นิทานอีสป เรื่อง “แกะกับหมู” ไทย-Eng

“แกะกับหมู” เป็นนิทานอีสปที่สอนให้เรารู้ถึงคุณค่าของตนเอง และคุณค่าของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แม้แต่สัตว์บางชีวิตที่ยอมสละชีวิตเพื่อเป็นอาหารประทังชีวิตของเรา และสอนให้เราเข้าใจคุณค่าชีวิตอย่างแท้จริง

นิทานอีสปเรื่องแกะกับหมู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแกะและหมูอาศัยอยู่ในฟาร์มที่สงบสุขแห่งหนึ่ง แกะเป็นที่รู้จักจากขนแกะซึ่งใช้ทำเสื้อผ้าที่อบอุ่น ในขณะที่หมูมีค่าสำหรับเนื้อของมัน วันหนึ่ง ขณะที่พวกมันกำลังเล็มหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้า หมูหันไปหาแกะและพูดว่า “เจ้าโชคดีมากที่มีขนแกะที่สวยงามเช่นนี้ ผู้คนต่างชื่นชมเจ้าสำหรับขนแกะที่นุ่มสบายของเจ้า แต่ไม่มีใครชื่นชมข้าในสิ่งที่ข้าเป็น”

Once upon a time, there lived a sheep and a pig in a peaceful farm. The sheep was known for its wool, which was used to make warm clothing, while the pig was valued for its meat. One day, as they grazed in the pasture, the pig turned to the sheep and said, “You are so lucky to have such beautiful wool. People admire you for your soft and cozy fleece, but no one appreciates me for who I am.”

แกะมองไปที่หมูและตอบว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า เพื่อนของข้า เราแต่ละคนมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวที่ทำให้เรามีคุณค่าในแบบของเรา แม้ว่าคนอื่นจะไม่ชื่นชมคุณสำหรับรูปร่างหน้าตาของเจ้า แต่พวกเขาก็ชื่นชมคุณสำหรับการยังชีพ เจ้าเป็นผู้ให้ คุณค่าของเราไม่ได้อยู่ที่การถูกมองเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่การที่เรามีส่วนร่วมด้วย”

The sheep looked at the pig and replied, “I understand how you feel, my friend. Each of us has unique qualities that make us valuable in our own way. While people may not appreciate you for your appearance, they appreciate you for the sustenance you provide. Our worth lies not only in how we are perceived, but also in how we contribute.”

หมูไตร่ตรองคำพูดของแกะและตระหนักถึงความจริงในพวกมัน แม้ว่ามันจะโหยหาความชื่นชมจากภายนอกเหมือนแกะ แต่มันก็มีจุดประสงค์ในฟาร์มของมันเอง หมูเรียนรู้ที่จะชื่นชมบทบาทของมันในการให้อาหารแก่ผู้อื่น

The pig pondered the sheep’s words and realized the truth in them. Although it longed for external admiration like the sheep, it had its own purpose on the farm. The pig learned to appreciate its role in providing nourishment to others.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แกะและหมูก็มีบทบาทในฟาร์มตามลำดับ แกะยังคงหาขนแกะสำหรับเป็นเครื่องนุ่งห่ม ในขณะที่หมูภูมิใจในความสามารถในการดำรงและหล่อเลี้ยงผู้อื่นด้วยเนื้อของมัน

From that day on, the sheep and the pig embraced their respective roles on the farm. The sheep continued to provide wool for clothing, while the pig took pride in its ability to sustain and nourish others through its meat.

นิทานอีสปแกะกับหมู

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“เราแต่ละคนมีคุณสมบัติและผลงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้เรามีคุณค่า สิ่งสำคัญคือต้องชื่นชมบทบาทของเราเองและบทบาทของผู้อื่น แม้ว่าพวกเขาจะแตกต่างจากของเราก็ตาม”

  • การยอมรับความเป็นเอกลักษณ์: เรื่องราวเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการยอมรับคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา และตระหนักว่าเราแต่ละคนมีบางสิ่งที่มีคุณค่าที่จะนำเสนอ ทั้งแกะและหมูมีบทบาทและคุณูปการที่แตกต่างกัน และคุณค่าไม่ได้ถูกกำหนดโดยการยอมรับจากภายนอกเพียงอย่างเดียว
  • การเห็นคุณค่าของคุณค่าในรูปแบบต่างๆ: เรื่องราวสอนให้เรารู้จักคุณค่าของวิธีต่างๆ ที่แต่ละคนสามารถสร้างคุณค่าและสร้างความแตกต่างได้ มันเตือนเราว่าคุณค่าของเราไม่ได้ถูกกำหนดโดยวิธีที่เรารับรู้เท่านั้น แต่ยังพิจารณาจากการมีส่วนร่วมที่เราทำและบทบาทที่เราทำให้สำเร็จด้วย
  • เคารพความสามารถที่หลากหลาย: แกะและหมูเป็นตัวแทนของพรสวรรค์และความสามารถที่แตกต่างกัน เรื่องราวกระตุ้นให้เราเคารพและชื่นชมความสามารถและบทบาทของผู้อื่นที่หลากหลาย โดยตระหนักว่าแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายและคุณค่าเฉพาะของตนเอง
  • การค้นหาความพึงพอใจในบทบาทของเรา: หมูเรียนรู้ที่จะค้นหาความพึงพอใจและความภาคภูมิใจในบทบาทของมันในการให้อาหารแก่ผู้อื่น เรื่องราวสอนเราถึงความสำคัญของการค้นหาความสมหวังและความพึงพอใจในบทบาทที่เราแสดง แม้ว่าพวกเขาอาจไม่ได้รับการยอมรับในระดับเดียวกับคนอื่นๆ
  • การยอมรับตนเอง: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการยอมรับตนเองและการเห็นคุณค่าในตัวเอง กระตุ้นให้เรายอมรับว่าเราเป็นใครและค้นหาคุณค่าในผลงานของเราเอง แทนที่จะแสวงหาการตรวจสอบความถูกต้องจากแหล่งภายนอกเพียงอย่างเดียว

“Each of us has unique qualities and contributions that make us valuable. It’s important to appreciate our own roles and the roles of others, even if they are different from our own.”

  • Embracing uniqueness: The story highlights the importance of embracing our own unique qualities and recognizing that each of us has something valuable to offer. Both the sheep and the pig have distinct roles and contributions, and their worth is not defined by external recognition alone.
  • Appreciating different forms of value: The story teaches us to appreciate the various ways in which individuals can bring value and make a difference. It reminds us that our worth is not solely determined by how we are perceived, but also by the contributions we make and the roles we fulfill.
  • Respecting diverse talents: The sheep and the pig represent different talents and abilities. The story encourages us to respect and appreciate the diverse talents and roles of others, recognizing that each individual has their own unique purpose and value.
  • Finding contentment in our roles: The pig learns to find contentment and pride in its role of providing nourishment to others. The story teaches us the importance of finding fulfillment and satisfaction in the roles we play, even if they may not receive the same level of recognition as others.
  • Self-acceptance: The story emphasizes the importance of self-acceptance and recognizing our own worth. It encourages us to embrace who we are and find value in our own contributions, rather than seeking validation solely from external sources.

โดนสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เรายอมรับในเอกลักษณ์ของเรา ชื่นชมคุณค่าในรูปแบบต่างๆ เคารพความสามารถที่หลากหลาย ค้นหาความพึงพอใจในบทบาทของเรา และฝึกฝนการยอมรับตนเอง โดยการนำคำสอนเหล่านี้ไปใช้ เราสามารถปลูกฝังความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง เห็นคุณค่าของผู้อื่น และสร้างกรอบความคิดที่ครอบคลุมและเห็นคุณค่ามากขึ้น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “วัวกับล้อเกวียน” ไทย-Eng

“วัวกับล้อเกวียน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความพยายามและความอุตสาหะ การทำงานร่วมกัน การพูดส่งกำลังใจที่ดีให้แก่คนอื่นย่อมเป็นพลังบวกให้เราก้าวไปข้างหน้า

นิทานอีสปเรื่องวัวกับล้อเกวียน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีวัวคู่หนึ่งกำลังลากเกวียนที่เต็มด้วยสินค้า ล้อเกวียนนั้นเก่าและทรุดโทรม ทำให้วัวเคลื่อนไปข้างหน้าได้ยาก ขณะที่พวกมันกำลังดิ้นรน วัวตัวหนึ่งก็หันไปหาอีกตัวและพูดว่า “ทำไมพวกเราต้องทำงานหนักเพื่อดึงของที่หนักขนาดนี้ ล้อที่สึกหรอเหล่านี้ทำให้งานของเราท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก”

Once upon a time, a pair of oxen was pulling a heavy cart filled with goods. The wheels of the cart were old and worn out, making it difficult for the oxen to move forward. As they struggled, one of the oxen turned to the other and said, “Why do we have to work so hard to pull this heavy load? These worn-out wheels are making our task even more challenging.”

วัวอีกตัวตอบว่า “เจ้าพูดถูก วงล้อเหล่านี้อยู่ในสภาพที่น่าหดหู่จริงๆ แต่แทนที่จะบ่น ให้พวกเราพยายามอย่างเต็มที่เพื่อก้าวไปข้างหน้า ความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของเราเท่านั้นที่จะพาเราผ่านไปได้”

The other oxen replied, “You’re right. These wheels are indeed in a sorry state. But instead of complaining, let us do our best to keep moving forward. It is our strength and determination that will carry us through.”

ด้วยความมุ่งมั่นครั้งใหม่ วัวยังคงดึงเกวียนต่อไปแม้ว่าล้อจะสึกหรอก็ตาม พวกมันก้าวไปข้างหน้า แต่ละก้าวต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษ ในที่สุด ความอุตสาหะก็ได้ผล และพวกมันก็มาถึงจุดหมายปลายทาง

With renewed determination, the oxen continued to pull the cart despite the worn-out wheels. They pushed forward, each step requiring extra effort. Eventually, their perseverance paid off, and they reached their destination.

นิทานอีสปวัวกับล้อเกวียน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การบ่นเกี่ยวกับความท้าทายที่เราเผชิญไม่ได้ทำให้ง่ายขึ้น มุ่งความสนใจไปที่ความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของเราเองเพื่อเอาชนะอุปสรรคจะดีกว่า”

  • ความเพียรพยายาม เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความเพียรในการเผชิญกับความท้าทาย วัวไม่ยอมให้ล้อที่สึกหรอมาบั่นทอนกำลังใจ พวกมันยังคงผลักดันไปข้างหน้าแทน มันสอนให้เรารู้ว่าความพ่ายแพ้และอุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ด้วยความเพียรพยายาม เราสามารถเอาชนะมันและบรรลุเป้าหมายได้
  • การยอมรับข้อจำกัด วัวยอมรับสภาพของวงล้อ โดยเข้าใจว่าไม่ได้อยู่ในการควบคุมของมัน แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่พวกมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พวกมันมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่พวกมันสามารถควบคุมได้ นั่นคือความพยายามและความมุ่งมั่นของตนเอง เรื่องราวสอนให้เรายอมรับข้อจำกัดของเราและมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่อยู่ในอำนาจของเราที่จะเปลี่ยนแปลง
  • การทำงานเป็นทีม วัวทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อลากเกวียนหนัก พวกมันสนับสนุนซึ่งกันและกัน ให้กำลังใจกันเพื่อไปต่อ เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันและการทำงานเป็นทีมในการเอาชนะความท้าทาย มันสอนเราว่าการสนับสนุนและยกระดับซึ่งกันและกัน เราสามารถประสบความสำเร็จร่วมกันได้มากขึ้น
  • ทัศนคติเชิงบวก แม้ว่างานของพวกมันจะยาก แต่วัวก็ยังคงมีทัศนคติเชิงบวก แทนที่จะบ่น พวกมันจดจ่อกับความพยายามอย่างเต็มที่ เรื่องราวสอนเราถึงพลังของความคิดเชิงบวกและผลกระทบที่มีต่อความสามารถของเราในการเอาชนะอุปสรรค
  • ความแข็งแกร่งจากภายใน วัวดึงความแข็งแกร่งจากความมุ่งมั่นและความยืดหยุ่นภายในของพวกมันเอง พวกมันตระหนักดีว่าเป็นความพยายามของพวกมันเองที่จะพาพวกมันผ่านไปได้ แทนที่จะอาศัยสถานการณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว เรื่องราวสอนให้เราเข้าถึงความแข็งแกร่งภายในของเราและควบคุมทรัพยากรของเราเองเพื่อเอาชนะความท้าทาย

“Complaining about the challenges we face doesn’t make them easier. It’s better to focus on our own strength and determination to overcome obstacles.”

  • Perseverance: The story emphasizes the importance of perseverance in the face of challenges. The oxen didn’t let the worn-out wheels discourage them; instead, they kept pushing forward. It teaches us that setbacks and obstacles are a part of life, but with perseverance, we can overcome them and achieve our goals.
  • Accepting limitations: The oxen acknowledged the state of the wheels, understanding that they were not in their control. Rather than dwelling on what they couldn’t change, they focused on what they could control—their own effort and determination. The story teaches us to accept our limitations and focus on what is within our power to change.
  • Teamwork: The oxen worked together as a team to pull the heavy cart. They supported each other, encouraging one another to keep going. The story highlights the importance of collaboration and teamwork in overcoming challenges. It teaches us that by supporting and uplifting one another, we can achieve more together.
  • Positive attitude: Despite the difficulty of their task, the oxen maintained a positive attitude. Instead of complaining, they focused on giving their best effort. The story teaches us the power of a positive mindset and the impact it can have on our ability to overcome obstacles.
  • Strength from within: The oxen drew strength from their own determination and inner resilience. They recognized that it was their own efforts that would carry them through, rather than relying solely on external circumstances. The story teaches us to tap into our inner strength and harness our own resources to overcome challenges.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของความเพียร การยอมรับข้อจำกัด การทำงานเป็นทีม การรักษาทัศนคติเชิงบวก และการค้นหาความแข็งแกร่งจากภายใน โดยการนำคำสอนเหล่านี้ไปใช้ เราสามารถเผชิญกับความท้าทายด้วยความยืดหยุ่น ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในที่สุด

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน” ไทย-Eng

“เทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการช่วยเหลือตัวเองอย่างสุดความสามารถ ย่อมดีกว่าการรอผู้อื่นมาช่วยเหลือ และพลังแห่งศรัทธากับความหวัง

นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน

กาลครั้งหนึ่ง คนขับเกวียนคนหนึ่งกำลังเดินทางไปตามถนนที่เต็มไปด้วยโคลน ล้อข้างหนึ่งของเขาเกิดติด ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเคลื่อนเกวียนไปได้ คนขับเกวียนรู้สึกท้อแท้และหมดแรงจึงเริ่มสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเฮอร์คิวลีส วีรบุรุษกรีกผู้เกรียงไกร

Once upon a time, a wagoner was traveling along a muddy road when one of his wheels got stuck. No matter how hard he tried, he couldn’t move the wagon. Frustrated and exhausted, the wagoner began to pray to Hercules, the mighty Greek hero, for help.

เฮอร์คิวลีสปรากฏตัวต่อหน้าเกวียนและถามเขาว่า “ทำไมเจ้าถึงขอความช่วยเหลือจากข้า? เพียงวางไหล่ของเจ้าไว้ที่พวงมาลัยแล้วออกแรงของเจ้า” คนขับเกวียนรู้ว่าเฮอร์คิวลิสพูดถูก เขาจะเอาพึ่งพาพลังจากสวรรค์เพียงอย่างเดียว แทนที่จะพยายามแก้ปัญหาของเขา

Hercules appeared before the wagoner and asked him, “Why are you calling upon me for help? Just put your own shoulders to the wheel and exert your own strength.” The wagoner realized that Hercules was right. He had relied solely on divine intervention instead of making an effort to solve his problem.

คนขับเกวียนทำตามคำแนะนำของเฮอร์คิวลีส เกวียนเข็นและดึงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี และในที่สุด เกวียนก็ออกมาจากโคลน ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักและความมุ่งมั่นของเขาเอง คนขับเกวียนขอบคุณเฮอร์คิวลีสสำหรับบทเรียนอันมีค่า

Taking Hercules’ advice to heart, the wagoner pushed and pulled with all his might, and eventually, the wagon came out of the mud. Grateful for his own hard work and determination, the wagoner thanked Hercules for the valuable lesson.

นิทานอีสปเทพเฮอร์คิวลิสกับคนขับเกวียน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การช่วยเหลือหรือแทรกแซงจากพระเจ้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาของคุณได้ คุณต้องใช้ความพยายามและความมุ่งมั่นของคุณเองเพื่อเอาชนะความท้าทาย”

  • การพึ่งพาตนเอง เรื่องราวเน้นความสำคัญของการพึ่งพาตนเองและความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการแก้ปัญหา คนขับเกวียนเรียนรู้ว่าการรอคอยจากสวรรค์โดยไม่ใช้ความพยายามนั้นไร้ประโยชน์ มันสอนให้เรามีศรัทธาในความสามารถของเราและลงมือทำแทนที่จะพึ่งพาปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียว
  • ความพยายามและความอุตสาหะ การทำงานหนักและความมุ่งมั่นของคนขับเกวียนทำให้เขาสามารถเอาชนะอุปสรรคได้ เรื่องราวเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของความพยายามที่จำเป็นและความพากเพียรในการเผชิญกับความท้าทาย มันสอนเราว่าความสำเร็จมักต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องและการไม่ยอมแพ้
  • ความช่วยเหลือจากสวรรค์เป็นส่วนเสริมของความพยายามส่วนตัว แม้ว่าเรื่องราวจะเน้นการพึ่งพาตนเอง แต่ก็รับรู้ถึงคุณค่าของความช่วยเหลือจากสวรรค์เช่นกัน เฮอร์คิวลีสปรากฏตัวต่อคนขับเกวียน แต่แทนที่จะแก้ปัญหาโดยตรง เขาสนับสนุนให้เกวียนใช้กำลังของตนเอง สอนเราว่าพลังจากสวรรค์อาจมาในรูปแบบของการนำทางและการดลใจ แต่เรายังต้องพยายามอย่างเต็มที่
  • ความเป็นเจ้าของในการกระทำของตน คนขับเกวียนตระหนักว่าเขาพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกโดยไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง เรื่องราวกระตุ้นให้เราเป็นเจ้าของตัวเลือกและการกระทำของเรา โดยตระหนักว่าเรามีอำนาจในการกำหนดผลลัพธ์ของเราเอง
  • พลังของความเชื่อและความคิด:ความเชื่อของคนขับเกวียนในพลังของเฮอร์คิวลิส ในตอนแรกทำให้เขาแสวงหาพลังจากสวรรค์ อย่างไรก็ตาม คำตอบของเฮอร์คิวลิส สอนให้เขารู้ถึงความสำคัญของความคิดเชิงรุก เรื่องราวนี้สอนเราว่าการมีศรัทธาในความสามารถของเราและการเผชิญกับความท้าทายด้วยความคิดเชิงบวกสามารถสร้างความแตกต่างที่สำคัญได้

“Divine intervention alone cannot solve your problems; you must put in your own effort and determination to overcome challenges.”

  • Self-reliance: The story emphasizes the importance of relying on oneself and taking personal responsibility for solving problems. The wagoner learned that waiting for divine intervention without making an effort himself was futile. It teaches us to have faith in our abilities and take action rather than relying solely on external factors.
  • Effort and perseverance: The wagoner’s hard work and determination allowed him to overcome the obstacle. The story highlights the importance of putting in the necessary effort and persevering in the face of challenges. It teaches us that success often requires sustained effort and a refusal to give up.
  • Divine assistance as a complement to personal effort: While the story emphasizes self-reliance, it also acknowledges the value of divine assistance. Hercules appeared to the wagoner, but instead of directly solving the problem, he encouraged the wagoner to use his own strength. It teaches us that divine intervention may come in the form of guidance and inspiration, but we must still put in our own effort.
  • Ownership of one’s actions: The wagoner realized that he had relied on external help without taking responsibility for his own actions. The story encourages us to take ownership of our choices and actions, recognizing that we have the power to shape our own outcomes.
  • The power of belief and mindset: The wagoner’s belief in Hercules’ power initially led him to seek divine intervention. However, Hercules’ response taught him the importance of a proactive mindset. The story teaches us that having faith in our abilities and approaching challenges with a positive mindset can make a significant difference.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการพึ่งพาตนเอง ความพยายาม ความอุตสาหะ ความเป็นเจ้าของการกระทำของเรา และพลังของความเชื่อและกรอบความคิด โดยการนำคำสอนเหล่านี้ไปใช้ เราสามารถกลายเป็นบุคคลที่มีความกระตือรือร้น ยืดหยุ่น และมีพลังมากขึ้น สามารถเอาชนะอุปสรรคและบรรลุเป้าหมายของเราได้

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เต่ากับเป็ด” ไทย-Eng

“เต่ากับเป็ด” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงอันตรายจากความเย่อหยิ่งจองหองในความสามารถที่ไม่ใช่ของตนเองจริงๆ และการขอบคุณในการช่วยเหลือของผู้อื่นที่ให้ต่อเรา

นิทานอีสปเรื่องเต่ากับเป็ด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้สระน้ำ มันอิจฉาเป็ดที่สามารถบินและเดินทางไปยังที่ห่างไกลได้ เต่าฝันว่าจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นโลกจากเบื้องบน

Once upon a time, there was a tortoise who lived near a pond. He was envious of the ducks who could fly and travel to far-off places. The tortoise dreamt of soaring through the sky and seeing the world from above.

วันหนึ่งมันมีความคิด มันเดินเข้าไปใกล้ฝูงเป็ดที่พักผ่อนริมสระน้ำและพูดว่า “เป็ดที่รัก ข้าอิจฉาความสามารถของเจ้าที่บินได้ ข้าปรารถนาเสมอที่จะได้เห็นโลกจากที่สูง เจ้าช่วยเติมเต็มความฝันของข้าด้วยการแบกฉันไว้บนหลังของเจ้าได้ไหม และพาข้าท่องไปในท้องฟ้า?”

One day, he had an idea. He approached a group of ducks resting by the pond and said, “Dear ducks, I envy your ability to fly. I have always longed to see the world from up high. Could you please help me fulfill my dream by carrying me on your back and taking me on a journey through the sky?”

เป็ดมองหน้ากันและตกลงที่จะช่วยเต่า พวกมันถือไม้แข็งอย่างระมัดระวังในจงอยปากและขอให้เต่าจับมันแน่นด้วยปากของมัน เต่าตื่นเต้นเกินกว่าจะวัดได้ขณะที่เป็ดยกไม้เท้าขึ้นและเริ่มบิน

The ducks looked at each other and agreed to help the tortoise. They carefully held a sturdy stick in their beaks and asked the tortoise to grip it tightly with his mouth. The tortoise was excited beyond measure as the ducks lifted the stick and began to fly.

ขณะที่พวกมันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เต่ารู้สึกถึงความสุขและอิสระอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในไม่ช้าความตื่นเต้นของมันก็กลายเป็นความภาคภูมิใจ มันมองดูสัตว์อื่นๆ และคิดว่า “ข้าโชคดีจริงๆ! ข้าบินได้สูงกว่าพวกเจ้าทั้งหมด!”

As they soared through the sky, the tortoise felt an incredible sense of joy and freedom. But his excitement soon turned to pride. He looked down at the other animals and thought, “How lucky I am! I am flying high above them all!”

รู้สึกเย่อหยิ่งที่เพิ่งค้นพบ เต่าไม่สามารถต้านทานการโอ้อวดเกี่ยวกับตำแหน่งที่สูงส่งของมันได้ “มองมาที่ข้า! ข้ากำลังบินอยู่! ไม่มีใครในพวกเจ้าทำแบบนี้ได้!” มันอุทาน

Feeling a newfound arrogance, the tortoise couldn’t resist boasting about his elevated position. “Look at me! I am flying! None of you can do this!” he exclaimed.

เป็ดตัวหนึ่งเริ่มรู้สึกรำคาญกับความเย่อหยิ่งของเต่า จึงพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้าอาจจะบินได้ แต่จำไว้ว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าทำเอง ปีกของเราต่างหากที่พาเจ้าไป อย่าลืมที่ของเจ้า”

One of the ducks, growing annoyed with the tortoise’s arrogance, spoke up, “You may be flying now, but remember, it’s not your own doing. It’s our wings that carry you. Do not forget your place.”

ขณะที่เป็ดบินต่อไป เต่าก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของเป็ด มันตระหนักว่าความรู้สึกที่เหนือกว่าของมันไม่มีมูลความจริง ความใจดีและความสามารถของเป็ดทำให้มันได้สัมผัสกับท้องฟ้า

As the ducks continued their flight, the tortoise pondered the duck’s words. He realized that his sense of superiority was unfounded. It was the ducks’ kindness and abilities that allowed him to experience the sky.

เต่ารู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตนขอบคุณเป็ดสำหรับความเอื้ออาทรของพวกมัน และขอให้พวกมันพามันกลับไปที่พื้น ขณะที่มันลงพื้น มันรู้สึกซาบซึ้งในธรรมชาติและความสามารถของตัวเอง

Feeling humbled, the tortoise thanked the ducks for their generosity and asked them to take him back to the ground. As he landed, he felt a newfound sense of appreciation for his own nature and abilities.

นิทานอีสปเต่ากับเป็ด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงชื่นชมคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเอง และอย่าปล่อยให้สถานการณ์ชั่วคราวหรือความช่วยเหลือทำให้เรารู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น”

  • ความกตัญญูกตเวทีและความพึงพอใจ เรื่องราวเตือนใจให้เรารู้สึกขอบคุณที่เราเป็นและสิ่งที่เรามี การที่เต่าอิจฉาเป็ดทำให้เขามองข้ามคุณค่าของคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันเอง มันสอนให้เราค้นหาความพอใจในตัวเองมากกว่าการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเย่อหยิ่งและการโอ้อวดของเต่าเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้หยิ่งยโส มันรู้สึกถ่อมตัวเมื่อเป็ดเตือนว่าประสบการณ์ของมันเกิดขึ้นได้เพราะความช่วยเหลือจากพวกเป็ดเท่านั้น เรื่องนี้สอนให้เรายังคงอ่อนน้อมถ่อมตนและรับรู้ถึงการมีส่วนร่วมของผู้อื่นในชีวิตของเรา
  • ชื่นชมความหลากหลาย สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวในเรื่องมีความสามารถและข้อจำกัดของตัวเอง เป็ดมีพรสวรรค์ในการบิน ในขณะที่เต่ามีจุดแข็งของมันเองเมื่ออยู่บนบก เรื่องราวกระตุ้นให้เราชื่นชมความหลากหลายในโลกและรับรู้ถึงความสวยงามของพรสวรรค์และทักษะที่แตกต่างกัน
  • คำนึงถึงผู้อื่น เป็ดใจดีพอที่จะเติมเต็มความฝันของเต่าแม้ว่ามันจะอิจฉาก็ตาม อย่างไรก็ตาม เมื่อเต่าเริ่มหยิ่งยโส พวกมันเตือนมันอย่างอ่อนโยนให้ถ่อมตัว สอนให้เราตระหนักว่าคำพูดและการกระทำของเราส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร และปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพและความเมตตา
  • การเข้าใจสถานที่ เรื่องราวเน้นความสำคัญของการเข้าใจสถานที่และข้อจำกัดของตนเอง เต่าเรียนรู้ว่าเขาไม่สามารถบินได้ด้วยตัวเอง และไม่ควรปล่อยให้ประสบการณ์การบินชั่วคราวนำไปสู่ความภาคภูมิใจ มันสอนให้เรารู้จักความสามารถของตัวเองและไม่ประเมินตัวเองสูงเกินไป

“Appreciate our own unique qualities and not to let temporary circumstances or assistance make us feel superior to others.”

  • Gratitude and contentment: The story reminds us to be grateful for who we are and what we have. The tortoise’s envy of the ducks led him to overlook the value of his own unique qualities. It teaches us to find contentment in ourselves rather than constantly comparing ourselves to others.
  • Humility: The tortoise’s arrogance and boasting serve as a warning against excessive pride. He was humbled by the ducks’ reminder that his experience was only possible because of their help. The story teaches us to remain humble and acknowledge the contributions of others in our lives.
  • Appreciating diversity: Each creature in the story had its own abilities and limitations. The ducks had the gift of flight, while the tortoise had his own strengths on land. The story encourages us to appreciate the diversity in the world and recognize the beauty of different talents and skills.
  • Being mindful of others: The ducks were kind enough to fulfill the tortoise’s dream, despite his envy. However, when the tortoise became arrogant, they gently reminded him to stay humble. It teaches us to be mindful of how our words and actions affect others and to treat them with respect and kindness.

Understanding one’s place: The story emphasizes the importance of understanding one’s place and limitations. The tortoise learned that he couldn’t fly on his own and should not let his temporary experience of flight lead to pride. It teaches us to recognize our own abilities and not overestimate ourselves.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความกตัญญู ความอ่อนน้อมถ่อมตน การเห็นคุณค่าของความหลากหลาย การคำนึงถึงผู้อื่น และเข้าใจสถานที่ของเราในโลก โดยน้อมรับคำสอนเหล่านี้ เราสามารถปลูกฝังความรู้สึกพึงพอใจ ฝึกฝนความอ่อนน้อมถ่อมตน และชื่นชมคุณสมบัติพิเศษและคุณูปการของทั้งตัวเราเองและผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “กระต่ายกับหูของมัน” ไทย-Eng

“กระต่ายกับหูของมัน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป จนเกิดความเย่อหยิ่งจองหอง จนลืมความตระหนักรู้ในตนเองไป จนลืมความอ่อนน้อมถ่อมตน

นิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับหูของมัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายที่ว่องไวและว่องไวตัวหนึ่งซึ่งภูมิใจในความสามารถพิเศษในการได้ยินของมัน มันโอ้อวดเกี่ยวกับหูที่ยาวและทรงพลังของมัน โดยอ้างว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของมันและทำให้มันเหนือกว่าสัตว์อื่นๆ ทั้งหมด

Once upon a time, there was a swift and agile hare who prided himself on his exceptional hearing. He boasted about his long and powerful ears, claiming that they were his greatest asset and made him superior to all other animals.

วันหนึ่ง ขณะที่กระต่ายกำลังวิ่งผ่านป่า มันได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาตามหลังมา ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัตว์นักล่า มันจึงรีบพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้และซ่อนตัว อย่างไรก็ตาม มันแปลกใจที่ไม่พบอันตรายใดๆ มันตระหนักเองว่าเป็นเพียงเสียงหูของมันเองที่กระพือกับหัวขณะที่มันวิ่ง

One day, as the hare was running through the forest, he heard a faint sound of footsteps behind him. Believing it to be a predator, he quickly darted into the bushes and hid. However, to his surprise, there was no danger to be found. He realized that it was merely the sound of his own ears flapping against his head as he ran.

มันรู้สึกเขินอายและโง่เขลา กระต่ายเข้าใจว่าหูของมันหลอกมันเอง และทัศนคติที่โอ้อวดของมันก็ไร้เหตุผล ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มันเรียนรู้ที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนและเห็นคุณค่าของปัญญาที่แท้จริงเหนือความจองหองที่ว่างเปล่า

Feeling embarrassed and foolish, the hare understood that his ears had deceived him and that his boastful attitude had been unwarranted. From that day forward, he learned to be humble and to appreciate the value of true wisdom over empty pride.

นิทานอีสปกระต่ายกับหูของมัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความอ่อนน้อมถ่อมตนและคุณค่าของคุณสมบัติที่แท้จริงเหนือการโอ้อวดที่ว่างเปล่า”

  • ความอ่อนน้อมถ่อมตน เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมั่นใจและความโอ้อวดของกระต่ายทำให้มันตั้งสมมติฐานผิด ๆ และทำให้มันลำบากใจ มันสอนให้เราอ่อนน้อมถ่อมตน โดยตระหนักว่าเราไม่มีคำตอบทั้งหมดหรือคุณสมบัติที่เหนือกว่า
  • การตระหนักรู้ในตนเอง ประสบการณ์ของกระต่ายสอนให้มันรู้ถึงความสำคัญของการตระหนักรู้ในตนเอง มันตระหนักว่าการรับรู้ของมันเองสามารถหลอกลวงเขาได้ในบางครั้ง และมันจำเป็นต้องระมัดระวังและแยกแยะมากขึ้น เรื่องราวกระตุ้นให้เราใคร่ครวญถึงอคติและสมมติฐานของเราเอง และตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะกระโดดไปสู่บทสรุป
  • อันตรายของความเย่อหยิ่ง ความเย่อหยิ่งและความซับซ้อนที่เหนือกว่าของกระต่ายทำให้มันประเมินความเปราะบางของตัวเองต่ำไป มันแสดงให้เห็นผลเสียของความเย่อหยิ่งและมันทำให้เรามองไม่เห็นข้อจำกัดของตัวเองได้อย่างไร นิทานเรื่องนี้สอนเราให้ยึดมั่นและตระหนักถึงจุดอ่อนของตัวเอง
  • ความเฉลียวฉลาดเหนือรูปลักษณ์ เดิมทีกระต่ายเชื่อว่าหูที่ยาวของมันทำให้มันเหนือกว่าตัวอื่นๆ อย่างไรก็ตาม มันได้เรียนรู้ว่าสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดที่แท้จริงมาจากภายใน ไม่ใช่จากลักษณะทางกายภาพ เน้นความสำคัญของการประเมินค่าคุณสมบัติภายในมากกว่าการพึ่งพารูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว
  • โอบรับความอ่อนน้อมถ่อมตนและการเติบโต ประสบการณ์ของกระต่ายเป็นตัวปลุกให้มันยอมรับความอ่อนน้อมถ่อมตนและการเติบโตส่วนบุคคล มันรับรู้ถึงความผิดพลาดของเขาและเรียนรู้จากมัน ซึ่งทำให้มันฉลาดขึ้นและถ่อมตัวมากขึ้น เรื่องราวกระตุ้นให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดของเราเองและน้อมรับกรอบความคิดของการเรียนรู้และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“Humility and the value of genuine qualities over empty boasts.”

  • Humility: The story highlights the importance of humility. The hare’s overconfidence and boastfulness led him to make false assumptions and caused him embarrassment. It teaches us to be humble, recognizing that we don’t possess all the answers or superior qualities.
  • Self-awareness: The hare’s experience taught him the importance of self-awareness. He realized that his own perceptions can sometimes deceive him, and he needed to be more cautious and discerning. The story encourages us to reflect on our own biases and assumptions and to question them before jumping to conclusions.
  • The dangers of arrogance: The hare’s arrogance and superiority complex led him to underestimate his own vulnerabilities. It shows the negative consequences of arrogance and how it can blind us to our own limitations. The story teaches us to remain grounded and aware of our own weaknesses.
  • Wisdom over appearance: The hare initially believed that his long ears made him superior to others. However, he learned that true wisdom and intelligence come from within, not from physical attributes. It emphasizes the importance of valuing inner qualities rather than relying solely on external appearances.
  • Embracing humility and growth: The hare’s experience served as a wake-up call for him to embrace humility and personal growth. He recognized his mistake and learned from it, which allowed him to become a wiser and more humble individual. The story encourages us to learn from our own mistakes and to embrace a mindset of continuous learning and growth.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตน การตระหนักรู้ในตนเอง และการให้คุณค่าแก่สติปัญญาเหนือความหยิ่งยะโส มันเตือนถึงอันตรายของความเย่อหยิ่งและกระตุ้นให้เรายอมรับการเติบโตส่วนบุคคลและเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา โดยประยุกต์ใช้คำสอนเหล่านี้ เราสามารถพัฒนาทัศนคติที่อ่อนน้อมถ่อมตนและฉลาดขึ้นเกี่ยวกับชีวิต

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ชายหนุ่มกับเทพารักษ์” ไทย-Eng

“ชายหนุ่มกับเทพารักษ์” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ และการโหยหากับสิ่งที่เราไม่ได้มี มันอาจอาจไม่ได้สวยงามเสมอ หรือเป็นที่ที่ของเราจริงๆ

นิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับเทพารักษ์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองตัดสินใจหลีกหนีเสียงอึกทึกและความวุ่นวายของชีวิตในเมืองและแสวงหาความสบายใจในธรรมชาติ เขาเข้าไปในป่าและได้พบกับเทพารักษ์ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานที่มีครึ่งคนครึ่งแพะ เทพารักษ์กำลังเสวยวิมุตติสุขในป่า

Once upon a time, a man who lived in the city decided to escape the noise and chaos of urban life and seek solace in nature. He ventured into the forest and came across a satyr, a mythical creature that was half-man and half-goat. The satyr was enjoying the peace and tranquility of the woods.

ชายคนนั้นเริ่มพูดคุยกับเทพารักษ์และแสดงความชื่นชมต่อชีวิตที่เรียบง่ายและไร้กังวลที่เทพารักษ์ดูเหมือนจะเป็นผู้นำ เขาบอกเทพารักษ์ว่าเขาปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากภาระและความรับผิดชอบของชีวิตในเมือง

The man struck up a conversation with the satyr and expressed his admiration for the simple and carefree life the satyr seemed to lead. He told the satyr how he longed to be free from the burdens and responsibilities of city life.

เทพารักษ์ฟังอย่างอดทนแล้วตอบว่า “เจ้าอาจคิดว่าชีวิตของข้าไร้กังวล แต่มันก็ไม่ได้ปราศจากความท้าทายของตัวเอง ข้าอาจท่องไปอย่างอิสระในป่า แต่ข้าก็ต้องระแวดระวังผู้ล่าและพยายามหาอาหารและที่พักพิงให้เพียงพออยู่เสมอ ชีวิตที่เจ้าแสวงหาอาจไม่งดงามอย่างที่เจ้าคิด”

The satyr listened patiently and then replied, “You may think my life is carefree, but it is not without its own challenges. I may roam freely in the forest, but I am constantly wary of predators and struggle to find enough food and shelter. The life you seek may not be as idyllic as you imagine.”

ชายผู้นั้นรู้แจ้งเห็นจริงในถ้อยคำของเทพารักษ์ เขาเข้าใจว่าทุกชีวิตไม่ว่าจะดูแตกต่างกันอย่างไร ก็มีความท้าทายและความยากลำบากในตัวเอง เขาเริ่มเห็นคุณค่าของชีวิตของตัวเองและโอกาสที่ชีวิตในเมืองมอบให้

The man realized the truth in the satyr’s words. He understood that every life, no matter how different it may seem, has its own challenges and difficulties. He came to appreciate the value of his own life and the opportunities that city living provided.

นิทานอีสปชายหนุ่มกับเทพารักษ์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงชื่นชมชีวิตที่เรามี เนื่องจากเรามักไม่เข้าใจความท้าทายที่ผู้อื่นเผชิญอยู่อย่างถ่องแท้”

  • หญ้าไม่ได้เขียวกว่าเสมอไปในอีกด้านหนึ่ง เรื่องราวเตือนเราว่าเราอาจจะโรแมนติกและปรารถนาสิ่งที่เรามองว่าเป็นชีวิตที่ง่ายขึ้นหรือน่าปรารถนามากขึ้น อย่างไรก็ตาม บทเรียนนี้สอนให้เราตระหนักว่าทุกสถานการณ์มีความท้าทายและข้อเสียในตัวมันเอง มันกระตุ้นให้เราชื่นชมและใช้ประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์ของเราเอง
  • มุมมองและความกตัญญู:การเผชิญหน้ากับเทพารักษ์ช่วยให้เขาได้รับมุมมองเกี่ยวกับชีวิตของเขาเอง เขาตระหนักดีว่าเขาควรจะขอบคุณสำหรับความสะดวกสบายของชีวิตในเมืองที่เขาอาจได้รับ เรื่องราวนี้กระตุ้นให้เราปลูกฝังความกตัญญูและเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีมากกว่าที่จะโหยหาสิ่งอื่นอยู่ตลอดเวลา
  • ความพึงพอใจและการยอมรับ โดยเน้นความสำคัญของการค้นหาความพึงพอใจและการยอมรับในสถานการณ์ปัจจุบันของเรา มันกระตุ้นให้เรามุ่งความสนใจไปที่การทำให้สถานการณ์ของเราดีที่สุดและค้นหาความสุขและความสมหวังในที่ที่เราอยู่แทนที่จะแสวงหาสิ่งที่แตกต่างออกไป
  • คุณค่าของประสบการณ์ การสนทนากับเทพารักษ์ช่วยให้เขาได้รับข้อมูลเชิงลึกและมุมมอง เน้นความสำคัญของการแสวงหาปัญญาและการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น เรื่องราวกระตุ้นให้เรามีส่วนร่วมในการสนทนาที่มีความหมาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเปิดมุมมองของเราให้กว้างขึ้น
  • โอบรับช่วงเวลาปัจจุบัน เรื่องราวเตือนใจให้เราโอบรับและสัมผัสกับช่วงเวลาปัจจุบันอย่างเต็มที่ สอนให้เรารู้จักชื่นชมความงามและเอกลักษณ์ของแต่ละช่วงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือในธรรมชาติ และค้นหาความสุขในปัจจุบัน แทนที่จะโหยหาสิ่งที่แตกต่างออกไป

“Appreciate the life we have, as we often don’t fully understand the challenges others face.”

  • The grass is not always greener on the other side: The story reminds us that we may romanticize and desire what we perceive as an easier or more desirable life. However, it teaches us to be mindful that every situation has its own challenges and drawbacks. It encourages us to appreciate and make the most of our own circumstances.
  • Perspective and gratitude: The man’s encounter with the satyr helps him gain perspective on his own life. He realizes that he should be grateful for the comforts and conveniences of city life that he may have taken for granted. The story encourages us to cultivate gratitude and appreciate what we have rather than constantly yearning for something else.
  • Contentment and acceptance: Highlights the importance of finding contentment and acceptance in our current situations. It encourages us to focus on making the best of our circumstances and finding happiness and fulfillment where we are rather than constantly seeking something different.
  • The value of experience: The man’s conversation with the satyr allows him to gain insight and perspective. It emphasizes the importance of seeking wisdom and learning from others’ experiences. The story encourages us to engage in meaningful conversations, exchange ideas, and broaden our perspectives.
  • Embracing the present moment: The story reminds us to embrace and fully experience the present moment. It teaches us to appreciate the beauty and uniqueness of each stage of life, whether it is in the city or in nature, and to find joy in the present rather than constantly longing for something different.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับอันตรายของการทำให้ชีวิตผู้อื่นเป็นอุดมคติและความสำคัญของการค้นหาความพึงพอใจและความกตัญญูในสถานการณ์ของเราเอง มันกระตุ้นให้เราโอบรับช่วงเวลาปัจจุบัน รับมุมมอง และแสวงหาปัญญาจากประสบการณ์ของผู้อื่น โดยการนำคำสอนเหล่านี้ไปใช้ เราสามารถปลูกฝังความรู้สึกพึงพอใจ ความสำนึกคุณ และความเติมเต็มในชีวิตได้มากขึ้น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “มดกับนกพิราบ” ไทย-Eng

“มดกับนกพิราบ” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความเมตตาต่อคนอื่น การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะไม่มีผลอะไร แต่มีผลอย่างยิ่งใหญ่ และสิ่งที่ได้จากความกตัญญูและการตอบแทน

นิทานอีสปเรื่องมดกับนกพิราบ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันที่อากาศร้อนจัด มดตัวหนึ่งออกหาน้ำอย่างสิ้นหวัง ขณะที่มันเดินไปใกล้ลำธาร มันก็เผลอลื่นตกลงไปในน้ำ มดพยายามดิ้นรนเพื่อลอยตัวและกำลังจะจมน้ำ

Once upon a time, on a scorching hot day, an ant was desperately searching for water. As it wandered near a stream, it accidentally slipped and fell into the water. The ant struggled to stay afloat and was on the verge of drowning.

นกพิราบผู้เห็นอกเห็นใจซึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ ๆ เห็นสภาพของมดก็รีบเด็ดใบไม้ นกพิราบปล่อยใบไม้ลงน้ำ มดสามารถปีนขึ้นไปบนใบไม้และลอยขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย ขอบคุณนกพิราบที่ช่วยชีวิตมัน มดแสดงความขอบคุณจากใจจริง

A compassionate dove, perched on a nearby branch, saw the ant’s plight and quickly plucked a leaf. The dove dropped the leaf into the water, and the ant managed to climb onto it and float safely to the shore. Grateful to the dove for saving its life, the ant expressed its heartfelt thanks.

ไม่นานนายพรานก็มาถึงป่าหมายจะจับนกพิราบ มดเห็นการเข้าใกล้ของนักล่า จึงตระหนักว่ามดสามารถตอบแทนน้ำใจที่แสดงต่อมันก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้นมดจึงรีบคลานไปที่ขาของนักล่าและกัดเขา นายพรานสะดุ้งด้วยความเจ็บปวดและทิ้งอาวุธของเขา ไล่นกพิราบออกไป

Not long after, a hunter arrived in the forest, aiming to capture the dove. The ant, witnessing the hunter’s approach, realized that it could repay the kindness shown to it earlier. So, the ant quickly crawled up the hunter’s leg and bit him. The hunter winced in pain and dropped his weapon, scaring away the dove.

บัดนี้นกพิราบปราศจากอันตรายแล้ว จึงบินไปยังกิ่งไม้ที่สูงกว่า มดตัวเล็กๆ แต่กล้าหาญ ได้ตอบแทนบุญคุณและช่วยชีวิตนกมันไว้

The dove, now free from danger, flew to a higher branch. The ant, with its tiny yet courageous act, had returned the favor and saved the dove’s life.

นิทานอีสปมดกับนกพิราบ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความมีน้ำใจไม่ว่าการกระทำจะเล็กน้อยเพียงใดก็สามารถสร้างสายโซ่แห่งความปรารถนาดีและกลับมาเป็นประโยชน์แก่เราอย่างไม่คาดคิดได้”

  • ความเมตตาก่อให้เกิดความกรุณา เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าการแสดงความเมตตาที่นกพิราบแสดงต่อมดได้รับการตอบแทนด้วยความขอบคุณ และต่อมา มดได้ช่วยชีวิตนกพิราบไว้ มันเตือนเราว่าความเมตตาสามารถสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ในเชิงบวก ส่งต่อความดีไปยังผู้อื่น
  • พลังของการเอาใจใส่ นกพิราบมีความเห็นอกเห็นใจต่อมดที่กำลังดิ้นรนนำไปสู่การช่วยเหลือ มันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในรองเท้าของผู้อื่นและเข้าใจความต้องการและอารมณ์ของพวกเขา
  • คุณค่าของท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ทั้งท่าทางของนกพิราบที่ช่วยมดด้วยใบไม้ และการช่วยเหลือของมดที่กัดนายพราน ดูเหมือนเป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ แต่มีผลอย่างมาก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้แต่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของความเมตตาหรือความกล้าหาญก็สามารถสร้างความแตกต่างได้
  • ความกตัญญูและการตอบแทน การที่มดแสดงความรู้สึกขอบคุณต่อนกพิราบและตอบแทนบุญคุณในภายหลัง แสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ของการขอบคุณและแสดงความขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่เราได้รับ
  • พันธมิตรที่ไม่คาดคิด เรื่องราวยังสอนให้เรารู้ว่าบางครั้งพันธมิตรหรือเพื่อนของเราอาจมาจากสถานที่ที่เราคาดไม่ถึง มดและนกพิราบเป็นสัตว์ต่างสายพันธุ์ แต่พวกเขาพบสายสัมพันธ์ผ่านความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

“Kindness, no matter how small the act, can create a chain of goodwill and return to benefit us in unexpected ways.”

  • Kindness begets kindness: The story illustrates how an act of kindness shown by the dove towards the ant was repaid with gratitude and, later, the ant’s reciprocation saved the dove. It reminds us that kindness can create a positive chain reaction, spreading goodness to others.
  • The power of empathy: The dove’s empathy towards the struggling ant led to the act of rescue. It shows the importance of putting ourselves in others’ shoes and understanding their needs and emotions.
  • The value of small gestures: Both the dove’s gesture of helping the ant with a leaf and the ant’s act of biting the hunter were seemingly small acts, but they had significant impacts. The story teaches us that even small acts of kindness or courage can make a difference.
  • Gratitude and repayment: The ant’s expression of gratitude to the dove and later repaying the favor demonstrate the virtue of being grateful and showing appreciation for the help we receive.
  • Unexpected allies: The story also teaches us that sometimes, our allies or friends may come from unexpected places. The ant and the dove belonged to different species, but they found a bond through mutual assistance.

โดยสรุปแล้วเป็นนิทานเหนือกาลเวลาที่เน้นความสำคัญของความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ส่งเสริมให้เรามีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นแม้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย เนื่องจากการกระทำของเราสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกและเสริมสร้างความรู้สึกเป็นเพื่อนกันได้ ด้วยการรวบรวมบทเรียนของเรื่องราวนี้ เราสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้อื่น และมีส่วนร่วมในชุมชนที่ห่วงใยและสนับสนุนกันมากขึ้น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “มารดากับหมาป่า” ไทย-Eng

“มารดากับหมาป่า” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงคุณค่าของความรักผู้เป็นแม่หรือมารดา การใช้ไหวพริบในการแก้ปัญหาเพื่อปกป้องคนที่เรารัก และการให้ความสำคัญกับคุณค่าเหนือทรัพย์สินทางวัตถุ

นิทานอีสปเรื่องมารดากับหมาป่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แม่คนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกเล็กๆ ในหมู่บ้านเล็กๆ ใกล้ป่าทึบ วันหนึ่งขณะที่แม่กำลังยุ่งกับงานบ้านอยู่นั้น เธอได้ยินเสียงดังข้างนอก ด้วยความสยดสยอง เธอเห็นหมาป่าหิวโหยเข้ามาใกล้บ้านของเธอ

Once upon a time, a mother lived with her young children in a small village near a dense forest. One day, as the mother was busy with her chores, she heard a noise outside. To her horror, she saw a hungry wolf approaching her house.

แม่คิดอย่างรวดเร็วจึงพาลูกๆ เข้าไปข้างในและล็อกประตู อย่างไรก็ตาม เธอตระหนักว่าเธอได้ทิ้งสิ่งสำคัญไว้ข้างนอก มันเป็นเหยือกนมที่เธอเพิ่งเก็บมาจากวัวของพวกเขา

Thinking quickly, the mother ushered her children inside and locked the door. However, she realized that she had left something important outside. It was a jug of milk she had just collected from their cow.

หมาป่ารู้สึกถึงโอกาสจึงเยาะเย้ยแม่และพูดว่า “ถ้าเจ้าต้องการช่วยน้ำนมของเจ้า เปิดประตูทิ้งไว้ให้ข้า มิฉะนั้น ข้าจะบุกเข้ามาและกินเจ้าทั้งหมด”

The wolf, sensing an opportunity, taunted the mother and said, “If you want to save your milk, open the door and leave it for me. Otherwise, I will break in and devour you all.”

แม่ต้องเลือกระหว่างการรักษาน้ำนมอันมีค่าของเธอกับการปกป้องลูก ๆ ของเธอ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ฉันไม่สามารถเอาเหยือกนมไปเสี่ยงชีวิตของลูกๆ ได้ ถ้าจำเป็นก็เอาไปเถอะ แต่จงไว้ชีวิตเราด้วย”

The mother was torn between saving her precious milk and protecting her children. She thought for a moment and then responded, “I cannot risk the lives of my children for a jug of milk. Take it if you must, but spare us.”

หมาป่ารู้สึกประหลาดใจกับความเสียสละของแม่ จึงตัดสินใจหยิบเหยือกนมและจากไปโดยไม่ทำร้ายเธอและลูกๆ ของเธอ การเสียสละของแม่ช่วยครอบครัวของเธอให้พ้นจากอันตราย

The wolf, surprised by the mother’s selflessness, decided to take the jug of milk and leave without harming her and her children. The mother’s sacrifice saved her family from danger.

นิทานอีสปมารดากับหมาป่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การเสียสละและความเต็มใจที่จะสละทรัพย์สมบัติของตนเองเพื่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เป็นที่รัก”

  • การเสียสละเพื่อคนที่รัก เรื่องราวเน้นให้เห็นถึงการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวของแม่ที่เสียสละสิ่งของที่เธอมีอยู่ เหยือกเก็บน้ำนม เพื่อปกป้องลูกๆ ของเธอ บทเรียนสอนเราถึงความสำคัญของการให้ความเป็นอยู่ที่ดีและความปลอดภัยของคนที่เรารักอยู่เหนือความปรารถนาและการครอบครองของเราเอง
  • การให้ความสำคัญกับคุณค่าเหนือทรัพย์สินทางวัตถุ แม่ตระหนักดีว่าชีวิตของลูกๆ ของเธอมีค่ามากกว่านมหนึ่งเหยือก เธอแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และคุณธรรมของมนุษย์ เช่น ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ และการปกป้อง มากกว่าทรัพย์สินทางวัตถุ
  • การตัดสินใจที่ยากลำบาก แม่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่เธอเลือกสิ่งที่ถูกต้องทางศีลธรรมและให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์มากกว่าผลประโยชน์ทางวัตถุ เรื่องราวกระตุ้นให้เราตัดสินใจเลือกอย่างยากลำบากตามหลักการของเรา และพิจารณาผลกระทบในวงกว้างจากการตัดสินใจของเรา
  • ความกล้าหาญและการคิดอย่างรวดเร็ว การคิดอย่างรวดเร็วและความกล้าหาญของแม่ในการปกป้องลูกๆ ของเธอแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความกล้าหาญและไหวพริบในสถานการณ์ที่ท้าทาย เป็นแรงบันดาลใจให้เราสงบสติอารมณ์ คิดตามและดำเนินการอย่างเด็ดขาดเมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก
  • ความไม่เห็นแก่ตัวและการเห็นอกเห็นใจ การกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวของแม่แสดงถึงการเอาใจใส่และห่วงใยในความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่น สอนเราถึงคุณค่าของการคำนึงถึงความต้องการและความปลอดภัยของผู้อื่น แม้ต้องเผชิญกับการเสียสละส่วนตัว

“Selflessness and the willingness to sacrifice one’s possessions for the safety and well-being of loved ones.”

  • Sacrifice for loved ones: The story highlights the mother’s selfless act of sacrificing her material possession, the jug of milk, to protect her children. It teaches us the importance of putting the well-being and safety of our loved ones above our own desires and possessions.
  • Prioritizing values over material possessions: The mother recognizes that the lives of her children are far more valuable than a jug of milk. She demonstrates the importance of prioritizing human relationships and virtues, such as love, compassion, and protection, over material possessions.
  • Making difficult choices: The mother is faced with a difficult decision, but she chooses what is morally right and values human life over material gain. The story encourages us to make tough choices guided by our principles and to consider the broader impact of our decisions.
  • Courage and quick thinking: The mother’s quick thinking and bravery in protecting her children demonstrate the importance of courage and resourcefulness in challenging situations. It inspires us to stay calm, think on our feet, and act decisively when faced with adversity.
  • Selflessness and empathy: The mother’s act of selflessness shows empathy and concern for others’ well-being. It teaches us the value of considering the needs and safety of others, even in the face of personal sacrifice.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความไม่เห็นแก่ตัว การเสียสละ การจัดลำดับความสำคัญของคุณค่าเหนือทรัพย์สิน การเลือกที่ยากลำบาก และการแสดงความเห็นอกเห็นใจและความกล้าหาญ มันเตือนเราถึงความสำคัญของการเลี้ยงดูและปกป้องคนที่เรารัก และการตัดสินใจที่สอดคล้องกับค่านิยมของเรา โดยน้อมรับคำสอนเหล่านี้ เราสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น สร้างอุปนิสัย และสร้างโลกที่เอื้ออาทรและเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “นกอินทรีกับด้วง” ไทย-Eng

“นกอินทรีกับด้วง” เป็นนิทานอีสปที่สอนเรารู้จักคุณค่าของสิ่งมีชีวิต แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุด ก็มีประโยชน์ต่อโลก และสอนให้รู้จักคุณค่าของระบบนิเวศของธรรมชาติ

นิทานอีสปเรื่องนกอินทรีกับด้วง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นกอินทรีผู้สง่างามตัวหนึ่งบินขึ้นสูงบนท้องฟ้า สนุกสนานกับอิสระและพละกำลังของมัน ขณะที่มันบิน มันเห็นด้วงตัวเล็กๆ คลานอยู่บนพื้น นกอินทรีบินโฉบลงมาจับด้วงด้วยกรงเล็บอันทรงพลังของมัน ตั้งใจจะทำให้มันเป็นอาหาร

Once upon a time, a majestic Eagle soared high in the sky, reveling in its freedom and strength. As it flew, it spotted a tiny Beetle crawling on the ground. The Eagle swooped down and grabbed the Beetle with its mighty talons, intending to make it a meal.

บีเทิลที่หวาดกลัวร้องอ้อนวอน “โอ้ อินทรีผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้าตัวเล็กและไร้ค่า คุณจะมีความสุขอะไรจากการเขมือบฉัน” นกอินทรีรู้สึกขบขันกับคำพูดของแมลงปีกแข็ง จึงตัดสินใจที่จะทดสอบการตัดสินใจของมัน

The terrified Beetle pleaded, “Oh mighty Eagle, please spare my life! I am small and insignificant. What pleasure could you possibly derive from devouring me?” The Eagle, amused by the Beetle’s words, decided to test its resolve.

นกอินทรีปล่อยด้วงออกจากเงื้อมมือของมัน แล้วท้าทายว่า “ถ้าเจ้าสามารถโน้มน้าวใจข้าถึงเหตุผลที่ดีว่าทำไมข้าถึงควรไว้ชีวิตเจ้า ข้าจะปล่อยคุณไป” แมลงด้วงฉวยโอกาสตอบอย่างรวดเร็วว่า “โอ้ นกอินทรีผู้ฉลาด แม้ว่าข้าจะตัวเล็ก แต่ข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่แห่งชีวิตที่สลับซับซ้อน ข้ามีส่วนสร้างสมดุลของธรรมชาติด้วยการทำความสะอาดสสารที่เน่าเปื่อยและช่วยในการย่อยสลายโดย ไว้ชีวิตข้า เจ้าจะรักษาความสามัคคีที่ละเอียดอ่อนของระบบนิเวศได้”

Releasing the Beetle from its grasp, the Eagle challenged, “If you can convince me of a good reason why I should spare you, I will let you go.” The Beetle, seizing the opportunity, quickly replied, “Oh wise Eagle, even though I may be small, I am part of the intricate web of life. I contribute to the balance of nature by cleaning up decaying matter and aiding in decomposition. By sparing me, you preserve the delicate harmony of the ecosystem.”

นกอินทรีรู้สึกประทับใจกับการตอบสนองของด้วง มันตระหนักถึงความสำคัญของทุกบทบาทของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ไม่ว่าจะดูเล็กน้อยเพียงใด ด้วยการผงกศีรษะ นกอินทรีจึงปล่อยด้วงออกมา โดยรับรู้ถึงคุณค่าและคุณูปการต่อระบบนิเวศ

The Eagle was impressed by the Beetle’s response. It recognized the importance of every creature’s role in nature, no matter how seemingly insignificant. With a nod, the Eagle released the Beetle, acknowledging its value and contribution to the ecosystem.

นิทานอีสปนกอินทรีกับด้วง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและบทบาทของพวกมันในความสมดุลอันละเอียดอ่อนของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีส่วนในการรักษาระบบนิเวศ”

  • คุณค่าและความสำคัญของทุกสิ่งมีชีวิต เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงขนาดหรือรูปร่างหน้าตา บทเรียนนี้สอนเราว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีบทบาทในระบบนิเวศและมีส่วนสร้างสมดุลของธรรมชาติโดยรวม
  • การสนับสนุนและเห็นคุณค่าในตนเอง ความสามารถของด้วง ในการสนับสนุนตนเองและแสดงคุณค่าของตนเองอย่างชัดเจน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตระหนักและยืนยันคุณค่าของตนเอง กระตุ้นให้เราพูดแทนตนเองและผู้อื่น โดยเน้นย้ำถึงคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์และผลงานที่เราทุกคนมี
  • เคารพในความสมดุลของธรรมชาติ เรื่องราวเน้นความสมดุลที่ละเอียดอ่อนของธรรมชาติและความเชื่อมโยงกันของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด มันเตือนให้เราเคารพและรักษาความสมดุลนี้โดยตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดและบทบาททางนิเวศของพวกมัน
  • การเห็นคุณค่าของความหลากหลาย การตัดสินใจของนกอินทรีที่จะไว้ชีวิตด้วง แสดงให้เห็นถึงความซาบซึ้งในความหลากหลายและการตระหนักว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีที่อยู่ในโลกธรรมชาติ มันสอนให้เรายอมรับและเฉลิมฉลองความหลากหลายของชีวิตและส่งเสริมความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวและความปรองดอง

“Recognizing the value of all creatures and their roles in the delicate balance of nature. Every living being plays a part in maintaining the ecosystem.”

  • Value and significance of every being: The story emphasizes the importance of recognizing the value and significance of every creature, regardless of its size or appearance. It teaches us that every being has a role to play in the ecosystem and contributes to the overall balance of nature.
  • Advocacy and self-worth: The Beetle’s ability to advocate for itself and articulate its value showcases the importance of recognizing and asserting our own worth. It encourages us to speak up for ourselves and others, highlighting the unique qualities and contributions we all possess.
  • Respect for nature’s balance: The story highlights the delicate balance of nature and the interconnectedness of all living beings. It reminds us to respect and preserve this balance by recognizing the importance of even the smallest creatures and their ecological roles.
  • Appreciation of diversity: The Eagle’s decision to spare the Beetle demonstrates the appreciation of diversity and the recognition that every living being has a place in the natural world. It teaches us to embrace and celebrate the diversity of life and to foster a sense of unity and harmony.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เราเห็นคุณค่าความสำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด สนับสนุนตนเองและผู้อื่น เคารพความสมดุลของธรรมชาติ และชื่นชมความหลากหลายของชีวิต ด้วยการรวบรวมคำสอนเหล่านี้ เราสามารถปลูกฝังความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเรากับโลกธรรมชาติ และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และความกลมกลืน

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “มิตรภาพของกบกับหนู” ไทย-Eng

“มิตรภาพของกบกับหนู” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงคุณค่าของมิตรภาพ การให้ความเชื่อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน การไว้วางใจในเพื่อน และการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด

นิทานอีสปเรื่องมิตรภาพของกบกับหนู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กบตัวหนึ่งอาศัยอยู่ริมสระน้ำ ส่วนหนูอาศัยอยู่ในโพรงอันอบอุ่นใกล้ๆ กบชื่นชอบการคบค้ากับหนู จึงมักเชิญหนูไปเยี่ยมและแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ พวกเขาสนุกกับการอยู่ร่วมกันและสร้างมิตรภาพขึ้นจากประสบการณ์ที่มีร่วมกัน

Once upon a time, a Frog lived by the edge of a pond, while a Mouse resided in a cozy burrow nearby. The Frog, being fond of the Mouse’s company, often invited the Mouse to visit and share stories. They enjoyed each other’s company and formed a friendship based on their shared experiences.

วันหนึ่ง หนูแนะนำให้พวกเขาสำรวจทุ่งหญ้าที่อยู่นอกสระน้ำ เจ้ากบรู้สึกตื่นเต้นกับความคิดนี้ จึงตกลงที่จะไปกับเจ้าหนู พวกเขากระโดดโลดเต้นไปทั่วทุ่งหญ้า หัวเราะและสนุกสนานกับการผจญภัยของพวกเขา

One day, the Mouse suggested that they explore a meadow beyond the pond. The Frog, excited about the idea, agreed to accompany the Mouse. They hopped and scurried through the meadow, laughing and enjoying their adventure.

ขณะที่พวกเขาเดินทางต่อไป พวกเขาก็พบกับหลุมลึก หนูตัวเล็กและระมัดระวัง ลังเลที่จะไปต่อ อย่างไรก็ตาม กบซึ่งมั่นใจในความสามารถของมันมากเกินไปจึงประกาศว่า “อย่ากังวล เจ้าหนู ข้าสามารถกระโดดข้ามหลุมนี้ได้อย่างง่ายดาย ดูและเรียนรู้!”

As they continued their journey, they came across a deep hole. The Mouse, being small and cautious, hesitated to go any further. However, the Frog, overconfident in its abilities, declared, “Don’t worry, Mouse. I can easily leap over this hole. Watch and learn!”

กบกระโดดครั้งใหญ่ แต่ด้วยความตกใจ มันกระโดดสั้นและตกลงไปในหลุมทันที หนูตกใจกับสถานการณ์ของเพื่อน จึงพยายามหาทางช่วย น่าเสียดายที่หลุมนั้นลึกเกินกว่าที่หนูจะไปถึงตัวกบได้

The Frog took a big leap, but to its dismay, it fell short and landed right into the hole. The Mouse, alarmed by its friend’s predicament, tried to find a way to help. Unfortunately, the hole was too deep for the Mouse to reach the Frog.

เมื่อตระหนักถึงความผิดพลาดของมัน กบจึงอ้อนวอน “หนู ข้าขอโทษสำหรับความโง่เขลาของข้า โปรดหาใครที่สามารถช่วยข้าจากหลุมนี้ได้ที” หนูรีบหนีไปเพื่อขอความช่วยเหลือและในที่สุดก็พบกระต่ายใจดีที่ดึงกบออกจากหลุม

Realizing its mistake, the Frog pleaded, “Mouse, I apologize for my foolishness. Please find someone who can rescue me from this hole.” The Mouse scurried away to seek help and eventually found a kind-hearted rabbit who pulled the Frog out of the hole.

ขอบคุณความช่วยเหลือของกระต่าย กบได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญ มันตระหนักถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนและยอมรับข้อจำกัดของมัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา กบและหนูยังคงเป็นเพื่อนกันต่อไป แต่กบก็คำนึงถึงความสามารถของตัวเองและระมัดระวังในการกระทำของตัวเองเสมอ

Grateful for the Rabbit’s assistance, the Frog learned an important lesson. It realized the importance of humility and acknowledging its limitations. From that day on, the Frog and the Mouse continued their friendship, but the Frog was always mindful of its own capabilities and cautious in its actions.

นิทานอีสปมิตรภาพของกบกับหนู

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความอ่อนน้อมถ่อมตนและการตระหนักรู้ในตนเองเป็นคุณสมบัติสำคัญในการรักษามิตรภาพและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น การตระหนักถึงข้อจำกัดของคุณเป็นสัญญาณของสติปัญญา”

  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนและการตระหนักรู้ในตนเอง เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนและการตระหนักถึงข้อจำกัดของตนเอง ความมั่นใจมากเกินไปของกบนำไปสู่ความพินาศ สอนให้เรารู้จักคุณค่าของการตระหนักถึงความสามารถของตนเองและไม่ประเมินตนเองสูงเกินไป
  • มิตรภาพและการสนับสนุน เรื่องราวเน้นพลังของมิตรภาพและความเต็มใจที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความห่วงใยของหนูที่มีต่อความเป็นอยู่ที่ดีของกบและความพยายามของมันในการขอความช่วยเหลือ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสนับสนุนและอยู่เคียงข้างเพื่อนของเราในยามที่ต้องการ
  • การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด การตกลงไปในหลุมของกบทำหน้าที่เป็นบทเรียนในการเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา มันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการไตร่ตรองการกระทำของเรา ยอมรับข้อผิดพลาดของเรา และเติบโตจากข้อผิดพลาดนั้น ความผิดพลาดอาจเป็นโอกาสอันมีค่าสำหรับการเติบโตส่วนบุคคล
  • การไว้วางใจผู้อื่น กบยอมรับความผิดพลาดและการขอความช่วยเหลือบ่งชี้ถึงความสำคัญของการไว้วางใจผู้อื่นและขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น มันสอนเราว่าการพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้อื่นเป็นเรื่องปกติและการขอความช่วยเหลือไม่ได้ลดทอนคุณค่าของเรา

“Humility and self-awareness are essential qualities to maintain friendships and avoid unnecessary risks. Recognizing your limitations is a sign of wisdom.”

  • Humility and self-awareness: The story emphasizes the importance of humility and recognizing one’s limitations. The Frog’s overconfidence led to its downfall, teaching us the value of being aware of our own abilities and not overestimating ourselves.
  • Friendship and support: The story highlights the power of friendship and the willingness to help one another. The Mouse’s concern for the Frog’s well-being and its effort to find help demonstrate the importance of supporting and being there for our friends in times of need.
  • Learning from mistakes: The Frog’s fall into the hole serves as a lesson in learning from our mistakes. It shows the significance of reflecting on our actions, acknowledging our errors, and growing from them. Mistakes can be valuable opportunities for personal growth.
  • Trusting others: The Frog’s admission of its mistake and its request for help indicate the importance of trusting others and seeking assistance when needed. It teaches us that it’s okay to rely on the support of others and that seeking help doesn’t diminish our worth.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตน มิตรภาพ การเรียนรู้จากความผิดพลาด และการไว้วางใจผู้อื่น โดยน้อมรับคำสอนเหล่านี้ เราสามารถพัฒนาความรู้สึกของการตระหนักรู้ในตนเอง ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่มีความหมาย เติบโตจากประสบการณ์ของเรา และสร้างชุมชนที่สนับสนุนรอบตัวเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children