้วกลบ” แต่การที่แมวขึ้นไปถ่ายไว้บนหลังคา สร้างปัญหาให้เจ้าของบ้าน คือ มีกลิ่นเหม็น เปรียบเหมือนคนที่ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในบ้าน แต่เนรคุณเจ้าของบ้าน

สรุปความหมายของสำนวนคือ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ใช้พูดเปรียบเทียบคนที่ไม่รู้จักบุญคุณ คนเนรคุณ ไปอาศัยอยู่บ้านคนอื่น ซึ่งเจ้าของบ้านให้ความ เอ็นดู ช่วยเหลือดู แต่กลับไม่รู้จักบุญคุณ สร้างปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าของบ้าน เหมือนกินอาหารในบ้าน ได้อิ่มท้อง สุข สบาย แต่ไปขี้รดหลังคา ส่งกลิ่นเหม็นให้เจ้าของบ้านเดือดร้อน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกินบนเรือนขี้บนหลังคา

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกินบนเรือนขี้บนหลังคา

  • ผู้ชายคนนั้นเจ้าของบ้านเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก แต่พอโตขึ้นแอบได้เสียกับลูกสาวเจ้าของบ้าน กินบนเรือน ขี้บนหลังคาแท้ๆ
  • เด็กชายเขียว นิสัยไม่ดี ไม่รู้จักบุญคุณ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา นายสมชายและภรรยาเห็นว่าเป็นเด็กกำพร้า จึงให้ความเมตตา ช่วยเหลือดูแล เรื่องอาหารการกิน การส่งเสียศึกษาเล่าเรียน แต่เด็กชาย แดง มักจะสร้างปัญหาให้ครอบครัวอยู่เสมอ บางครั้งก็ลัก ขโมยของใช้ในบ้าน หรือคบเพื่อนไม่ดี พาเพื่อนมามั่วสุมในบ้าน
  • วิชิตเป็นเด็กกำพร้าที่คุณหญิงพจนานำมาเลี้ยง เธอเลี้ยงดูสุชาติเป็นอย่างดี ให้การศึกษา และให้ดูแลกิจการโรงแรม แต่ไม่นานโรงแรมก็ขาดทุนจนต้องปิดกิจการไป ด้วยสาเหตุมาจากสุชาติโกงเงินโรงแรม และนำเงินที่ได้ไปเล่นการพนัน ตัวอย่างของสุชาติตรงกับสำนวนที่ว่า กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาโดยแท้
  • เจ้าอาวาสเลี้ยงเด็กวัดไว้หลายคน ด้วยความสงสาร เพราะเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ดูแล แต่เด็กวัดชื่อสมชายคนมีนิสัยไม่ดี ไม่รู้จักบุญคุณ เป็นคนประเภท กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา มักจะสร้างปัญหาให้ทางวัดอยู่เสมอ บางครั้งก็ขโมยของในวัดไปขาย เจ้าอาวาสหวังว่าสักวันสมชายคงจะคิดได้ และเป็นคนดีขึ้น
  • อนุพงษ์ได้สันดานไม่ดีมาจากไหนก็ไม่รู้ เฮียสงชุบเลี้ยงมาอย่างดีเหมือนลูก ให้การ ให้งานทำ แต่กลับทำระยะตำบอน เนรคุณโดยการทุจริตเงินเฮียสง แบบนี้มันกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาชัดๆ เฮียสงแกเสียใจมาก ต้องแจ้งความจับอนุพงษ์ให้ไปชดใช้กรรมในคุก

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกินน้ำเห็นปลิง ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำเห็นปลิง

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกินน้ำเห็นปลิง

ที่มาของสำนวนคือ เปรียบดั่งสมัยก่อนที่เวลาคนเราจะกินน้ำจากธรรมชาติแล้วเหตุสิ่งแปลกปลอม  ทำให้เรารู้สึกตะขิดตะขวงใจเหมือนจะกินน้ำเห็นปลิงอยู่ในน้ำก็กินไม่ลง จึงเป็นที่มาสำนวนสุภาษิตนี้นั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวนนี้คือ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542  หมายถึง สิ่งใดที่เรากำลังทำหรือที่เราต้องการแต่เมื่อพบเห็นว่าสิ่งนั้นน่ารังเกียจ หรือมีอะไรที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ ทำให้เกิดความตะขิดตะขวงใจ ไม่ไว้วางใจ จนไม่อยากได้ หรือตะขิดตะขวงใจกับคนชั่วที่รู้พูดหรือคบด้วยโดยรู้ว่าเขาไม่ดี กระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ แต่เจออะไรบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ จึงไม่ทำสิ่งนั้นๆ ต่อให้จบ

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกินน้ำเห็นปลิง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกินน้ำเห็นปลิง

  • มีบริษัทที่เพิ่งจดทะเบียนใหม่บริษัทหนึ่งมาว่าจ้างให้สมชายเข้าร่วมทีมเพื่อทำงานบางอย่าง หลายวันต่อมาเขาขอถอนตัวออกจากทีม เพราะเขาเจอสิ่งผิดสังเกต ดังสำนวนไทยที่ว่ากินน้ำเห็นปลิง
  • กินน้ำเห็นปลิงดูเหมือนจะมีทั่วไปในกลุ่มคนที่มีอายุเป็นผู้ใหญ่แล้วในสังคมไทยขณะนี้ นักการเมืองหน้าเดิมบ้าง พรรคการเมืองดั้งเดิมบ้าง ลูกชาย หลานชายนักการเมืองเก่าๆ บ้าง เปิดตัวเตรียมแข่งขันเลือกตั้งกันแล้ว คนไทยจำนวนไม่น้อย เมื่อจะต้องเลือกตั้งก็คงยังตะขิดตะขวงใจ กับบาดแผลเก่า จึงรู้สึกเหมือนกินน้ำเห็นปลิง แม้แต่ คสช. ที่เข้ามารักษาความสงบ
  • จะให้เราเลือกเขาเป็นศิษย์เก่าดีเด่นได้อย่างไร มันเหมือนกินน้ำเห็นปลิงเพราะรู้ทั้งรู้ว่าเขาฉ้อราษฎร์บังหลวง
  • สมชายรู้ตัวเองว่ากำลังทำผิด รู้สึกละอายใจ แสดงว่าเขากำลังกินน้ำเห็นปลิง สองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทำ นับเป็นโชคดีของสมชายจริงๆ ที่คิดได้
  • โชคชัยทำธุรกิจสีเทา ทั้งๆ ที่รู้ว่ากินน้ำเห็นปลิง แล้วยังกล้าทำต่อนี่ สักวันเวรกรรมคงจะตามสนอง รู้ว่ามันไม่ดี ก็ยังจะกล้าเล่นกับไฟ เงินที่หามาจากการโกงคนอื่นทางอ้อม ไม่มีวันที่จะได้ สุดท้ายก็โดนตามยึดคืนแน่นอน

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

 

สุภาษิตคำพังเพยกินน้ำไม่เผื่อแล้ง ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำไม่เผื่อแล้ง

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกินน้ำไม่เผื่อแล้ง

ที่มาของสำนวนคือ มาจากเนื่องจากในสมัยโบราณนั้นในพื้นที่ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีในการกักเก็บน้ำ การใช้น้ำจึงเป็นเรื่องระมัดระวังอย่างมาก ยามหน้าฝนตกเก็บน้ำ และต้องใช้อย่างประหยัด ไว้ใช้ยามหน้าแล้งย่างเข้ามา หากใช้จนหมด ไม่สำรองไว้จะทำให้หน้าแล้งไม่มีน้ำไว้ใช้ทั้งกิน ทั้งทางเกษตร จึงเป็นที่มาของสำนวนในสมัยก่อนนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ มีอะไรใช้หมดทันทีไม่คิดถึงวันข้างหน้า หรือมีเงิน มีของก็ใช้ถลุงเสียจนหมด ไม่ห่วงอนาคตข้างหน้า เสมือนใช้น้ำจนหมดพอ พออยากจะใช้กลับไม่มี ไม่เหลือแล้ว สำนวนนี้สอนให้คนฉุกคิดในการดำเนินชีวิตไม่ให้ประมาท ยามมีให้เก็บบ้าง ไว้ฉุกเฉินยามหน้า ไม่ใช่ไปใช้จนหมด

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกินน้ำไม่เผื่อแล้ง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกินน้ำไม่เผื่อแล้ง

  • ปัจจุบันคนไทยใช้น้ำมัน ใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟุ่มเฟือย แบบกินน้ำไม่เผื่อแล้ง มีก็ใช้ ไม่ช่วยกันประหยัด ไม่คิดว่าในอนาคตพลังงานเชื้อเพลิงในประเทศจะหมด ถึงเวลานั้นเราอาจจะต้องซื้อเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ใช้น้ำมันในราคาที่แพงขึ้นอีก
  • จอมได้รับค่าจ้างรายเดือนมา ก็ชักชวนเพื่อนไปเที่ยวกินเหล้าจนเสียเงินไปจำนวนมาก โดยไม่คิดเลยว่าเวลาที่เหลืออีกทั้งเดือนจะมีเงินเหลือพอใช้หรือไม่ แบบนี้กินน้ำไม่เผื่อแล้งชัดๆ
  • ถ้ายังมีความคิดที่ว่าเก็บเงินไว้ทำไม หามาได้ก็เอาใช้สิถึงจะถูก แบบนี้เหนื่อยแน่นอนในอนาคต เพราะเวลาการเงินมีปัญหาเมื่อหร่ จะเอาที่ไหนช้ เอาที่ไหนจ่าย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่อง สุขภาพ และเรื่องหนี้สินที่ก่อไว้นะ
  • สมศักดิ์เป็นคนกินน้ำไม่เผื่อแล้งจริงๆ มีเงินก็เอาไปใช้เที่ยวเตร่ ให้ผู้หญิงหมด ไม่เหลือเก็บไว้เพื่อตนเองในวันข้างหน้าเลย
  • สังคมเรามีคนมากมายที่ไม่คิดเก็บเงินไว้สำรองฉุกเฉินเลย เข้าสำนวนที่ว่ากินน้ำไม่เผื่อแล้งในสมัยก่อนเลย กาลเวลาและยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่นิสัยคนไม่เปลี่ยนไปเลย

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกินน้ำพริกถ้วยเก่า ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำพริกถ้วยเก่า

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกินน้ำพริกถ้วยเก่า

ที่มาของสำนวนคือ การกินน้ำพริกแบบเก่าๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมวิธีในการทำเลย เพราะคนตำน้ำพริกก็คนเดิม จึงใช้กรรมวิธีการทำแบบเดิมๆ จึงกินอยู่อย่างซ้ำๆ ซากๆ เหมือนเดิม รสเดิมอย่างจำเจจำใจ แม้กระทั่งถ้วยที่ใส่ก็ถ้วยเดิมอีก มันคงธรรมดาๆ มาก ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบของสำนวนนี้หมายถึง กลับมาอยู่กับเมียคนเดิม กล่าวคือการมาอยู่กับเมียคนเดิม อะไรๆ มันก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรทำให้ตื่นเต้น หรือเร้าใจ มันเป็นปกติธรรมดาไปหมด อุปมาเสมือนดั่งว่า กินน้ำพริกถ้วยเก่า

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกินน้ำพริกถ้วยเก่า

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกินน้ำพริกถ้วยเก่า

  • ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ปัจจุบันหนุ่มสาวแต่งงานกันไปไม่ทันไรก็เลิก ไม่เหมือนรุ่นก่อนๆ ที่เขากินน้ำพริกถ้วยเก่ากันได้เป็น 20 ปี
  • เมื่อทรัพย์สมบัติหมดแล้ว ผู้หญิงหน้าใหม่ๆที่เขาคบหาต่างก็เลิกราหายหน้าไป เขาจึงหวนกลับมา กินน้ำพริกถ้วยเก่าอย่างเดิม
  • เมื่อสมบัติหมดตัว ผู้หญิงแต่ละคนก็เลิกราไปเขาเลยสำนึกได้ว่าไม่มีใครดีเท่าภรรยาอีกแล้ว จึงกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่า
  • สุดท้ายสมชายก็ต้องกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่า ไปอยู่กับเมียใหม่ไม่รอด แต่เมียเก่าก็ยังรออยู่เสมอ รอบนี้สมชายคงจะคิดได้แล้วกระมั้ง!?
  • หึ ทิ้งฉันไปเสวยสุขกับนังคนคนนั้น สุดท้ายก็กลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่่าอย่างฉันเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกินน้ำใต้ศอก ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำใต้ศอก

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกินน้ำใต้ศอก

ที่มาของสำนวน มาจากการกินน้ำด้วยกระบวย น้ำที่รั่วออกมาตรงด้ามกระบวยจะไหลมาสู่แขนแล้วสิ้นสุดหยดลงตรงปลายข้อศอก

จริงอยู่ แต่ก่อนนี้เราใช้กระบวยตักน้ำกิน, แต่ก็ไม่เห็นมีใครไปรอกินน้ำใต้ศอกใคร พี่เส (เสนีย์ เสาวพงศ์ หรือ ศักดิชัย บำรุงพงศ์) บอกว่า เมื่อตอนเป็นทูตอยู่อินเดีย ได้เดินทางไปชนบท ที่บ่อน้ำแห่งหนึ่งได้เห็นคนกินน้ำแล้วมีคนอีกคนหนึ่งก้มหัวเอาปากไปรอกินน้ำที่หยดใต้ศอก. นี่ก็เป็นเรื่องของวรรณะ คนที่ไปกินน้ำที่ใต้ศอกเขานั้น คงจะเป็นจัณฑาล หรือไม่ก็ศูทร จึงจะไปกินน้ำร่วมบ่อกับเขาไม่ได้

คนในสมัยก่อนอธิบายว่า คนหนึ่งเอาสองมือรองน้ำมากิน มากิน อีกคนหนึ่งรอหิวไม่ไหวเลยเอาปากเข้าไปรองน้ำที่ไหลลงมาข้อศอก ของคนกอบน้ำกินนั้นเพราะรอหิวไม่ทันใจ

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ โดยสำนวนนี้ที่ใช้กันในเมืองเรานั้น หมายถึง เมียน้อย จําต้องยอมเป็นรองเขา ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า (มักหมายถึงเมียน้อยที่ต้องยอมลงให้แก่เมียหลวง) ผัวไม่ได้อยู่ด้วย, นานๆ จึงจะหลบเมียหลวงมาหาได้สักคืน, หรือไม่ก็ มาทุกวันแต่เฉพาะตอนพักเที่ยง, ต้องลักเขากิน ซ่อนเขากิน จะเต็มอิ่มได้ยังไง

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกินน้ำใต้ศอก

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกินน้ำใต้ศอก

  • น่าสงสารสมหญิงจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ชายมีเมียอยู่แล้ว แต่ก็รักเขามากจนยอมกินน้ำใต้ศอกมาหลายปีแล้ว เฮ้อ!
  • ถึงแม้ว่าเรยาจะอยู่กินกับเจ้าสัว และเจ้าสัวพาเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่ก็อยู่ในฐานะเมียรองเพราะเจ้าสัวมีเมียอยู่ก่อนแล้ว ทุกครั้งที่เจ้าสัวไปงานสังคมที่ใดก็จะควงแต่เมียหลวงไปเท่านั้น แต่เรยาก็ยังต้องจำยอมกินน้ำใต้ศอกเขา เพราะฐานะทางบ้านยากจน
  • ยูเครนเป็นเมืองขึ้นของสหภาพโซเวียดต้องส่งทรัพยากรไปให้เมืองหลวงที่มอสโคตลอด ทั้งๆ ที่ยูเครนก็แทบจะแย่อยู่แล้ว โดยเฉพาะประชาชนต้องอดๆ อยากๆ แต่ยังต้องส่งทรัพยากรอยู่ดี โดยเมืองหลวงแทบไม่มาเหลียวแลเลย แบบนี้กินน้ำใต้ศอกของเมืองหลวงชัดๆ
  • หญิงอย่าเป็นคนกินน้ำใต้ศอก เพราะชีวิตของเธอจะไม่มีความสุขเลย ได้แต่กินของเหลือจากคนอื่นเนี่ยนะ คิดดูให้ดี
  • การกินน้ำใต้ศอกก็เหมือนการแบ่งชั้นวรรณะจริงๆ นะ คนที่รวยย่อมได้ของดีๆ ก่อน ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนแทบไม่มีอะไรตกถึงมือคนจนเลย

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกินที่ลับไขที่แจ้ง ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กินที่ลับไขที่แจ้ง

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกินที่ลับไขที่แจ้ง

ที่มาของสำนวนคือ กระทำการสิ่งใดๆ ในที่ลับที่ไม่มีคนเห็น ประเภทหลบซ่อนทำ หรือแอบกิน เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ จึงไม่ต้องการให้คนอื่นทราบ จึงแอบซ่อนทำ หรือแอบกิน หรือ ที่เราเรียกกันว่ากินในที่ลับ แต่อยากจะคุยโม้โอ้อวด หรือด้วยเหตุใดไม่ทราบ จึงเปิดเผยให้คนอื่นทราบ หรือที่เราเรียกกันว่าไขที่แจ้งนั่นเอง

สรุปความหมายสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ คนที่ปากสว่าง เก็บความลับไม่เป็น มักเอาเรื่องที่เป็นความลับมาเปิดเผยให้คนอื่นได้รับรู้โดยไม่จำเป็น จนเกิดความเสียหายกับผู้อื่น อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบ กล่าวคือเรื่องที่ทำกันในที่ลับสมควรที่จะรับรู้กันเฉพาะในวงการ หรือเฉพาะสองต่อสองเท่านั้น ไม่สมควรที่จะเผยแพร่ให้สาธารณะทราบ คนที่ได้กิน หรือ ได้กระทำในที่ลับแล้วนำมาเปิดเผย  (ส่วนมากจะใช้กับชายหนุ่ม และ หญิงสาวที่แอบได้เสียกัน) สำนวนนี้ยังนิยมใช้เตือนสติชายหนุ่ม หญิงสาว และคนที่พูดมากปากสวว่าง ให้คิดดูให้ดีว่าการกระทำบางอย่างก็ไม่ควรทำ และหากทำไปแล้วก็ควรรู้ตัวไม่ควรเอามาพูด

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกินที่ลับไขที่แจ้ง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกินที่ลับไขที่แจ้ง

  • ต้นแอบได้เสียกับแอน พอดื่มสุรากับเพื่อนๆจนมึนเมา ก็นำมาคุยโม้โอ้อวดเพื่อนๆ แบบนี้เรียกว่ากินที่ลับไขที่แจ้งอย่างแท้จริง
  • ชายอย่าเป็นที่กินที่ลับไขที่แจ้งเลย มันไม่ดี นายก็เสียหาย กิ๊กนายก็เสียหาย สุดท้ายก็เสียหายด้วยกันทั้งคู่
  • นี่ศักดิ์อย่าปากสว่างแบบกินที่ลับไขที่แจ้ง เอาข้อมูลงบการเงินบริษัทไปบอกคนอื่น ไม่เป็นความลับของบริษัท มีจรรยาบรรณในการทำงานหน่อย
  • นิดถ้าคุณชอบกินที่ลับไขที่แจ้ง ชีวิตคุณจะไม่มีความสุขอีกเลย เพราะจะมีแต่คนมองคุณด้านลบอยู่ตลอดบอกเลย
  • หากชอบที่จะกินที่ลับไขที่แจ้ง ก็ควรจะคิดหน่อยว่าผลที่ตามมามันจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่รับรองเลวร้ายกว่าที่คุณคิดแน่นอน

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกิ่งทองใบหยก ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กิ่งทองใบหยก

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกิ่งทองใบหยก

ที่มาของสำนวน เปรียบกิ่งก็คือส่วนที่แยกออกจากต้น หรือที่เราเรียกกันว่ากิ่งของธาตุแท้ชนิดหนึ่งเนื้อแน่นมาก สีเหลืองสุกปลั่ง เป็นโลหะมีค่า หรือที่เราเรียกกันว่าทองและ ส่วนของพืชที่ติดอยู่กับกิ่ง หรือ ลำต้น โดยมากมีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆ รูปร่างต่างๆกัน มีก้านใบ หรือ ไม่มีก็ได้ มักมีสีเขียว หรือ ที่เราเรียกกันว่าใบ หินแก้วมีลักษณะแข็งเป็นสีต่างๆ ใช้ทำเครื่องประดับ และ เครื่องใช้ ถือว่าเป็นของมีราคา หรือที่เราเรียกกันว่าหยก

ส่วนกิ่งทองใบหยก ก็คือการประดิษฐ์ต้นไม้จำลองให้มีความงดงาม และมีค่าราคาสูง ลำต้น และ กิ่งทำด้วยทองคำเนื้อเก้า ใบทำด้วยหยกสีเขียวใสงดงามวาววับ ดูแล้วเหมาะสมกันที่สุด ทองเป็นของมีค่า และมีราคาสูง และหยกก็เป็นของมีค่า และมีราคาสูงเช่นกัน ส่วนใหญ่มักจะนำมาทำเป็นเครื่องประดับกาย แต่เมื่อนำเอามาประดิษฐ์เป็นต้นไม้เล็กๆ นำทองคำมาประดิษฐ์เป็นลำต้น และ กิ่งของต้นไม้แล้ว จึงนำหยกซึ่งมีสีเขียว และ มีค่าสูง มาประดิษฐ์เป็นใบไม้ มันจึงเหมาะสมกันมากๆ และ งดงามมากๆ มีค่า และ ราคาสูงมิอาจจะประมาณได้

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบความเหมาะสมกัน ใช้กับหญิงกับชายที่จะแต่งงานกัน กล่าวคือ ถ้ามีการเปรียบเทียบระหว่างเจ้าบ่าว กับเจ้าสาว ว่ามีความเหมาะสม หรือคู่ควรกัน จะใช้คำอุปมาเสมือนดั่งว่า คู่ควรกันราวกับกิ่งทองใบหยก แต่ไม่นิยมนำไปอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบกับสิ่งของอย่างอื่นเช่นกัน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกิ่งทองใบหยก

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกิ่งทองใบหยก

  • วิทย์และแพม ต่างชีวิตที่เพียบพร้อม มีหน้ามีตาในหมู่บ้าน โดยทั้งคู่ต่างหมายมั่นจะให้แต่งงานกันในอนาคต ซึ่งก็เหมาะสมกัน อย่างกับกิ่งทองใบหยก ฝ่ายหญิงสาวเป็นคนดี มีหน้าที่การงานที่ดี ฝ่ายชายก็เหมือนกัน ถ้าแต่งงานกันแล้ว น่าจะมีครอบครัวที่ดี ทำให้ครอบครัวของคู่นี้ในอนาคตสมหวังอย่างแน่นอน
  • เจ้าสาวเจ้าบ่าวคู่นี้พ่อแม่มีฐานะอยู่ในระดับมหาเศรษฐีร่ำรวยพอๆ รูปร่างเจ้าสาวก็สวยงาม และรูปร่างเจ้าบ่าวก็หล่อเหลา ช่างเหมาะสมกันเหมือนกับกิ่งทองใบหยกจริงๆ
  • ทรงสง่างามดั่งคู่กิ่งทองใบหยก พระบรมฉายาลักษณ์ใน เจ้าชายเฟรเดอริก-เจ้าหญิงแมรี่ มงกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก
  • การมีคู่ครอง เป็นสามีภรรยาที่เหมาะสมกับเหมือนกิ่งทองใบหยก ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรวย คนเก่ง คนมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีเสมอไป คนธรรมดาทั่วไปหากสามารถเลือกคู่ที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ก็ย่อมจะมีความสุขในชีวิตคู่ได้เหมือนกัน เพราะปัญหาในเรื่องชีวิตคู่กัน ที่ทำให้ต้องเลิกรากัน มักจะเกิดจาก ความไม่หมาะสมกันมากกว่า ความรวย ความจน ฐานะ อาจจะเลือกไม่ได้ เพราะคู่ครองของแต่ละคนนั้น ใช่จะมีอะไรที่เสมอกัน แต่คุณธรรมในจิตใจที่เสมอกัน เป็นสิ่งที่สามารถสร้างได้ และช่วยทำให้ชีวิตคู่มีความสุขได้อย่างแท้จริง นี่แหละคู่ชีวิตที่แท้จริงแล้ว
  • ถึงเราสองคนอาจไม่สมบูรณ์แบบกิ่งทองใบหยกคู่อื่นๆ แต่เราสองก็ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกัน ช่วยกันสร้างชีวิตกันมาจนมีวันนี้ แค่เราเคียงข้างกันวันนี้ก็เพียงพอแล้ว

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกำแพงมีหูประตูมีตา ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กำแพงมีหูประตูมีช่อง / กำแพงมีหูประตูมีตา

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกำแพงมีหูประตูมีตา

ที่มาของสำนวนคือ เปรียบกำแพงมีหูคอยฟัง เปรียบประตูมีช่องไว้มองเห็น เปรียบเปรยถึงว่าสิ่งรอบๆ ตัวเรา เช่น หลังกำแพง, หลังประตูหรือหน้าต่าง ยังมีคนที่อาจอยู่และได้ยินเวลาเราพูดเสมอ

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ สิ่งใดที่เป็นความลับเวลาจะพูดออกไปจะต้องระมัดระวังให้มาก เพราะอาจมีผู้อื่นได้ยินแล้วนำเอาความลับนั้นไปเปิดเผย ซึ่งสำนวนสุภาษิตนี้ใช้ในการเตือนสติในการที่จะพูดข้อมูลสำคัญต่างๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้พูด และผู้ฟัง ดังนั้นเรื่องที่สำคัญไม่ควรพูดพร่ำเพื่อ หรือพูดในสถานที่มีคนพลุกพล่านหรือมีคนอยู่มาก เพราะว่าคนอื่นอาจจะได้ยิน ได้เห็นเรื่องส่วนตัวได้

สำนวนไทยดังกล่าวมีความหมายตรงกับสำนวนในภาษาอังกฤษที่กล่าวว่า “The walls have ears.” ซึ่งหมายถึง กำแพงมีหู และมีความหมายใกล้เคียงกันกับสำนวนไทยที่กล่าวว่า กำแพงมีหูประตูมีตานั่นเอง

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกำแพงมีหูประตูมีตา

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกำแพงมีหูประตูมีตา

  • กำแพงมีหูประตูมีช่อง การที่จะพูดหรือทำอะไรให้ระมัดระวังแม้จะเป็นความลับ เพียงไรก็อาจมีคนล่วงรู้ได้ กำแพง หนาอย่าได้, เย็นใจ. มีหู ฟังความนัย, แห่งถ้อย ประตู ปิดระวังไว
  • ถึงแม้ว่าในห้องทำงานของดุจรณีนั้นจะปิดประตูหน้าต่างอย่างมิดชิด แต่ดุจรณีก็ขอให้ดวงเดือนเพื่อนร่วมงานของเธอ เข้ามานั่งใกล้ๆ พร้อมกับกระซิบเบาๆ ถึงเรื่องที่เธอต้องการเล่าด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะได้ยินเรื่องที่ทั้งสองพูดคุยกัน เพราะ กำแพงมีหูประตูมีช่อง ไม่ควรประมาท
  • เรื่องบางเรื่องเราไม่ควรอื่นนอกจากเราสองคนรู้เห็น เพราะสมัยนี้กำแพงมีหูประตูมีตาเสมอ เราต้องระมัดระวังในการคุยกันในเรื่องส่วนตัวให้มากขึ้น
  • กำแพงมีหูประตูมีตา!? หนุ่มแอบขายของผิดกฏหมายบริเวณหมู่บ้าน ทำได้แค่แปปเดียวก็ถูกจับได้ แสดงว่าไม่มีที่ยืนให้กับคนทำผิดจริงๆ
  • วิชาญชอบคุยเรื่องส่วนตัวของตนกับภรรยาในกลุ่มเพื่อนๆ ที่มีคนเยอะๆ เสมอ มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเท่าไหร่ที่เอาเรื่องภายในมาพูดข้างนอกแบบนี้ เพราะกำแพงมีหูประตูมีตาเสมอ ถ้าแค่กลุ่มเพื่อนได้ยินคงไม่เท่าไหร่ แต่คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องนี่สิ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกำขี้ดีกว่ากำตด ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กำขี้ดีกว่ากำตด

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกำขี้ดีกว่ากำตด

ที่มาของสำนวนคือ เปรียบเปรยจาก การกำขี้นั้นยังเป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่ตดนั้นไม่สามารถที่จะจับต้องได้ เลยเป็นคำกล่าวที่ติดหูตกทอดกันมาเรื่อยๆ ตามประสาชาวบ้านนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน อ้างอิงจาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง ลงทุนหรือลงแรงไปแล้ว แม้ไม่ได้ค่าตอบแทน แต่ได้อย่างอื่นมาก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เสมือนว่าเมื่อจะได้อะไรซักอย่างแต่ไม่ได้ดั่งใจต้องการ แต่อย่างน้อยได้บางส่วนก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย เช่น ถ้า ถูกหวยใกล้เคียงรางวัลที่หนึ่ง แทนที่เกือบจะได้ 6 ล้าน เป็นไปได้แค่ 1 แสน คงนึกเสียดายเจ็บใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จำใจได้เท่าที่รางวัลนั้นออกเท่านั้น

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกำขี้ดีกว่ากำตด

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกำขี้ดีกว่ากำตด

  • เมื่อวานนี้นายศักดิ์ไปช่วยเจ้านายย้ายต้นไม้ในสวน เขาหวังว่าเจ้านายอาจจะให้ค่าจ้างเป็นเงินบ้าง แต่เจ้านายกลับให้ข้าวสารมาหนึ่งถุง นายศักดิ์รับแล้วขอบคุณเจ้านาย ถึงแม่ว่าจะนึกเสียใจอยู่บ้างแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย กำขี้ดีกว่ากำตด
  • กำขี้ดีกว่ากำตด!? โจรพยายามขโมยมอไซค์ แต่ได้หมวกกันน็อคไปแทน ที่ จ.อ่างทอง มีคนร้าย 2 คน ลงมือก่อเหตุขโมยรถจักรยานยนต์ โดยทำทีว่ามาพบญาติซึ่งทำงานอยู่ที่ห้างไทยวัสดุ ก่อนจะเข้าไปปลดล็อครถที่จอดในลานจอดของห้างดังกล่าว โชคดีกุญแจผีที่ใช้หักเสียก่อน คนร้ายจึงได้แค่หมวกกันน็อคไป
  • สมชายทำงานทุ่มเทกับงานอย่างหนัก นำเสนอไปหลายที่ก็ไม่มีบริษัทไหนสนใจงานของเขาเลย แต่หลังจากที่เขาพยามมานาน มีบริษัทสนใจกับงานของเขาา แต่ขอจ่ายแค่ครึ่งราคาที่เขาต้องการ สุดท้ายเขาจำใจต้องเอา เพราะไม่มีเงินหมุนสำหรับงานใหม่ เขาบอกว่ากำขี้ดีกว่ากำตดแน่นอน เพราะเดี๋ยวจะไม่มีทุนเริ่มงานใหม่
  • เฉียดหวยรางวัลที่หนึ่งไปนิดเดียวเอง จาก 6 ล้าน ได้แค่ 1 แสน เฮ้อ! ช่างเถอะ อย่างน้อยกำขี้ดีกว่ากำตดละวะ!
  • เทศกาลลดราคาเสื้อผ้าถึง 90% ต่างคนต่างแย่งกับซื้อสินค้ามากมาย ถ้าไม่รีบหยิบแล้วจะไม่ทันคนอื่นแน่นอน งานนี้ขอกำขี้ดีกว่ากำตด

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกาคาบพริก ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กาคาบพริก

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกาคาบพริก

ที่มาของสำนวนคือ ตามปกติธรรมดาธรรมชาติของนกกาจะมีขนสีดำไปหมดทั้งตัว เผอิญไปคาบผลพริกแก่เต็มที่ที่มีสีแดง สีผลพริกที่ตัดกับสีตัวนกกา ระหว่างสีแดงที่มันฉูดฉาด กับสีดำของตัวนกกาจะตัดกันมากๆ ดูแล้วมันไม่ผสมกลมกลืนกันเลยนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบคนผิวดำที่ชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดงๆ หรือสีแจ๋นๆ หรือลักษณะที่คนผิวดำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง กล่าวคือ คนที่ไม่รู้จักประมาณในการแต่งกาย เพราะผิวเนื้อของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สวมใส่สีอะไรก็ได้ เช่น คนผิวดำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง อุปมาเสมือนดั่งว่า “กาคาบพริก” นั่นเอง

คนเราจะสวมเสื้อผ้าอาภรณ์แบบไหน สีอะไร ต้องสำรวจดูตัวเองก่อน ว่าเรามีลักษณะรูปร่างเป็นอย่างไร? ผิวสีเนื้อเป็นอย่างไร? มิใช่มองเห็นผู้อื่นสวมเสื้อสีแดงแล้วดูงามตา ก็ไปหาซื้อเสื้อสีแดงมาสวมใส่บ้าง ทั้งที่ตนเองผิวเนื้อค่อนข้างดำ สวมเสื้อสีแดงไปแล้วมันก็ดูขัดนัยน์ตา

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกาคาบพริก

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกาคาบพริก

  • เธอผิวออกจะดำๆ อย่าไปสวมเสื้อสีแดงเลย มันจะดูเหมือนกาคาบพริก มองดูแล้วมันขัดนัยน์ตาพิลึกๆ
  • สมชายนี่เป็นประเภทกาคาบพริกจริงๆ เลย ผิวดำแต่แต่งตัวสีจี๊ดมาก ดูไม่เข้ากันเลย สาวๆ เห็นคงขำกันหน้าดู
  • การแต่งตัวไม่ใช่นึกอยากแต่จะแต่งอะไรก็แต่ง ต้องเลือกเข้ากับรูปร่าง สีผิวเราด้วย ถ้าแต่งมั่วซั่วละก็อาจจะเหมือนกาคาบพริกก็ได้
  • สมศรีเธอแต่งตัวแรงมาก สีแดงปรี๊ดเลยตัดกับผิวแทนของเธอเหมือนกับกาคาบพริกสุดๆ เธอนี่เป็นผู้หญิงที่มั่นใจจริงๆ สมศรี
  • คนที่มีผิวคล้ำควรแต่งตัวเสื้อผ้าโทนอ่อนไม่ให้ดูฉูดฉาดเกินไป ถ้าแต่งตัวสีจี๊ดจ๊าดเกินไป ไม่งั้นอาจจะเป็นลักษณะกาคาบพริกก็ได้

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube