สุภาษิตคำพังเพยคลุกคลีตีโมง ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คลุกคลีตีโมง

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยคลุกคลีตีโมง

ที่มาของสำนวน คลุกคลี คือการเข้าใกล้ชิดกัน, มั่วสุมกัน ส่วนคำตีโมง แบ่งออกเป็นสองคำคือ (ตี + โมง = ตีโมง) ตีเป็นคำที่ใช้นับเวลาในตอนกลางคืน และโมงเป็นคำที่ใช้นับเวลาในตอนกลางวัน รวมความว่าคลุกคลีตีโมง ก็คือการเข้าใกล้ชิดสนิทแนบแน่น และอยู่ร่วมกันตลอดเวลาทั้งกลางวัน และกลางคืน ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกัน ทำกิจกรรมอะไรก็ทำร่วมกัน กินนอนด้วยกัน การที่บุคคลเราจะใกล้ชิดสนิทสนมกลมกลืนกันนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจะต้องมีใจรักสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีจิตใจตรงกันรักชอบสิ่งเดียวกัน หรือคล้ายๆกัน หรือมีจุดมุ่งหมาย หรือปณิธานเฉกเช่นเดียวกัน ถึงจะคลุกคลีตีโมงกันได้

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ มั่วสุม หรืออยู่ร่วมคลุกคลีพัวพันกันอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา กล่าวคือบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปมีความเป็นอยู่อย่างอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ทำร่วมกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน กินก็กินร่วมกัน นอนก็นอนร่วมกัน อุปมาเสมือนดั่งว่าได้คลุกคลีตีโมงกันตลอดเวลา

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยคลุกคลีตีโมง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตคลุกคลีตีโมง

  • นี่ลูก หมู่นี้ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ ชอบไปคลุกคลีตีโมงกับเจ้าน้อย ลูกก็รู้นี่ว่าเจ้าน้อยนิสัยไม่ดี ตำรวจเขาก็จับตามันอยู่
  • อภิสิทธิ์กับเทพไท อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มีอุปนิสัยชอบเล่นกีฬาฟุตบอลเหมือนกัน เมื่อถึงเวลาว่างๆเราจะเห็นเด็กทั้งสองคนนี้มาฝึกเล่นฟุตบอลกันอยู่เสมอๆ สรุปแล้วเด็กคู่นี้คลุกคลีตีโมงกันเป็นอย่างมาก
  • คุณคะ ลูกเราคงจะเรียนดีขึ้นนะเทอมนี้ เห็นชอบไปคลุกคลีตีโมงอยู่กับน้องพลอยลูกสาวพี่สายข้างบ้าน น้องพลอยเรียนเก่งมากและนิสัยดีด้วยนะคะ
  • ก็เห็นนาย คลุกคลีตีโมง อยู่กับเขาตลอด จะไม่รู้เลยหรือว่าเขาไปไหนกับใคร
  • การที่มวลมหาประชาชน ออกมาร่วมชุมนุมอยู่พักแรมคืนแรมวัน และกินนอนอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันตลอดเวลา พวกเขาคลุกคลีตีโมงกัน ก็เพื่อทวงคืนประเทศไทยจากรัฐบาลเผด็จการ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

ที่มาของสำนวน มาจากน้ำในแม่น้ำลำคลอง เมื่อมีเรือขึ้นล่องดินที่ท้องนาจะไม่ตกตะกอน ทำให้ไม่ตื้นเขิน ในทำนองเดียวกัน เสือในป่าก็อยู่ได้เพราะมีป่าเป็นที่กำบังและเป็นแหล่งอาหาร สำนวนนี้มีความต่ออีกว่า “น้้าพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย” สำนวนมีในบทสุภาษิตเก่าว่า “ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า น้้าพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ”

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ สิ่งทั้งหลายนั้นย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกัน เอื้อประโยชน์แก่กัน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

  • ฉันเห็นนกเอี้ยงเกาะอยู่บนหลังควาย ฉันจึงถามตาว่า ทำไมควายถึงยอมให้นกเอี้ยงเกาะ ตาตอบว่านกเอี้ยงมาคอยกินแมลงบนหลังควาย นอกจากนกเอี้ยงจะอิ่มแล้ว ควายยังไม่คันไม่หงุดหงิดอีกด้วย พึ่งพาอาศัยกันดั่งสำนวนไทยที่ว่าน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
  • เจ้านายครับ บริษัทที่เราจะไปพบพรุ่งนี้ เป็นพันธมิตรที่ดีมากๆครับ เราก็เขาช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด เปรียบเสมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าเลยครับ
  • บ้านของป้าทองใบเลี้ยงไก่หลายตัว ทุกเช้าป้าทองจะเก็บไข่ไปขายในตลาด เก็บไว้ส่วนหนึ่งเพื่อไว้กิน และบ่อยครั้งที่ป้าทองใบจะเก็บไปให้ป้าพิกุลซึ่งอยู่บ้านติดกัน “ฉันเอาไข่มาให้แกน่ะ” ป้าทองใบยื่นตะกร้าไข่ ไก้ให้ป้าพิกุลป้าพิกุลพูดขึ้นว่า “ฉันเกรงใจจริงๆ แกอุตส่าห์มีน้้าใจเอาไข่มาให้ตั้งหลายที” ป้าทองใบจึงพูดว่า “เรื่องเล็กน้อย แบ่งกันกินกันใช้ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า อยู่บ้านใกล้กันก็แบ่งๆ กันสิ” ป้าพิกุลลุกขึ้นไปเอาปลาใน ตุ่มที่จับได้ในนาเอามาให้ป้าพิกุลหลายตัวอยู่ “แกให้ไข่ฉันมา ฉันก็ให้ปลากลับไปกินบ้าง” ทั้งสองต่างขอบอก ขอบใจซึ่งกันและกัน และอิ่มใจที่ได้เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ป้าทองลากลับบ้านพร้อมทั้งบอกกับป้าพิกุลว่า ปลาที่ให้มานั้นจะเอาไปทำแกงส้ม แล้วจะตักมาให้กิน ส่วนป้าพิกุลก็จะทำบัวลอยไข่หวานไว้ให้เช่นเดียวกัน
  • นี่คุณเราต้องทำดีกับเพื่อนบ้านเอาไว้มากๆนะ ทั้งสองฝ่ายของเราต้องพึ่งพาอาศัยกันเหมือนนำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า
  • ชิดเก่งวิชาเคมีจึงมักสอนการบ้านวิชาเคมีให้ชอบ ส่วนชอบก็เก่งวิชาคณิตศาสตร์จึงมักสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้ชิด คุณครูประจำชั้นจึงมักชื่นชมและสอนทั้งสองคนว่าการที่เราทำตัวเป็นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง เพราะจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยเนื้อถ้อยกระทงความ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. เนื้อถ้อยกระทงความ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยเนื้อถ้อยกระทงความ

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงการพูดคุย ได้เนื้อได้ความชัดเจน โบราณท่านเลยพูดว่าเนื้อถ้อยกระทงความนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ถ้อยคําที่ได้เรื่องได้ราวเข้าใจได้ชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ โดยไม่ต้องทำอะไร หรือชี้แจงอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว คำๆ นี้นิยมใช้กับการอธิบายความ การชี้แจงหรือการตอบข้อสงสัย ซึ่งทำแล้วอย่างครบถ้วน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยเนื้อถ้อยกระทงความ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตเนื้อถ้อยกระทงความ

  • ผมชอบเวลาฟังเขาให้สัมภาษณ์นักข่าวเนื้อถ้อยกระทงความดี
  • ข้าแต่ศาลที่เครพ จำเลยได้อธิบายความต่อท่านอย่างครบเนื้อถ้อยกระทงความแล้ว ไม่มีอะไรจะชี้แจงเพิ่มเติมแล้วครับ
  • เพราะเขาเป็นนายกที่ยอดเยี่ยม การพูดจาย่อมเนื้อถ้อยกระทงความกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
  • พี่ครับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเอง ซึ่งผมก็ได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขาอย่างเนื้อถ้อยกระทงความแล้ว
  • เราเลิกกันแล้ว ผมบอกคุณแบบเนื้อถ้อยกระทงความแล้วละ คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ทำไมคุณยังมาตามรังควานผมอีก!?

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยต่อความยาว สาวความยืด ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ต่อความยาว สาวความยืด

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยต่อความยาว สาวความยืด

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงการพูดเถียงกัน ต่อความยาวคือพูดยาวออกไปเรื่อยๆ สาวความยืดคือสาวคำพูดให้ยืดออกไปอีก โดยไม่มีท่าทีว่าจะจบจะสิ้นนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ มากเรื่องมากราวโต้กันไปโต้กันมา ไม่รู้จักจบจักสิ้นพูดกันไปพูดกันมาจนไม่จบไม่สิ้นเสียที สนทนาเถียงกัน จนเรื่องราวไม่ได้จบลงเสียที โดยที่โบราณท่านได้เปรียบไว้กับการพูดคุยที่ไม่ยอมจบสิ้นเสียที แต่กลับพูดกันไปพูดกันมาจนเรื่องราวไม่สามารถจบลงได้

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยต่อความยาว สาวความยืด

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตต่อความยาว สาวความยืด

  • นายกับฉันคุยเรื่องนี้เถียงกันไปมานานแล้วนะ ฉันไม่อยากจะ ต่อความยาวสาวความยืด อีกต่อไปแล้ว จบนะ
  • นี่พวกเธอ พอกันได้แล้ว เรื่องมันจบแล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นการต่อความยาวสาวความยืดเสียเปล่าๆ!
  • คุณอย่ามาต่อความยาว สาวความยืดกับผม เราเลิกกันไปแล้ว จบกันไปแล้ว มีอะไรต้องพูดกันอีก ปล่อยวางแล้วทางใครทางมันเถอะ อย่างน้อยอนาคตเรายังเป็นเพื่อนกันได้
  • อย่าเถียงกับคนโง่! ยิ่งเราโต้เถียงต่อความยาว สาวความยืดกับคนพวกนนี้ เราจะไม่ได้อะไร ทั้งดูดพลังงาน เสียอารมณ์ เสียเวลา เปลืองสมอง!
  • ฝ่ายค้านไม่จบ! สาวไส้รัฐบาล ฝ่ายรัฐแถไม่จบไม่สิ้นต่อความยาว สาวความยืด แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยฤาษีเลี้ยงลิง ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ฤ. ฤาษีเลี้ยงลิง

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยฤาษีเลี้ยงลิง

ที่มาของสำนวน มาจากนิทานโบราณ เรื่องมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่ง… นานมาแล้ว มีฤาษีตนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึก ฤาษีตนนี้ได้เลี้ยงลิงไว้ฝูงหนึ่ง ลิงซุกซนมากจนฤาษีต้องเฆี่ยนตีอยู่เสมอ วันหนึ่งพระราชาเสด็จมานมัสการฤาษี เห็นฤาษีตีลิงก็รับสั่งว่า “ลิงซนตามธรรมชาติของมัน ไม่ควรต้องเฆี่ยนตี” ฤาษีก็รับคำว่าจะไม่ตีลิงอีกต่อไป แต่ทูลขอพระราชาให้งดลงอาญาราษฎรด้วย เมื่อไม่มีการลงอาญา คนร้ายก็กำเริบ ก่อความเดือดร้อนไปทั่ว ฤาษีทูลพระราชาว่า  “ผู้ที่ไม่อยู่ในระเบียบวินัย ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อน จำเป็นต้องมีการลงโทษ” จึงเป็นที่ว่าของสำนวนนี้

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ผู้ที่เลี้ยงเด็กซุกซน หรือปกครองคนหมู่มากที่ไม่อยู่ในระเบียบวินัย ซึ่งจะทำให้เกิดความเดือดร้อน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยฤาษีเลี้ยงลิง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตฤาษีเลี้ยงลิง

  • ครูสมชายเป็นครูประจำชั้นอนุบาล ซึ่งห้องที่ครูสมชายสอนเป็นห้องที่มีเด็กซุกซนทั้งนั้น ไม่ว่าเขาจะพูด จะสอนเท่าไหร่ เด็กๆก็ไม่ฟังไม่สนใจ เอาแต่วิ่งเล่น ขาดระเบียวินัย ทำให้ห้องเรียนใกล้ๆ ไม่พอใจที่ห้องครูสมชายชอบส่งเสียงดัง
  • นี่คุณ วันนี้ฉันเหนื่อยเหลือเกิน เด็กพวกนั้นซนเหลือเกินจน ฉันเหมือนเป็นฤาษีเลี้ยงลิงไปเลย
  • แต่ก่อนนี้เมื่อถึงสิ้นปี สื่อมวลชนก็มักจะรวมหัวกันทั้งฉายาบุคคลใน ครม.หรือคนที่มีบทบาทเด่นในรอบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีเป็นที่สนใจมากกว่าตำแหน่งอื่น ในอดีตที่ผ่านมา ฉายานายกรัฐมนตรีที่ถูกใจและเรียกขานกันมา ก็อย่างเช่น ตลกหลวง โหรหน้าสนามกีฬา ฤาษีเลี้ยงลิง นายกฯลิ้นทอง พระเตมีย์ใบ้ ฯลฯ เป็นต้น
  • คุณครูครับ ผมเข้าใจความลำบากของคุณครูในฐานะผู้ปกครองคนหนึ่งที่ต้องดูแลเด็กชั้นอนุบาล เด็กวัยนี้กำลังซนมาก คุณครูคงยุ่งวุ่นวายเหมือนฤาษีเลี้ยงลิงเลยละครับ
  • “ฤาษีเลี้ยงลิง ลิงเลี้ยงกล้วย” รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ซดหูฉลามพุงกางในวันสิ่งแวดล้อมไทย สุดยอดจริงๆ รัฐบาลชุดนี้ (ประชด)

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยข้าเก่าเต่าเลี้ยง ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. ข้าเก่าเต่าเลี้ยง

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยข้าเก่าเต่าเลี้ยง

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงบริวาร หรือคนรับใช้(ข้า) ที่อยู่ด้วยกันแต่ก่อนมา ย่อมไว้ใจได้ เหมือนกับเต่าที่เราเลี้ยงมัน มันก็จะอยู่กับเรานานวัน เพราะว่าเต่ามันอายุยืนยาว คนเก่าคนแก่ที่อยู่ด้วยกันในฐานะคนรับใช้มานาน ย่อมมีความไว้ใจได้ เพราะมีความซื่อสัตย์ปรากฏเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว เปรียบประดุจดัง “เต่าเลี้ยง” คือ เต่าที่เรานำมาเลี้ยงไว้เราย่อมเลี้ยงมันได้อย่างยาวนาน หรือมันจะอยู่ให้เราเลี้ยงได้นานวัน เพราะเต่ามันมีอายุยืนยาวมากๆ นั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ คนเก่าคนแก่, คนที่อยู่ด้วยกันในฐานะรับใช้มานาน ที่อยู่ด้วยกันจนไว้วางใจได้ ซึ่งคนโบราณมักจะนำคำนี้ไปใช้กับคนที่อยู่ด้วยกันมานานในแง่ของความไว้ใจได้ ความซื่อสัตย์ที่เป็นที่ประจักษ์

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยข้าเก่าเต่าเลี้ยง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตข้าเก่าเต่าเลี้ยง

  • ตาคนนี้ไว้เนื้อเชื่อใจได้เป็นอย่างดี เพราะแกเกิดที่นี่ แกจึงเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แกเกิดจนถึงปัจจุบันนี้
  • สุชาวดีเล่าให้เพื่อนของเธอฟังว่า หญิงชราคนนั้นที่เอาน้ำมาให้เราดื่มไม่ใช้ญาติของเธอแท้ๆ แต่เคยรับใช้คุณยายของเธอ จากนั้นก็มาเป็นแม่นมของคุณแม่ จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังอยู่ที่บ้านนี้ และเธอก็ให้ความเคารพนับถือเรียกหญิงชราคนนั้นว่าคุณยาย
  • นี่หญิง ลุงคนนี้ไว้ใจได้สบาย แกเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แกเป็นหนุ่ม
  • ลุงสมชายเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงตระกูลเรา แกอยู่ทำงานเป็นพ่อบ้านเรามาสองรุ่นแล้วลูก
  • คนที่ทำงานด้วยกันเป็นเวลานานในฐานะหัวหน้า ลูกน้อง ย่อมเหมือนข้าเก่าเต่าเลี้ยงเป็นธรรมดา ทำให้เจ้านายรักและเชื่อใจได้โดยไม่มีข้อสงสัยเลย

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยลูกเสือลูกตะเข้ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ล. เลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้ (ลูกเสือลูกจระเข้)

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยลูกเสือลูกตะเข้

ที่มาของสำนวน เปรียเปรยถึงทั้งเสือทั้งจระเข้ล้วนเป็นสัตว์ที่ดุร้าย ไม่มีใครเลี้ยงให้เชื่องได้ ลูกเสือลูกจระเข้อาจจะดูน่ารักน่าเลี้ยง แต่ถ้าเลี้ยงไปจนโตก็จะเป็นสัตว์ที่ดุร้ายตามวิสัยของมัน ยากที่ใครจะเลี้ยงให้เสือหรือจระเข้เชื่องได้ คนที่เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ไว้ก็จะเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายเมื่อลูกเสือลูกจระเข้นั้นโตขึ้นนั่นเอง สำนวนนี้จริงๆ แล้วเรียกว่า “ลูกเสือลูกตะเข้ “ต่อมาเพี้ยนเป็น “ลูกเสือลูกจระเข้”

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ เปรียบคนที่เป็นลูกของศัตรูหรือลูกของคนเลวซึ่งมักจะไว้ใจไม่ได้ จะแว้งกลับมาทำร้ายเอาได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง อาจใช้เรียกลูกคนอื่นที่เอามาเลี้ยงไว้แล้วกลับอกตัญญูทำร้ายคนเลี้ยง หรือทำความเดือดร้อนให้คนเลี้ยง คนโบราณเชื่อว่าเด็กที่มีพ่อแม่เป็นคนเลว เป็นอันธพาล เป็นผู้ร้ายใจอำมหิตเปรียบเหมือนลูกเสือลูกจระเข้ อาจจะมีนิสัยเหมือนพ่อแม่ จึงไม่มีใครกล้ารับมาเลี้ยงดู

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยลูกเสือลูกตะเข้

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตลูกเสือลูกตะเข้

  • คุณยายสายหยุดได้นำเจ้าจุกซึ่งเป็นเด็กกำพร้ามาเลี้ยง ยายส่งเสียให้เรียนหนังสือเพื่อหวังให้เจ้าจุกเป็นคนดีมีการมีงานทำ แต่เจ้าจุกไม่ตั้งใจเรียน โดดเรียน มีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนทุกวัน ทำให้ยายเดือดร้อนและไม่สบายใจอยู่เสมอ
  • เด็กพวกนี้ลูกเสือลูกตะเข้แท้ๆ นิสัยไม่ดี ลักเล็กขโมยน้อย เธอจะกล้ารับมาเลี้ยงหรือ
  • ใน “พระอภัยมณี” สุนทรภู่ เขียนกลอนไว้บทหนึ่ง “เคยเลี้ยงดูสู้ถนอมเฝ้ากล่อมเกลี้ยง เหมือนหลงเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้มันเหลือแสน สู้พ่อแม่ทรยศคิดทดแทน ให้หายแค้นคิดหมายไม่วายวัน”
  • ภาพยนตร์จีนกำลังภายในแทบจะทุกเรื่อง ถ้าผู้ใดนำลูกศัตรูมาเลี้ยงไว้ เมื่อเด็กโตขึ้น และ รู้เรื่องราวความเป็นจริงก็จะทำการฆ่าล้างแค้นผู้ที่ชุบเลี้ยงที่เคยเป็นศัตรูของพ่อ-แม่เขา เป็นเสมือนดั่งคำโบราณที่ว่าเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้
  • เด็กคนนี้เป็นลูกเสือลูกตะเข้แท้ๆ อุตส่าห์เอามาเลี้ยงอย่างดี ให้เล่าให้เรียน กลับพาเพื่อนมาปล้นเอาทรัพย์สินไปหมด

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยตีบทแตก ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ตีบทแตก

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยตีบทแตก

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงการแสดงเมื่อผู้ใดผู้หนึ่งได้รับบทบาทใดๆ และสามารถแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม โบราณท่านเปรียบเทียบการแสดงกับนิสัยคนในชีวิตที่แสดงในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเขา และทำได้อย่างยอดเยี่ยมแนบเนียน มักใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ นักแสดงตีบทแตกจนสามารถคว้ารางวัลมาครองได้ หรือแสดงได้แนบเนียนสมจริง แสดงได้แนบเนียนสมบทบาท โบราณท่านใช้คำนี้มาอธิบายคนที่สามารถแสดงออกได้อย่างแนบเนียนจนคนอื่นคล้อยตาม ทั้งดีใจและเสียใจ

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยตีบทแตก

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตตีบทแตก

  • ธิดาเธอนี่เก่งจริงๆ ตีบทแตกกระจุย ดูซิ เขาเชื่อเธอเสียสนิทใจเลย
  • ถึงแม้ชีวิตจริงของนางเอกสาว ยังไม่เคยผ่านประตูวิวาห์และมี ครอบครัวมาก่อน แต่เมื่อต้องมารับบทหญิงสาวผู้ล้มเหลวเรื่องชีวิตคู่ ในละคร นางเอกสาวเกิดอินจัด จนตีบทแตกกระจุย เลยยกให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนราคาแพงสอนชีวิตคู่
  • คุณนี่ตีบทแตกจริงๆ นะ ทั้งๆ ที่ผมมีหลักฐานว่าคุณคุยกับคนอื่น แต่คุณกับแถได้เรื่อยๆ แบบหน้าไม่อาย
  • นี่ลูก อย่าไปเชื่อเพื่อนข้างบ้านให้มากนักนะ ต่อหน้าเรานะเขาดีแสนดี แต่ลับหลังเขาว่าเราไว้ไม่น้อย เด็กคนนี้ตีบทแตกจริงๆ
  • ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ นักแสดงนำชายชื่อดังจากฮอลลีวูด แสดงหนังเรื่อง Revenant ตีบทแตก จนได้รางวัลออสการ์ไปครอง

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ

ที่มาของสำนวน ในสมัยก่อนเมื่อมีการลักวัวควาย โจรผู้ร้ายมักจะนำเครื่องใน กระดูก หรือเศษเนื้อหนังไปทิ้งที่บริเวณบ้านของคนอื่นเพื่อให้ตนพ้นผิด ต่อมาเมื่อทหารสืบจนพบว่ามีซากควายอยู่ที่บ้านนั้น จึงจับตัวเจ้าบ้านมาลงโทษ โดยระหว่างทางที่เดินทางก็ให้เจ้าบ้านผู้เคราะห์ร้ายเอากระดูกควายที่พบบริเวณบ้านมาแขวนคอไว้เพื่อประจานความผิด ซึ่งอันที่จริงเจ้าบ้านไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย แต่ต้องกลับมารับเคราะห์แทน

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ต้องมาเป็นผู้รับผิดชอบทั้งๆ ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์อันใดเลย คนที่เข้าไปช่วยเหลือเหตุการณ์บางอย่างโดยไม่ได้ผลประโยชน์ด้วย แต่กลับต้องมารับเคราะห์ในเหตุการณ์นั้นๆ แทนอีก

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ

  • เมื่อพบผู้ประสบภัยบนท้องถนน อุบัติเหตุรถชนกัน หรือตกข้างทาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต ก่อนจะให้ความช่วยเหลือต้องคิดให้รอบคอบ อาจจะเกิดปัญหาวุ่นวายเดือดร้อนตามมา เพราะบางทีญาติผู้ได้รับอุบัติเหตุหรือตำรวจจะคิดว่า เป็นผู้ก่อเหตุ หรือมีส่วนในอุบัติเหตุ จึงต้องถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ เป็นหลักฐานให้ดี เพื่อให้รู้ว่าเราไม่เกี่ยวข้อง ไลฟ์สด พร้อมกับให้ความช่วยเหลือ เรื่องนี้สำคัญ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง เอากระดูกมาแขวนคอ การช่วยเหลือไม่ได้อะไร แต่อาจจะเดือดร้อนตามมา โดยเฉพาะหากบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
  • สำนวน ‘เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกไปแขวนคอ’ มักถูกใช้กับบริบทของผู้ค้ำประกัน ไม่ว่าจะไปค้ำประกันซื้อรถให้ญาติพี่น้อง ค้ำประกันให้นักศึกษากู้ยืมเรียน หรือค้ำประกันรับคนเข้าทำงาน ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงทางการเงินที่หลายคนมองข้าม
  • สมชายไปค้ำประกันรถให้สมหมายซึ่งเป็นเพื่อนกัน แต่สมหมายกลับไม่ส่งค่างวดเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน บริษัทรถจึงให้สมชายซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันรับผิดชอบแทน สมชายรถก็ไม่ได้ขับ แล้วยังต้องว่าเสียค่างวดอีก แบบนี้ตรงกับสำนวนไทยที่ว่าเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ
  • การให้ความช่วยเหลือผู้อื่น หรือแม้แต่คนในครอบครัว ก็ต้องคิดให้รอบคอบ ศึกษาข้อดีข้อเสียที่จะตามมาและให้ความช่วยเหลืออย่างมีสติ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับความเดือดร้อนจากการช่วยเหลือคนอื่น เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง เอากระดูกมาแขวนคอ เพราะคนที่ได้รับความช่วยเหลือส่วนใหญ่มักจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว คิดแต่จะรับอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อใดที่ปฏิเสธความช่วยเหลือ ก็จะเกิดความโกรธแค้นและอาจจะสร้างความเดือดร้อนตามมา นี่คือเรื่องจริงที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไปในสังคมไทย
  • สมชายไปค้ำประกันให้เพื่อนสนิทสุดท้าย เพื่อนสนิทหักหลังไม่จ่ายหนี้ แถมติดต่อไม่ได้ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคออีกต่างหาก เสียทั้งเพื่อน เสียทั้งเงิน เสียทั้งทรัพย์สิน สงสารสมชายจริงๆ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยปั้นน้ำให้เป็นตัว ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ป. ปั้นน้ำให้เป็นตัว

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยปั้นน้ำให้เป็นตัว

ที่มาของสำนวน คนสมัยก่อนเปรียบเปรยถึงน้ำกับคำพูดคน น้ำเมื่ออุณหภูมิปกติซึ่งมีสถานะเป็นของเหลว จึงไม่สามารถที่จะปั้นให้เป็นรูปร่างได้ เปรียบดั่งคนที่เล่าเรื่อง แล้วเล่าให้คนอื่นฟังว่าตนนั้นสามารถปั้นน้ำให้เป็นตัวได้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ แต่งเรื่องหรือสร้างเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้ สร้างเรื่องเท็จให้เห็นเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา คำนี้มักใช้กับคนที่มีนิสัยชอบโกหกเป็นนิสัย พูดจาเชื่อถือไม่ได้เลย โดยโบราณท่านเปรียบไว้กับการปั้นน้ำเป็นตัวนั่นเอง

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยปั้นน้ำให้เป็นตัว

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตปั้นน้ำให้เป็นตัว

  • เขาเก่งนะที่สามารถสร้างเรื่องโกหกใครต่อใคร ได้ว่าตัวเองรวย เป็นผู้ดีเก่า ปั้นน้ำเป็นตัวจนคนอื่นหลงเชื่อได้
  • เขาปั้นน้ำเป็นตัวให้ข่าวจนเธอเสียหาย กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่จริงเธอก็หมดอนาคตเสียแล้ว
  • เด็กชายทิวาชอบปั้นน้ำเป็นตัว เล่าเรื่องโกหกต่างๆนานาให้เพื่อนๆ ฟัง บางวันก็เล่าว่าพรุ่งนี้จะไปจับกระต่ายบนดวงจันทร์ เพื่อนๆบางคนก็หลงเชื่อถึงกับขอให้พาไปเที่ยวดวงจันทร์ด้วย
  • เธอเลิกปั้นน้ำเป็นตัว สร้างเรื่องโยนความผิดให้คนอื่นเสียที ชั้นรู้ความจริงหมดแล้วว่าเป็นอย่างไร อย่าทำให้ตัวเองดูแย่ไปกว่านี้เลย
  • ในวรรณคดีเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องมณีพิชัยพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ตอนท้าวพิชัยนุราชพระบิดาของพระมณีพิชัยรู้ความจริงว่านางยอพระกลิ่นถูกนางจันทรเทวี (อ่านว่า จัน-เท-วี) ใส่ร้ายว่ากินแมว จึงบริภาษนางจันทรเทวีว่า “น้อยหรืออีเฒ่าเจ้าความคิด ทุจริตอิจฉาขายหน้าผัว เสกสรรปั้นน้ำเป็นตัว เอออะไรไม่กลัวเขานินทา”

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube