เล่าจื๊อเป็นนักปรัชญาและนักเขียนชาวจีน “ปรมาจารย์” ท่านนี้มีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมจีนมานับพันปี เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เขียนเต๋าเต๋อจิง ซึ่งเป็นข้อความจีนโบราณที่อธิบายว่าเต๋า เป็นแหล่งที่มาของการดำรงอยู่ทั้งหมด ที่นี่เราได้รวบรวมข้อคิดคำคมจากเล่าจื๊อ เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนักปราชญ์คนนี้และคำสอนของเขา
สารบัญเนื้อหา
Toggleการศึกษาที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์พบว่าการอ่านเต๋าเต๋อจิงของเล่าจื๊อนั้น สามารถนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมที่อ่านข้อความเป็นเวลาหกสัปดาห์รายงานว่ามีความสุขในระดับที่มากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
แม้ว่าจะไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับชีวิตของเขา แต่คำสอนของเขา ได้รับการสืบทอดมาหลายศตวรรษและมีอิทธิพลต่อผู้คนมากมายโดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรม
ภูมิปัญญาเหนือกาลเวลาของเขา สามารถสอนเรามากมายเกี่ยวกับชีวิตและเพิ่มพลังทุกวันของเรา
ในเรื่องนี้ ด้านล่างนี้คือคำพูดที่น่าทึ่งของเขา เพื่อปลูกฝังภูมิปัญญาที่ไร้กาลเวลาของเขาและสร้างแรงบันดาลใจให้คุณเป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
“การได้รับความรักอย่างสุดซึ้งจากใครสักคนทำให้คุณมีพลัง ในขณะที่การรักใครสักคนอย่างสุดซึ้งทำให้คุณมีความกล้าหาญ”
ส่วนแรกของคำพูดที่ว่า “การได้รับความรักอย่างสุดซึ้งจากใครบางคนทำให้คุณมีความเข้มแข็ง” แสดงให้เห็นว่าความรักและการสนับสนุนจากคนที่รักคุณอย่างสุดซึ้งสามารถให้ความแข็งแกร่งทางอารมณ์และจิตใจแก่คุณได้ เมื่อคุณรู้สึกรักและชื่นชม คุณจะรู้สึกถึงความปลอดภัยและความมั่นใจที่สามารถช่วยให้คุณเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคในชีวิตได้ ความแข็งแกร่งประเภทนี้มาจากความรู้ว่าคุณมีใครสักคนที่ห่วงใยคุณและจะยืนเคียงข้างคุณไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ส่วนที่สองของคำคม “การรักใครสักคนอย่างลึกซึ้งทำให้คุณกล้าหาญ” เน้นว่าความรักต้องการความกล้าหาญและความเปราะบาง เมื่อคุณรักใครสักคนอย่างสุดซึ้ง คุณจะเปิดโอกาสให้ตัวเองถูกปฏิเสธ เจ็บปวด และความผิดหวัง คุณต้องกล้าที่จะแสดงความรู้สึกของคุณและเต็มใจที่จะเสี่ยง ความกล้าหาญประเภทนี้มาจากความรู้ว่าคุณมีบางสิ่งที่สำคัญที่จะได้รับจากความสัมพันธ์ และรู้ว่าผลตอบแทนของความรักนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
โดยรวมแล้วคำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าความรักเป็นพลังอันทรงพลังที่สามารถให้ความแข็งแกร่งและความกล้าหาญแก่เราในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าเราจะถูกรักหรือรักคนอื่นอย่างสุดซึ้ง ความรักสามารถช่วยให้เราเอาชนะความท้าทายและเผชิญโลกด้วยความมั่นใจและความยืดหยุ่นที่มากขึ้น
“ความเรียบง่าย ความอดทน ความเห็นอกเห็นใจ สามสิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของคุณ เรียบง่ายในการกระทำและความคิด คุณกลับไปสู่แหล่งที่มาของการเป็นอยู่ จงอดทนต่อทั้งมิตรและศัตรู มีเมตตาต่อตนเอง ประนีประนอมกับสัตว์โลก”
คุณธรรมข้อแรก ความเรียบง่าย คือการใช้ชีวิตที่ปราศจากความยุ่งเหยิงและสิ่งรบกวนที่ไม่จำเป็น โดยการมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่จำเป็นและตัดส่วนที่เกินออก เราจะพบความรู้สึกสงบและความชัดเจนจากภายใน สิ่งนี้สามารถเกี่ยวข้องกับการทำให้สภาพแวดล้อมทางกายภาพของเราง่ายขึ้น เช่นเดียวกับความคิดและการกระทำของเรา เราสามารถเชื่อมต่อกับตัวตนที่แท้จริงของเราและมีชีวิตที่แท้จริงมากขึ้น
คุณธรรมประการที่สอง ความอดทน กระตุ้นให้เรายอมรับสิ่งต่างๆ ตามที่เป็น และวางใจในกระแสธรรมชาติของชีวิต นี่หมายถึงการอดทนต่อตนเองและผู้อื่นแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยการปลูกฝังความรู้สึกสงบและการยอมรับ เราสามารถหลีกเลี่ยงความเครียดและความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น และพบความปรองดองและความสมดุลในความสัมพันธ์ของเราและในโลกรอบตัวเราแทน
คุณธรรมประการที่สาม ความเห็นอกเห็นใจ เกี่ยวข้องกับการแสดงความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจต่อตนเองและผู้อื่น โดยการตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ที่มีร่วมกันและความเชื่อมโยงระหว่างกันของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เราสามารถปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจที่อยู่เหนือความแตกต่างและส่งเสริมสันติภาพ เราสามารถสร้างสังคมที่ปรองดองและมีความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้สนับสนุนให้เราใช้ชีวิตที่เรียบง่าย อดทน และมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งมีพื้นฐานมาจากตัวตนที่แท้จริงของเราและสอดคล้องกับโลกรอบตัวเรา โดยการรวบรวมคุณธรรมเหล่านี้ เราสามารถพบกับการบรรลุผลสำเร็จและจุดประสงค์ที่มากขึ้น และช่วยให้โลกมีความสงบสุขและยุติธรรมมากขึ้น
“การเดินทางนับพันไมล์เริ่มต้นด้วยก้าวเล็กๆ เพียงก้าวเดียว”
การเดินทางเป็นระยะทางกว่าพันไมล์ถือเป็นงานที่สำคัญและน่าหวาดหวั่น ซึ่งอาจดูหนักหนาสาหัสและเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุ อย่างไรก็ตามทุกการเดินทางไม่ว่าจะยาวหรือยากเพียงใดเริ่มต้นด้วยก้าวเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก้าวแรกมักจะยากที่สุดเสมอ แต่ก็เป็นก้าวที่สำคัญที่สุดเช่นกัน เพราะมันจะพาเราไปสู่เป้าหมาย
คำพูดนี้มักใช้เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนลงมือทำและไล่ตามความฝันไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม มันเตือนเราว่าแม้เป้าหมายที่ทะเยอทะยานที่สุดก็สามารถบรรลุผลได้หากเราก้าวไปทีละก้าว และทุกๆ การกระทำของเราไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด จะทำให้เราเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้น
โดยพื้นฐานแล้ว คำพูดนี้เกี่ยวกับพลังของการเริ่มต้นเล็กๆ และการมุ่งเน้นไปที่ช่วงเวลาปัจจุบัน แทนที่จะจมอยู่กับความยิ่งใหญ่ของงาน เราควรจดจ่อกับก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดหมาย การแบ่งเป้าหมายที่ใหญ่กว่าออกเป็นงานที่เล็กลงและสามารถจัดการได้มากขึ้น เราสามารถดำเนินการและสร้างโมเมนตัม ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในท้ายที่สุดของการเดินทาง
“การรู้จักผู้อื่นคือความเฉลียวฉลาด การรู้จักตัวเองคือปัญญาที่แท้จริง การควบคุมผู้อื่นคือความแข็งแกร่ง การควบคุมตัวเองคือพลังที่แท้จริง”
ส่วนแรกของคำพูด “การรู้จักผู้อื่นคือความเฉลียวฉลาด การรู้จักตัวเองคือปัญญาที่แท้จริง” เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตระหนักรู้ในตนเอง มันแสดงให้เห็นว่าการมีความรู้เกี่ยวกับผู้คนรอบตัวเราเป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัญญาที่แท้จริงมาจากการเข้าใจความคิด อารมณ์ และแรงจูงใจของเราเอง เมื่อเราเข้าใจตนเองแล้ว เราก็พร้อมมากขึ้นในการตัดสินใจที่สอดคล้องกับค่านิยมและเป้าหมายของเรา และรับมือกับความซับซ้อนของชีวิต
ส่วนที่สองของคำพูดที่ว่า “การควบคุมผู้อื่นคือความแข็งแกร่ง การควบคุมตนเองคือพลังที่แท้จริง” เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเติบโตส่วนบุคคลและการมีวินัยในตนเอง มันบ่งบอกว่าสิ่งสำคัญคือต้องมีพลังที่จะโน้มน้าวผู้อื่นและบรรลุเป้าหมายภายนอก แต่พลังที่แท้จริงมาจากการควบคุมความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของเราเอง เมื่อเราสามารถควบคุมแรงกระตุ้นและปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเองได้ เราจะสามารถผ่านสถานการณ์ที่ท้าทายได้ดีขึ้นและตัดสินใจเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวของเรา
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตส่วนบุคคลและการตระหนักรู้ในตนเองเป็นองค์ประกอบสำคัญของปัญญาและพลัง การเข้าใจตนเองและพยายามเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด เราสามารถบรรลุความสำเร็จและความสมหวังในชีวิตอย่างแท้จริง
“ชีวิตคือชุดของการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติและเกิดขึ้นเอง อย่าต่อต้านมัน ที่การต่อต้านสร้างแต่ความทุกข์ระทม ให้ความจริงเป็นความจริง ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ไหลไปข้างหน้าตามในสิ่งธรรมชาติชอบ”
ชีวิตเต็มไปด้วยการพลิกผันที่คาดไม่ถึง และบ่อยครั้งเราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่เข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม เราสามารถควบคุมวิธีตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นได้ คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าแทนที่จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เราควรยอมรับและปล่อยให้มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ส่วนแรกของคำพูดที่ว่า “ชีวิตคือชุดของการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติและเกิดขึ้นเอง อย่าต่อต้านมัน นั่นมีแต่สร้างความเศร้าโศก” ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยธรรมชาติ เมื่อเราต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เราสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองโดยไม่จำเป็น เราควรพยายามยอมรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับมันให้ดีที่สุด
ส่วนที่สองของคำพูดที่ว่า “ปล่อยให้ความเป็นจริงเป็นจริง ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ไหลไปข้างหน้าตามธรรมชาติในแบบที่พวกเขาต้องการ” กระตุ้นให้เราปล่อยวางความต้องการในการควบคุมและปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปในแบบของมันเอง มันชี้ให้เห็นว่าเราควรยอมรับช่วงเวลาปัจจุบันและเปิดรับทุกสิ่งในอนาคต
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้พูดถึงแนวคิดเรื่องการมีสติและการอยู่กับปัจจุบัน การยอมรับการเปลี่ยนแปลงและดำเนินไปตามกระแสแห่งชีวิต เราจะพบความสงบสุขและความพึงพอใจมากขึ้น แม้จะเผชิญความทุกข์ยากก็ตาม สิ่งนี้เตือนเราว่าบางครั้งวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับความท้าทายในชีวิตคือการปล่อยวางความจำเป็นในการควบคุมและวางใจในระเบียบธรรมชาติของสิ่งต่างๆ
“นักเดินทางที่ดีไม่มีแผนตายตัว และไม่ตั้งใจที่จะไปถึง”
ส่วนแรกของคำกล่าวที่ว่า “นักเดินทางที่ดีไม่มีแผนตายตัว” แนะนำว่าวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงการเดินทาง (และอาจรวมถึงชีวิตโดยทั่วไป) คือการเปิดใจและทัศนคติที่ยืดหยุ่น เมื่อเรามีแผนตายตัว เราอาจยึดติดกับความคาดหวังมากเกินไปและพลาดโอกาสและประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เข้ามาหาเรา
ส่วนที่สองของคำพูด “และไม่ได้ตั้งใจที่จะมาถึง” ชี้ให้เห็นว่าจุดหมายปลายทางไม่ใช่ส่วนสำคัญเพียงส่วนเดียวของการเดินทาง เมื่อเรามุ่งไปให้ถึงจุดหมายมากเกินไป เราอาจมองข้ามความสวยงามและความสมบูรณ์ของการเดินทาง โอบรับการเดินทางและอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ในแต่ละช่วงเวลา เราสามารถดื่มด่ำกับประสบการณ์และชื่นชมสิ่งมหัศจรรย์เล็กๆ น้อยๆ ที่เราพบเจอระหว่างทาง
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เราเข้าใกล้ชีวิตด้วยความรู้สึกเปิดกว้างและยืดหยุ่น มันเตือนให้เราละทิ้งความจำเป็นในการควบคุมและอยู่กับปัจจุบัน เพื่อให้การเดินทางดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ การทำเช่นนี้ทำให้เราสามารถสัมผัสชีวิตได้อย่างเต็มที่มากขึ้นและพบความสุขในสิ่งพลิกผันที่คาดไม่ถึงที่เข้ามาหาเรา
“ผู้รู้ไม่พูด ส่วนผู้ที่พูดนั้นไม่รู้เรื่อง”
ส่วนแรกของคำพูด “ผู้รู้ไม่พูด” ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ฉลาดอย่างแท้จริงไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องโอ้อวดหรือโอ้อวดความรู้ของตน พวกเขาพอใจที่จะสังเกตและซึมซับโลกรอบตัว โดยไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องยืนยันตนเองหรือความคิดเห็นของตนตลอดเวลา
ส่วนที่สองของคำพูด “ผู้พูดไม่รู้” ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่พูดอย่างรวดเร็วและแสดงความคิดเห็นอาจไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งหรือสติปัญญาอย่างแท้จริง พวกเขาอาจกังวลกับการปรากฏตัวที่มีความรู้หรือโน้มน้าวใจผู้อื่นในมุมมองของพวกเขา มากกว่าที่จะพยายามทำความเข้าใจโลกรอบตัวพวกเขาจริงๆ
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เราเข้าใกล้ชีวิตด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและเปิดใจ มันเตือนเราว่าปัญญาที่แท้จริงมักพบในความเงียบและการใคร่ครวญมากกว่าการกล้าแสดงออกหรือการแสดงความรู้ภายนอก การยอมรับจิตวิญญาณของความอยากรู้อยากเห็นและการเปิดกว้าง เราสามารถปลูกฝังความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับโลกรอบตัวเรา และกลายเป็นบุคคลที่ฉลาดขึ้นและมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
“เมื่อคุณพอใจที่จะเป็นตัวของตัวเองและไม่เปรียบเทียบหรือแข่งขัน ทุกคนจะเคารพคุณ”
ส่วนแรกของคำคม “เมื่อคุณพอใจที่จะเป็นตัวเอง” แนะนำว่าความพอใจที่แท้จริงมาจากการยอมรับว่าตัวเองเป็นอย่างที่เราเป็น โดยไม่ต้องพยายามเป็นคนอื่นหรือเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น เมื่อเราสามารถรู้สึกสบายใจในผิวของตัวเองและยอมรับคุณสมบัติและจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา เราจะพบความสงบสุขและความเติมเต็มในชีวิตมากขึ้น
ส่วนที่สองของคำพูดที่ว่า “อย่าเปรียบเทียบหรือแข่งขันกัน ทุกคนจะเคารพคุณ” แนะนำว่าเมื่อเราหลีกเลี่ยงกับดักของการเปรียบเทียบและการแข่งขัน เราจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น เมื่อเราสามารถเข้าหาผู้อื่นด้วยจิตวิญญาณแห่งความเมตตาและความเข้าใจ แทนที่จะมองว่าพวกเขาเป็นคู่แข่งที่ต้องพ่ายแพ้ เราจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและส่งเสริมความรู้สึกเคารพและความชื่นชมซึ่งกันและกันให้มากขึ้น
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เราปลูกฝังความรู้สึกยอมรับตนเองและหลีกเลี่ยงกับดักพิษของการเปรียบเทียบและการแข่งขัน เมื่อเราสามารถเข้าใกล้ชีวิตด้วยวิญญาณแห่งความถูกต้องและความอ่อนน้อมถ่อมตน เราจะได้รับความเคารพและชื่นชมจากผู้อื่น และพบความสงบสุขและความสมหวังในชีวิตของเราเองมากขึ้น
“ความจริงไม่ได้สวยงามเสมอไป คำพูดที่สวยงามไม่เป็นจริงเสมอไป”
ส่วนแรกของคำพูดที่ว่า “ความจริงไม่ได้สวยงามเสมอไป” แสดงให้เห็นว่าความจริงมักจะรุนแรงหรือไม่เป็นที่พอใจ อาจท้าทายสมมติฐานหรือความเชื่อของเรา หรือบังคับให้เราเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ไม่สบายใจ แม้ว่าเราอาจชอบฟังสิ่งที่สวยงามหรือพูดประจบสอพลอ แต่ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ส่วนที่สองของคำกล่าวอ้าง “คำที่สวยงามไม่เป็นความจริง” ชี้ให้เห็นว่าภาษาหรือโวหารที่สวยงามไม่สามารถปกปิดความจริงได้เสมอไป แม้ว่าเราอาจถูกล่อลวงให้ใช้ภาษาที่สละสลวยหรือเทคนิคการโน้มน้าวใจเพื่อพยายามทำให้บางสิ่งบางอย่างฟังดูน่าดึงดูดหรือน่าเชื่อมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็ไม่สามารถถูกซ่อนหรืออำพรางได้ แม้แต่ภาษาที่สวยงามที่สุดก็ไม่สามารถเปลี่ยนความเป็นจริงพื้นฐานของสถานการณ์ได้
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เรายอมรับความจริง แม้ว่ามันจะยากหรือไม่ดีที่จะยอมรับก็ตาม มันเตือนเราว่าความจริงอาจไม่ได้สวยงามเสมอไป และเราไม่สามารถพึ่งพาภาษาหรือโวหารที่สวยงามเพื่อปิดบังหรือปิดบังความจริงได้ โดยการยอมรับความจริง เราสามารถปลูกฝังความรู้สึกที่แท้จริงและความซื่อตรงในชีวิตของเราได้มากขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้นกับคนรอบข้าง
“เวลาเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น การพูดว่า ‘ฉันไม่มีเวลา’ ก็เหมือนกับการพูดว่า ‘ฉันไม่ต้องการ’”
ส่วนแรกของคำพูดที่ว่า “เวลาเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น” ชี้ให้เห็นว่าเวลาเป็นสิ่งสร้างของมนุษย์ที่เราใช้ในการวัดและจัดระเบียบชีวิตของเรา แม้ว่าเวลาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการตารางเวลาของเราและจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมของเรา แต่ก็ไม่ใช่ความเป็นจริงที่เป็นกลางซึ่งดำรงอยู่โดยอิสระจากการรับรู้และการกระทำของเรา
ส่วนที่สองของคำพูดที่ว่า “การพูดว่า ‘ฉันไม่มีเวลา’ ก็เหมือนกับการพูดว่า ‘ฉันไม่ต้องการ” แสดงให้เห็นว่าเมื่อเราอ้างว่าไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับบางสิ่ง เรากำลังพูดว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเรา เรากำลังตัดสินใจว่าจะจัดสรรเวลาและพลังงานอย่างไร และในบางกรณี เราอาจใช้ข้ออ้างที่ว่า “ไม่มีเวลาเพียงพอ” เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการเลือกของเรา
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เราคำนึงถึงวิธีใช้เวลาของเราและให้ความสำคัญกับลำดับความสำคัญของเรา แทนที่จะใช้เวลาเป็นข้อแก้ตัว เรารับรู้ได้ว่าเรามีพลังในการสร้างและกำหนดประสบการณ์ของเราเอง การเลือกอย่างมีสติเกี่ยวกับวิธีที่เราใช้เวลาของเรา เราสามารถมีชีวิตที่สมบูรณ์และมีความหมายมากขึ้น และบรรลุเป้าหมายด้วยความชัดเจนและโฟกัสมากขึ้น
“นักสู้ที่ดีที่สุดไม่เคยโกรธ”
ความแข็งแกร่งและประสิทธิผลที่แท้จริงมาจากสภาวะของความสงบและความใจเย็นมากกว่าความโกรธหรือความก้าวร้าว
ส่วนแรกของคำพูด “นักสู้ที่ดีที่สุด” หมายถึงบุคคลที่มีทักษะในศิลปะการต่อสู้หรือการต่อสู้ และแสดงให้เห็นว่าบุคคลนี้มีความสามารถในการป้องกันตนเองหรือผู้อื่นเมื่อจำเป็น
ส่วนที่สองของคำพูดที่ว่า “ไม่เคยโกรธ” แสดงให้เห็นว่าบุคคลนี้สามารถสงบสติอารมณ์ได้ แม้ต้องเผชิญกับความขัดแย้งหรือความทุกข์ยาก บุคคลนี้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายด้วยความชัดเจนและโฟกัส แทนที่จะแสดงปฏิกิริยาด้วยความโกรธหรือความก้าวร้าว โดยการปลูกฝังสถานะของความสงบภายในและความสมดุล
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้สนับสนุนให้เราปลูกฝังความรู้สึกสงบภายในและการควบคุมตนเอง แทนที่จะถูกควบคุมโดยอารมณ์ของเรา มันแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งและประสิทธิผลที่แท้จริงมาจากสถานที่แห่งความใจเย็นมากกว่าความโกรธหรือความก้าวร้าว การเรียนรู้ที่จะสงบสติอารมณ์ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจะทำให้เรากลายเป็นนักแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถรับมือกับความท้าทายในชีวิตได้ดีขึ้นด้วยความสง่างามและความยืดหยุ่น
“เพราะคนเชื่อมั่นในตนเอง จึงไม่พยายามโน้มน้าวผู้อื่น เพราะพอใจในตัวเอง ไม่ต้องการความเห็นชอบจากผู้อื่น เพราะคนๆ หนึ่งยอมรับตัวเอง คนทั้งโลกจึงยอมรับเขาหรือเธอ”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อในตนเอง ความพอใจในตนเอง และการยอมรับตนเองเป็นส่วนประกอบสำคัญในการได้รับความเคารพและการยอมรับจากผู้อื่น
ส่วนแรกของคำพูดที่ว่า “เพราะคนเราเชื่อมั่นในตนเอง จึงไม่พยายามโน้มน้าวใจผู้อื่น” ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเรามั่นใจในตัวเองและความสามารถของเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องขอการรับรองหรือการยอมรับจากผู้อื่น เรามั่นใจในความเชื่อของตัวเองและไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องโน้มน้าวให้คนอื่นแบ่งปัน
ส่วนที่สองของคำพูดที่ว่า “เพราะคนเราพอใจในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากผู้อื่น” ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเรามีความสุขและพอใจกับตัวเอง เราไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องขอความเห็นชอบหรือคำยืนยันจากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา และเราสามารถเป็นตัวของตัวเองและเป็นจริงได้มากขึ้น
ส่วนที่สามของคำพูดที่ว่า “เพราะคนเรายอมรับตัวเอง คนทั้งโลกจึงยอมรับเขาหรือเธอ” แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรายอมรับตัวเองในแบบที่เราเป็น คนอื่นก็จะยอมรับเราเช่นกัน เมื่อเรารู้สึกสบายใจในผิวของตัวเอง เราจะคายพลังงานที่น่าดึงดูดและดึงดูดผู้อื่นเข้ามาหาเรา เมื่อเราสามารถยอมรับตัวเอง ข้อบกพร่อง และทุกอย่างได้ เราจะมีความสัมพันธ์และเข้าถึงผู้อื่นได้มากขึ้น
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าการเชื่อในตนเอง ความพอใจในตนเอง และการยอมรับตนเองเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ปลูกฝังในตัวเรา เมื่อเราสามารถยอมรับคุณสมบัติเหล่านี้ได้ เราก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น เป็นตัวของตัวเอง และน่าดึงดูดใจสำหรับผู้อื่น และมีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับและเคารพในโลกรอบตัวเรามากขึ้น
“ถ้าคุณรู้สึกหดหู่ใจ แสดงว่าคุณกำลังจมอยู่กับอดีต หากคุณวิตกกังวลคุณกำลังมีชีวิตอยู่ในอนาคต ถ้าคุณมีความสงบคุณก็มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าสภาพจิตใจของเราเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความสัมพันธ์ของเรากับเวลา อาการซึมเศร้ามักเชื่อมโยงกับการครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ในขณะที่ความวิตกกังวลมักเชื่อมโยงกับความกังวลเกี่ยวกับอนาคต ในทางตรงกันข้าม ความสงบและความพึงพอใจนั้นเกี่ยวข้องกับการมีอยู่อย่างเต็มที่ในช่วงเวลาปัจจุบัน
ส่วนแรกของคำคม “ถ้าคุณหดหู่ แสดงว่าคุณกำลังจมอยู่กับอดีต” ชี้ให้เห็นว่าการจมอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตสามารถนำไปสู่ความรู้สึกเศร้า เสียใจ และสิ้นหวัง เมื่อเราจดจ่ออยู่กับอดีต เราอาจรู้สึกไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกสิ้นหวัง
ส่วนที่สองของคำคม “ถ้าคุณวิตกกังวล แสดงว่าคุณกำลังมีชีวิตอยู่ในอนาคต” แนะนำว่า ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตสามารถนำไปสู่ความรู้สึกเครียด วิตกกังวล และความไม่แน่นอน เมื่อเราจดจ่อกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นมากเกินไป เราอาจจะถูกครอบงำด้วยความเป็นไปได้และมองไม่เห็นช่วงเวลาปัจจุบัน
ส่วนที่สามของคำพูดที่ว่า “ถ้าคุณอยู่ในความสงบ แสดงว่าคุณมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน” ชี้ให้เห็นว่าความสุขและความพอใจที่แท้จริงมาจากการอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ เมื่อเราสามารถละทิ้งความกังวลเกี่ยวกับอนาคตและความเสียใจในอดีตได้ เราจะสามารถมีส่วนร่วมกับปัจจุบันได้อย่างเต็มที่และพบกับความสุขในช่วงเวลาที่เรียบง่ายของชีวิตประจำวัน
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เราปลูกฝังความรู้สึกนึกคิดและการมีอยู่ในชีวิตของเรา และตระหนักว่าความคิดของเราเกี่ยวกับอดีตและอนาคตอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเราอย่างไร โดยการเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะ เราจะพบสันติสุข ความสุข และความพอใจในชีวิตมากขึ้น
“ชายผู้กล้าจากภายนอก กล้าที่จะตาย ชายที่มีความกล้าหาญจากภายใน กล้าที่จะมีชีวิตอยู่”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่ามีความกล้าหาญสองประเภท ความกล้าหาญภายนอกและความกล้าหาญภายใน ความกล้าหาญภายนอกมักจะเกี่ยวข้องกับความกล้าหาญทางร่างกายและความเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อเป้าหมายหรือจุดประสงค์ ในทางกลับกัน ความกล้าหาญภายในนั้นเกี่ยวกับการมีความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นในการเผชิญกับความท้าทายของชีวิตและดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง แม้ว่ามันจะยากหรือไม่สบายใจก็ตาม
ส่วนแรกของคำพูดที่ว่า “ชายผู้กล้าจากภายนอกกล้าที่จะตาย” ชี้ให้เห็นว่าความกล้าหาญภายนอกมักจะเชื่อมโยงกับความเต็มใจที่จะเสียสละและทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายเพื่อสาเหตุที่ใหญ่กว่า ซึ่งอาจรวมถึงทหาร นักดับเพลิง หรือนักเคลื่อนไหวที่เต็มใจเสี่ยงชีวิตเพื่อเป้าหมายที่พวกเขาเชื่อ
ส่วนที่สองของคำพูด “ชายที่มีความกล้าหาญจากภายใน กล้าที่จะมีชีวิตอยู่” ชี้ให้เห็นว่าความกล้าหาญภายในนั้นเกี่ยวกับการมีความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นในการเผชิญกับความท้าทายของชีวิตและดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง แม้ว่ามันจะยากหรือไม่สบายใจก็ตาม ซึ่งอาจรวมถึงการยืนหยัดเพื่อความเชื่อของตัวเอง ไล่ตามความหลงใหลแม้จะมีอุปสรรค หรือเผชิญกับอารมณ์ที่ยากลำบากโดยตรง
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความกล้าหาญทั้งสองประเภท ความกล้าหาญภายนอกเป็นสิ่งจำเป็นในบางสถานการณ์ แต่ความกล้าหาญภายในเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน การพัฒนาความกล้าหาญภายในสามารถช่วยให้เราเอาชนะความกลัว ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงมากขึ้น และค้นหาความหมายและจุดมุ่งหมายในชีวิตมากขึ้น
“ใส่ใจในสิ่งที่คนอื่นคิดกับคุณยังไง คุณจะเป็นนักโทษของพวกเขาตลอดไป”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าหากเรากังวลมากเกินไปกับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเรา เราอาจติดกับดักและถูกจำกัดโดยความคิดเห็นและการตัดสินของพวกเขา เมื่อเราแสวงหาการอนุมัติและการตรวจสอบจากผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง เราอาจประนีประนอมกับคุณค่าและความเชื่อของตนเอง และจำกัดตัวเองเพื่อทำให้ผู้อื่นพอใจ
ส่วนแรกของคำพูด “ใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิด” หมายถึงแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับความคิดเห็นและการตัดสินของผู้อื่นมากเกินไป ซึ่งอาจรวมถึงการขอความเห็นชอบจากครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือสังคมโดยรวม และการตัดสินใจโดยอิงจากสิ่งที่เราคิดว่าคนอื่นจะเห็นชอบหรือชอบ
ส่วนที่สองของคำพูด “และคุณจะเป็นนักโทษของพวกเขาตลอดไป” ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเราให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของผู้อื่นมากเกินไป เราจะติดกับดักและถูกจำกัดด้วยความคาดหวังและการตัดสินของพวกเขา เราอาจรู้สึกว่าเราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่หรือทำตามเป้าหมายและความปรารถนาของตนเองได้โดยไม่เสี่ยงต่อการไม่ยอมรับหรือปฏิเสธจากผู้อื่น
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เราให้ความสำคัญกับคุณค่าและความเชื่อของตัวเองมากกว่าความคิดเห็นและการตัดสินของผู้อื่น การมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญจริงๆ สำหรับเราและการซื่อสัตย์ต่อตนเอง เราสามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดของความคาดหวังของผู้อื่น และใช้ชีวิตที่แท้จริงและเติมเต็มได้มากขึ้น
“จงพอใจในสิ่งที่ตนมี ชื่นชมยินดีในสิ่งที่เป็นอยู่ เมื่อคุณตระหนักว่าไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง โลกทั้งใบเป็นของคุณ”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าการค้นหาความพึงพอใจและความสุขในสถานการณ์ปัจจุบันของเราเป็นกุญแจสำคัญในการประสบกับความอุดมสมบูรณ์และความสมหวังในชีวิต เมื่อเราสามารถชื่นชมและขอบคุณสิ่งที่เรามี แทนที่จะสนใจสิ่งที่เราขาดหรือสิ่งที่เราปรารถนาแตกต่างกัน เราจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่สมบูรณ์และสมบูรณ์
ส่วนแรกของคำคม “จงพอใจกับสิ่งที่คุณมี” แนะนำว่าการหาความพอใจในสถานการณ์ปัจจุบันของเรา แทนที่จะขวนขวายหาเพิ่มตลอดเวลา สามารถช่วยให้เรารู้สึกพึงพอใจและเติมเต็มในชีวิตมากขึ้น สิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับการชื่นชมผู้คน ทรัพย์สมบัติ และประสบการณ์ที่เรามีในปัจจุบัน แทนที่จะแสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
ส่วนที่สองของคำพูด “ชื่นชมยินดีในสิ่งที่เป็นอยู่” กระตุ้นให้เราพบกับความสุขและความสุขในช่วงเวลาปัจจุบัน แทนที่จะจมอยู่กับอดีตหรือกังวลเกี่ยวกับอนาคต สิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับการอยู่กับปัจจุบันและมีสติสัมปชัญญะในกิจกรรมประจำวันของเรา และค้นหาความงามและความหมายในสิ่งเรียบง่ายรอบตัวเรา
ส่วนสุดท้ายของคำพูดที่ว่า “เมื่อคุณตระหนักว่าไม่มีอะไรขาดหายไป โลกทั้งใบเป็นของคุณ” แนะนำว่าโดยการน้อมรับความพอใจและความสุขในช่วงเวลาปัจจุบัน เราจะสัมผัสได้ถึงความอุดมสมบูรณ์และความสมบูรณ์ที่ทำให้เรารู้สึก เชื่อมโยงกับโลกรอบตัวเรา เมื่อเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราขาดหรือสิ่งที่เราปรารถนาไม่เหมือนเดิม เราก็สามารถเปิดรับความเป็นไปได้และโอกาสต่างๆ ที่โลกมีให้
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เราพบกับความพอใจและความสุขในช่วงเวลาปัจจุบัน การยอมรับสิ่งที่เรามีและค้นหาความสุขในปัจจุบัน เราจะสัมผัสได้ถึงความอุดมสมบูรณ์และความเติมเต็มที่ทำให้เราสามารถมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่กับโลกรอบตัวเรา
“ธรรมชาติไม่เร่งรีบ แต่ทุกอย่างสำเร็จ”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าธรรมชาติดำเนินไปอย่างช้าๆ และมั่นคง ไม่เร่งรีบหรือเร่งรีบ แต่ก็ยังสามารถบรรลุทุกสิ่งที่ต้องการได้ ความหมายคือเราในฐานะมนุษย์สามารถได้รับประโยชน์จากการนำแนวทางที่คล้ายกันมาใช้กับชีวิตของเรา
วลี “ธรรมชาติไม่เร่งรีบ” แสดงให้เห็นว่าโลกธรรมชาติเคลื่อนไปตามจังหวะของมันเอง โดยไม่รู้สึกว่าต้องรีบเร่งหรือเร่งรีบ สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและมีความกดดันสูงซึ่งพวกเราหลายคนอาศัยอยู่ ซึ่งมักจะมีความรู้สึกเร่งรีบและกดดันให้บรรลุสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว
ส่วนที่สองของคำพูด “แต่ทุกอย่างก็สำเร็จ” ชี้ให้เห็นว่าแม้จะดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แต่ธรรมชาติก็ยังสามารถบรรลุทุกสิ่งที่ต้องการได้ ซึ่งอาจรวมถึงการเติบโตของพืชและต้นไม้ การอพยพของสัตว์ หรือวัฏจักรของฤดูกาล ความหมายก็คือหากเราสามารถนำแนวทางที่อดทนและมั่นคงมาใช้ในทำนองเดียวกันกับชีวิตของเราได้ เราอาจสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้สำเร็จโดยไม่รู้สึกว่าต้องเร่งรีบหรือเร่งรีบ
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เราใช้ชีวิตช้าลงและใช้ชีวิตอย่างอดทนมากขึ้น แทนที่จะรู้สึกว่าต้องรีบเร่งและเร่งรีบตลอดเวลา เมื่อทำเช่นนั้น เราอาจสามารถบรรลุทุกสิ่งที่ต้องการได้ ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความสงบ ความสงบ และการเชื่อมโยงกับโลกธรรมชาติรอบตัวเรามากขึ้น
“ความเงียบเป็นแหล่งพลังอันยิ่งใหญ่”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าความเงียบมีพลังและความแข็งแกร่ง และการเงียบอาจเป็นเครื่องมือที่มีค่าในสถานการณ์ต่างๆ
ความเงียบสามารถตีความได้หลายวิธี อาจหมายถึงร่างกายไม่มีเสียงหรือไม่มีคำพูด แต่อาจหมายถึงสภาพจิตใจที่สงบ สำรวม และมีสมาธิ ในบริบทนี้ ความเงียบสามารถถูกมองว่าเป็นสถานะของความนิ่งและความสงบภายในที่สามารถเป็นแหล่งของพลังอันยิ่งใหญ่
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าการเงียบอาจเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในบางสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น ในความขัดแย้ง การนิ่งเงียบแทนที่จะตอบโต้อย่างหุนหันพลันแล่นสามารถให้เวลาคุณรวบรวมความคิดและเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการเจรจา การฟังมากกว่าพูดจะช่วยให้คุณเข้าใจจุดยืนของอีกฝ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถหาจุดร่วมและบรรลุข้อตกลงได้
นอกจากนี้ ความเงียบยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร การไม่พูดอะไรเลยอาจทำให้คุณสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าคำพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่คำพูดอาจไม่เพียงพอหรืออาจถึงขั้นต่อต้าน
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าการเงียบมีจุดแข็ง ทั้งในแง่ของการให้พื้นที่ในการรวบรวมความคิดและในแง่ของการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ มันกระตุ้นให้เราเห็นคุณค่าของพลังแห่งความเงียบและใช้มันอย่างชาญฉลาดในชีวิตของเรา
“คุณมีความอดทนที่จะรอจนกว่าโคลนจะตกตะกอนและน้ำใสหรือไม่”
อุปมาอุปไมย หมายถึง ตะกอนที่กวนขึ้นเมื่อน้ำปั่นป่วนหรือถูกรบกวน. หากคุณปล่อยให้น้ำนิ่งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ตะกอนจะตกตะกอนในที่สุด และน้ำก็จะใส
คำพูดกระตุ้นให้ผู้อ่านเข้าใกล้ชีวิตด้วยความอดทนและความเต็มใจที่จะรอจนกว่าสิ่งต่างๆ จะสงบลง เช่นเดียวกับตะกอนในน้ำ ความคิดและอารมณ์ของเราอาจถูกปั่นป่วนโดยเหตุการณ์ในชีวิตของเรา ทำให้เกิดความสับสนและไม่แน่นอน โดยการรอให้ “โคลนตกตะกอน” เราปล่อยให้ความคิดและอารมณ์ของเราสงบลง ได้รับความชัดเจนและความเข้าใจลึกซึ้ง
โดยเนื้อแท้แล้ว คำพูดนี้เกี่ยวกับคุณค่าของการถอยหลังและรออย่างอดทนก่อนที่จะตัดสินใจหรือดำเนินการใดๆ เป็นการเตือนใจว่าบางครั้งเราต้องให้เวลาตัวเองในการประมวลผลอารมณ์และความคิดของเราก่อนที่เราจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้กระตุ้นให้เราฝึกความอดทนและเชื่อมั่นว่าหากให้เวลาเพียงพอ สิ่งต่างๆ จะชัดเจนและสมเหตุสมผล
“เปลวไฟที่เผาไหม้สองครั้งที่สว่างไสวจะเผาไหม้นานเพียงครึ่งหนึ่ง”
คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างเข้มข้นด้วยความหลงใหลและพลังอันยิ่งใหญ่อาจเผาผลาญได้เร็วกว่าผู้ที่มีชีวิตที่สมดุลกว่า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คำพูดนี้เตือนให้ระวังความกระตือรือร้นมากเกินไปและกระตุ้นให้เกิดความพอประมาณในทุกสิ่ง หากเราไล่ตามเป้าหมายด้วยความเข้มข้นมากเกินไปโดยไม่ใช้เวลาพักผ่อนและเติมพลัง เราอาจหมดไฟและบรรลุเป้าหมายน้อยลงในระยะยาว ในทางตรงกันข้าม หากเราเร่งความเร็ว อนุรักษ์พลังงานและดูแลตัวเอง เราอาจประสบความสำเร็จมากขึ้นตลอดช่วงชีวิตของเรา
คำพูดนี้มักถูกนำไปใช้กับด้านต่างๆ ของชีวิต ตั้งแต่กีฬาและการออกกำลังกายไปจนถึงความสัมพันธ์และอาชีพ ในทุกกรณี มันพูดถึงความสำคัญของความสมดุลและการดูแลตัวเองในการบรรลุความสำเร็จและความพึงพอใจในระยะยาว
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าความสำเร็จและความสมหวังไม่ได้ต้องการเพียงความหลงใหลและพลังงานเท่านั้น แต่ยังต้องอดทน สมดุล และแนวทางที่ยั่งยืนในการดำรงชีวิตด้วย
“หยุดคิด และปัญหาของคุณจะยุติ”
ปัญหามากมายของเราเกิดขึ้นจากการคิดและวิเคราะห์ประสบการณ์ของเราอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเป็นเพียงการอยู่กับปัจจุบันและประสบกับชีวิตอย่างที่เป็นอยู่
คำพูดนี้กระตุ้นให้เราหยุดคิดและวิเคราะห์มากเกินไป และหันมาปลูกฝังสภาวะของการมีสติและการแสดงตนแทน การปล่อยวางความคิดของเราและจดจ่อกับช่วงเวลาปัจจุบัน เราจะพบกับความสงบและความชัดเจน
ในขณะเดียวกัน คำพูดนี้ไม่ได้หมายความว่าเราควรหยุดคิดไปเองหรือละเลยปัญหาของเรา แต่แนะนำว่าเราควรปลูกฝังวิธีการคิดและอารมณ์ที่สมดุลมากขึ้น แทนที่จะจมอยู่กับความคิดเชิงลบหรือวิตกกังวล เราควรเรียนรู้ที่จะสังเกตพวกเขาด้วยความเฉยเมยและไม่ปล่อยให้พวกเขาควบคุมเรา
โดยเนื้อแท้แล้ว คำพูดนี้พูดถึงความสำคัญของการเจริญสติและการทำสมาธิในการบรรลุสภาวะแห่งความสงบภายในและความชัดเจน การปล่อยวางความคิดของเราและจดจ่อกับช่วงเวลาปัจจุบัน เราสามารถเอาชนะปัญหาและพบกับความสุขและความสมหวังในชีวิตได้มากขึ้น
“ความกรุณาในคำพูดทำให้เกิดความมั่นใจ ความกรุณาในความคิดสร้างความลึกซึ้ง การให้ด้วยความกรุณาทำให้เกิดความรัก”
ส่วนแรกของคำพูด “ความเมตตาในคำพูดสร้างความมั่นใจ” แนะนำว่าโดยการพูดอย่างอ่อนโยนกับผู้อื่น เราสามารถช่วยให้พวกเขารู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อเราพูดกับผู้อื่นด้วยความเมตตาและเห็นอกเห็นใจ เราสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกที่ผู้คนรู้สึกมีค่าและได้รับการเคารพ
ส่วนที่สองของคำคม “ความเมตตาในการคิดสร้างความลึกซึ้ง” ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเราคิดด้วยความเมตตากรุณา เราจะเข้าใจตนเองและโลกรอบตัวเราอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น การปลูกฝังความคิดเรื่องความกรุณาและการเห็นอกเห็นใจ ทำให้เรามองเห็นสิ่งภายนอกที่ดูเหมือนผิวเผิน และชื่นชมความซับซ้อนที่ลึกซึ้งของชีวิต
สุดท้าย ส่วนที่สามของคำคม “ความเมตตาในการให้ก่อให้เกิดความรัก” เสนอว่า การแสดงความเมตตาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สามารถสร้างสายใยแห่งความรักและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างผู้คนได้ เมื่อเราให้ผู้อื่นอย่างอิสระและไม่คาดหวัง เราจะสร้างความรู้สึกของชุมชนและจุดประสงค์ร่วมกันที่สามารถทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้เน้นย้ำถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของความเมตตาในชีวิตของเรา ตั้งแต่การสร้างความมั่นใจและความเข้าใจไปจนถึงการเสริมสร้างความรักและการเชื่อมต่อกับผู้อื่น เราสามารถสร้างชีวิตที่เป็นบวกและเติมเต็มให้กับตัวเองและคนรอบข้างได้
“แสดงความชัดเจนโอบกอดความเรียบง่าย ลดความเห็นแก่ตัว มีความปรารถนาน้อย”
คำพูดนี้แสดงให้เรายอมรับความเรียบง่ายและลดการยึดติดกับทรัพย์สินและความปรารถนาทางวัตถุ
บรรทัดแรก “ความชัดเจนอย่างชัดแจ้ง” แนะนำว่าเราควรพยายามอย่างเรียบง่ายและหลีกเลี่ยงความซับซ้อนหรือความโอ้อวดในชีวิตของเรา การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่สำคัญจริงๆ เราจะพบความชัดเจนและจุดประสงค์ในชีวิตมากขึ้น
บรรทัดที่สอง “โอบรับความเรียบง่าย” ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของความเรียบง่ายในชีวิตของเรา ด้วยการทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นและลดความยุ่งเหยิงและส่วนเกิน เราจะพบความสงบสุขและความเงียบสงบมากขึ้น
บรรทัดที่สาม “ลดความเห็นแก่ตัว” แนะนำว่าเราควรพยายามเอาชนะความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของเรา และแทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ความต้องการและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่น การฝึกความเห็นอกเห็นใจและความเห็นอกเห็นใจ เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นและสังคมที่ปรองดองกันมากขึ้น
สุดท้าย บรรทัดสุดท้าย “มีความปรารถนาน้อย” กระตุ้นให้เราละทิ้งการยึดติดกับทรัพย์สินและความปรารถนาทางวัตถุ การมุ่งความสนใจไปที่ความต้องการขั้นพื้นฐานของเราและการค้นหาความพอใจในช่วงเวลาปัจจุบัน เราสามารถพบความสงบสุขและความสุขมากขึ้นในชีวิตของเรา
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความเรียบง่าย ความเสียสละ และความพอใจในชีวิตของเรา โดยการยอมรับค่านิยมเหล่านี้ เราสามารถปลูกฝังสันติภาพ จุดประสงค์ และความสัมฤทธิผลในชีวิตได้มากขึ้น
“ดนตรีในจิตวิญญาณสามารถได้ยินโดยจักรวาล”
ดนตรีในจิตวิญญาณของคนๆ หนึ่งนั้นมีคุณภาพสากลที่สามารถรู้สึกและสัมผัสได้นอกเหนือจากตัวบุคคล เป็นนัยว่าพลังของดนตรีแผ่ขยายออกไปนอกขอบเขตทางกายภาพและมีความสามารถในการสัมผัสหัวใจและจิตวิญญาณของผู้อื่น
ดนตรีมักถูกมองว่าเป็นภาษาสากลที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคด้านวัฒนธรรมและภาษาได้ และคำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าเสียงสะท้อนทางอารมณ์และจิตวิญญาณของดนตรีสามารถมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโลกรอบตัวเรา
เราสามารถเชื่อมต่อกับผู้อื่นในระดับที่ลึกขึ้นและสร้างความรู้สึกของความสามัคคีและความปรองดอง คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเราแบ่งปันดนตรีของเรากับคนทั้งโลก เรากำลังมีส่วนร่วมในประสบการณ์ส่วนรวมที่อยู่เหนือขอบเขตส่วนบุคคลและสอดคล้องกับจักรวาลโดยรวม
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้เน้นย้ำถึงพลังการเปลี่ยนแปลงของดนตรีและวิธีที่ดนตรีสามารถเชื่อมโยงเรากับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา มันชี้ให้เห็นว่าการแบ่งปันดนตรีในจิตวิญญาณของเรา เราสามารถสร้างแรงกระเพื่อมของพลังบวกและความสามัคคีในโลกรอบตัวเรา
“ถ้าคุณพยายามเปลี่ยน คุณจะทำลายมัน ถ้าพยายามถือไว้ คุณจะสูญเสียมันไป”
คำพูดนี้มักเกี่ยวข้องกับปรัชญาของลัทธิเต๋าและชี้ให้เห็นว่าการพยายามควบคุมบางสิ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียและอาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าบางสิ่งควรถูกทิ้งไว้โดยลำพังและปล่อยให้อยู่ในสภาพธรรมชาติ แทนที่จะถูกดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงในทางใดทางหนึ่ง ในบริบทของความสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น การพยายามเปลี่ยนคนอื่นให้สอดคล้องกับความคาดหวังหรือความปรารถนาของเรามักจะนำไปสู่ความไม่พอใจและความขัดแย้ง
ในทำนองเดียวกัน คำพูดเตือนว่าอย่าพยายามยึดบางสิ่งไว้แน่นเกินไป เพราะสิ่งนี้อาจนำไปสู่ความรู้สึกเป็นเจ้าของหรือความผูกพันที่สามารถทำให้เราสูญเสียสิ่งที่เราพยายามยึดมั่นในท้ายที่สุด ตัวอย่างเช่น ในความสัมพันธ์ การยึดติดหรือควบคุมมากเกินไปอาจผลักไสผู้อื่นและนำไปสู่การยุติความสัมพันธ์ในที่สุด
โดยรวมแล้ว คำพูดนี้สนับสนุนให้เรายอมรับทัศนคติที่ผ่อนคลายมากขึ้นต่อโลกรอบตัวเรา โดยตระหนักว่าบางสิ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา และการพยายามเปลี่ยนแปลงหรือยึดมั่นกับสิ่งเหล่านั้นอาจไม่เป็นประโยชน์สูงสุดของเรา เราควรพยายามยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่และทำงานร่วมกับพวกเขาแทนที่จะต่อต้านพวกเขา
“การไม่ทำอะไรเลย ดีกว่ายุ่งกับการไม่ทำอะไรเลย”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าเป็นการดีกว่าที่จะไม่ทำอะไรเลยนอกจากมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ไม่มีจุดประสงค์หรือคุณค่าที่แท้จริง เน้นย้ำถึงความสำคัญของการคำนึงถึงวิธีที่เราใช้เวลาของเรา และอันตรายจากการจมอยู่กับงานยุ่งหรือสิ่งรบกวนที่ไม่ส่งผลต่อเป้าหมายหรือความเป็นอยู่ที่ดีของเรา
ในสังคมสมัยใหม่ของเรา ผู้คนจำนวนมากมีงานยุ่งตลอดเวลา แต่ไม่จำเป็นต้องทำงานอย่างมีประสิทธิผล พวกเขาอาจมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ทำให้พวกเขาไม่ว่าง แต่ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาบรรลุสิ่งที่มีความหมายหรือสำคัญ ในทางตรงข้าม บางครั้งการไม่ทำอะไรเลยอาจเป็นการใช้เวลาของเราให้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำให้เราได้พักผ่อน เติมพลัง และไตร่ตรองถึงลำดับความสำคัญและเป้าหมายของเรา
คำพูดนี้บอกเป็นนัยว่าเป็นการดีกว่าที่จะตั้งใจและมีจุดมุ่งหมายในการกระทำของเรา แทนที่จะทำตามการเคลื่อนไหวหรือใช้เวลาของเราไปกับงานที่ไร้ความหมาย การทำเช่นนี้ทำให้เรามั่นใจได้ว่าเราใช้เวลาและทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการกระทำของเราสอดคล้องกับค่านิยมและลำดับความสำคัญของเรา
“ห่านหิมะไม่จำเป็นต้องอาบน้ำเพื่อให้ตัวขาว คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรนอกจากเป็นตัวของตัวเอง”
ซื่อสัตย์ต่อตนเองก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้อื่นยอมรับ เฉกเช่นห่านหิมะไม่จำเป็นต้องอาบน้ำให้ขาว หมายความว่าเราไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเสแสร้งเป็นคนที่เราไม่ใช่เพื่อให้เข้ากับผู้อื่นหรือเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น เราควรยอมรับตัวตนที่แท้จริงของเราและปล่อยให้คุณสมบัติตามธรรมชาติของเราเปล่งประกายออกมา การเป็นของแท้และของแท้คือสิ่งที่ทำให้เรามีเอกลักษณ์และมีคุณค่า ดังนั้น ห่านหิมะไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อให้สวยงาม เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อให้มีคุณค่าและชื่นชมในโลก
“ถ้าคุณไม่เปลี่ยนทิศทาง คุณก็อาจจะไปสิ้นสุดที่ที่คุณมุ่งหน้าไป”
หากคุณเดินต่อไปในเส้นทางหรือวิถีปัจจุบันของคุณโดยไม่ทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณจะไปถึงจุดสิ้นสุดที่คุณกำลังมุ่งหน้าไป แม้ว่าจะไม่ใช่ที่ที่คุณต้องการ คำพูดนี้กระตุ้นให้ผู้คนควบคุมชีวิตของพวกเขา เลือกอย่างรอบคอบ และระวังทิศทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป หมายความว่าเราควรเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บรรลุผลตามที่ต้องการ แทนที่จะปล่อยให้ชีวิตเกิดขึ้นกับพวกเขา โดยเนื้อแท้แล้ว คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้บรรลุการเติบโตและความสำเร็จ และเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการเชิงรุกในการชี้นำวิถีชีวิตของคนๆ หนึ่ง
“สู่จิตที่ยังเป็นจักรวาลทั้งมวลยอมจำนน”
คำพูดนี้หมายความว่าเมื่อจิตใจของเราสงบและปราศจากสิ่งรบกวน เราจะสามารถเชื่อมต่อกับจักรวาลและสัมผัสกับความสงบและความสามัคคี มันชี้ให้เห็นว่าเมื่อเราหยุดคิดและอยู่กับปัจจุบัน ณ ขณะนั้น เราสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งรอบตัวเรา และจักรวาลจะเปิดเผยตัวเองให้เราเห็น การปล่อยวางความคิดและความปรารถนาของเรา เราสามารถสร้างพื้นที่ให้จักรวาลไหลผ่านตัวเรา ทำให้เราเชื่อมต่อกับธรรมชาติที่แท้จริงของเราและสัมผัสกับความสงบและความชัดเจนอย่างลึกซึ้ง
“สิ่งที่หนอนผีเสื้อเรียกว่าจุดจบ ส่วนที่เหลือบนโลกเรียกว่าผีเสื้อ”
คำพูดนี้หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงอาจเป็นเรื่องยากและน่ากลัว แต่มักจะนำไปสู่สิ่งที่สวยงามและเปลี่ยนแปลงได้ หนอนผีเสื้อซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการคลานและก้าวที่เชื่องช้า กลายร่างเป็นผีเสื้อซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการบินที่สง่างามและโปร่งสบาย หนอนผีเสื้ออาจเห็นจุดจบของชีวิตอย่างที่มันรู้ แต่จริงๆ แล้ว มันกำลังเปลี่ยนไปเป็นสิ่งใหม่และมหัศจรรย์ ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เราอาจรู้สึกเหมือนถึงจุดจบ แต่จริงๆ แล้วอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่และดีกว่าก็ได้
“ยิ่งไป ยิ่งรู้น้อย”
คำพูดนี้หมายความว่ายิ่งเดินทางหรือมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ว่าพวกเขารู้น้อยเพียงใด โลกกว้างใหญ่ ซับซ้อน และเต็มไปด้วยความลึกลับ และในขณะที่ใครก็ตามพยายามขยายความเข้าใจเกี่ยวกับโลก พวกเขาก็ได้ตระหนักว่าความรู้ของพวกเขามีจำกัด ยิ่งพวกเขาเรียนรู้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตระหนักว่ายังมีอีกมากที่ต้องเรียนรู้ และยิ่งไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่ารู้ คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคุณสมบัติที่มีค่าเมื่อแสวงหาความรู้ เพราะมันช่วยให้เรารับทราบและยอมรับข้อจำกัดของเราในขณะที่เรียนรู้และเติบโตต่อไป
“ทันทีที่คุณคิดได้ จงหัวเราะเยาะมัน”
คำพูดนี้หมายความว่าเมื่อคุณมีความคิด อย่าจริงจังหรือยึดติดกับมันมากเกินไป ให้สังเกตความคิด รับทราบ แล้วปล่อยมันไป ทั้งนี้เพราะความคิดไม่เที่ยงและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่น การหัวเราะกับความคิดของคุณจะทำให้คุณสามารถแยกตัวเองออกจากความคิดเหล่านั้นและรับรู้ถึงความชัดเจนและความอุ่นใจได้มากขึ้น วิธีนี้สามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการจมอยู่กับเรื่องไร้สาระและอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น
“เหตุผลที่เอกภพดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ก็คือจักรวาลไม่ได้ดำรงอยู่เพื่อตัวมันเอง มันให้ชีวิตแก่ผู้อื่นในขณะที่มันเปลี่ยนไป”
จักรวาลเป็นนิรันดร์อย่างแน่นอน เพราะมันมีอยู่เพื่อรับใช้และเปลี่ยนแปลงรูปแบบอื่นๆ ของชีวิต จักรวาลมอบชีวิตและพลังงานให้กับทุกสิ่งรอบตัว สิ่งนี้สามารถตีความได้ว่าเป็นการเรียกร้องให้ดำเนินชีวิตแห่งการรับใช้และช่วยเหลือผู้อื่น แทนที่จะมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือผลประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียว เราสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองและโลกรอบตัวเราโดยการให้ผู้อื่นและเอื้อประโยชน์ต่อสิ่งที่ดีกว่า
“ผู้ที่ไหลไปตามกระแสชีวิตจะรู้ว่าพวกเขาไม่ต้องการพลังอื่นใด”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับกระแสแห่งชีวิตไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังหรือความพยายามภายนอกใดๆ เพื่อชี้นำพวกเขา พวกเขาสอดคล้องกับจังหวะตามธรรมชาติของจักรวาลและปล่อยให้ตัวเองถูกชักจูงไปตามมัน แทนที่จะพยายามบังคับเจตจำนงของตนเองต่อโลก สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความรู้สึกสบายใจและพึงพอใจ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ต่อสู้กับวิถีธรรมชาติของสิ่งต่างๆ พวกเขาเข้าใจว่าชีวิตคือการเดินทาง และพวกเขาวางใจในการเดินทาง แทนที่จะพยายามควบคุมทุกแง่มุมของการเดินทาง
ข้อคิดคำพูดของเล่าจื๊อพูดถึงชีวิต ความรัก ความสำเร็จ และความเรียบง่ายและเงียบสงบ
- “ที่ศูนย์กลางของความเป็นคุณ คุณมีคำตอบ; คุณรู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณรู้ว่าคุณต้องการอะไร”
- “จงระวังสิ่งที่คุณรดน้ำให้กับความฝันของคุณ รดน้ำพวกเขาด้วยความกังวลและความกลัว แล้วคุณก็จะผลิตวัชพืชที่ปิดกั้นชีวิตจากความฝันของคุณ รดน้ำพวกเขาด้วยการมองโลกในแง่ดีและวิธีแก้ปัญหา แล้วคุณจะบ่มเพาะความสำเร็จ มองหาวิธีเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสสู่ความสำเร็จอยู่เสมอ มองหาวิธีที่จะหล่อเลี้ยงความฝันของคุณอยู่เสมอ”
- “ถ้าคุณเข้าใจผู้อื่น แสดงว่าคุณฉลาด
ถ้าคุณเข้าใจตัวเองคุณก็สว่างไสว
ถ้าคุณเอาชนะคนอื่นได้ คุณจะมีพลัง
ถ้าคุณเอาชนะตัวเองได้ คุณก็มีกำลัง
ถ้าคุณรู้จักที่จะพอใจ คุณก็รวย
หากคุณสามารถแสดงพลังได้ แสดงว่าคุณมีเจตจำนง
ถ้าคุณไม่สูญเสียเป้าหมาย คุณก็อยู่ได้นาน
ถ้าคุณตายโดยไม่สูญเสีย คุณก็อยู่ชั่วนิรันดร์” - “ผู้นำนั้นดีที่สุด เมื่อผู้คนแทบจะไม่รู้ว่าเขามีอยู่จริง ผู้นำที่ดี พูดน้อย เมื่องานของเขาสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายแล้ว พวกเขาจะกล่าวว่า ‘พสกเราทำสิ่งนี้เอง’”
- “จงทำโดยไม่คาดหวัง”
- “หาความรู้ใส่ตัวทุกวัน เพื่อบรรลุปัญญาให้ขจัดสิ่งทุกวัน”
- “ข้าพเจ้ามีของล้ำค่าสามอย่างที่ข้าพเจ้ายึดมั่นและเป็นรางวัล ประการแรกคือความอ่อนโยน ประการที่สองคือความตระหนี่ ประการที่สามคือความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งขัดขวางไม่ให้ข้าพเจ้าเห็นแก่ผู้อื่น จงสุภาพและกล้าได้กล้าเสีย ประหยัดและคุณสามารถเป็นคนโอบอ้อมอารี หลีกเลี่ยงการเอาตัวเองมาก่อนคนอื่น แล้วคุณจะเป็นผู้นำในหมู่มนุษย์ได้”
- “คนฉลาดคือผู้ที่รู้ในสิ่งที่ตนไม่รู้”
- “น้ำเป็นสิ่งที่อ่อนที่สุด แต่สามารถเจาะทะลุภูเขาและดินได้ นี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงหลักการของ ความนุ่มนวลเอาชนะความแข็ง”
- “ถ้าผู้ใดมองว่าเป็นคนชั่วร้าย อย่าทอดทิ้งเขา ปลุกเขาด้วยคำพูดของคุณ ยกระดับเขาด้วยการกระทำของคุณ ตอบแทนอาการบาดเจ็บของเขาด้วยความกรุณาของคุณ อย่าทิ้งเขาไป ละทิ้งความชั่วของเขาเสีย”
- “อย่าให้สิ่งชั่วร้ายมาต่อต้าน แล้วมันก็จะหายไปเอง”
- “ความรู้คือขุมทรัพย์ แต่การฝึกฝนคือกุญแจสู่มัน”
- “เพื่อเข้าใจข้อจำกัดของสิ่งต่างๆ จงปรารถนาสิ่งนั้น”
- “ผู้ชายเกิดมาอ่อนนุ่ม เมื่อตายแล้วพวกเขาจะแข็งกระด้าง พืชเกิดอ่อนโยนและอ่อนนุ่ม ตายแล้วจะเปราะและแห้ง ดังนั้นผู้ใดที่แข็งกระด้างและไม่ยืดหยุ่น ผู้นั้นคือสาวกแห่งความตาย ผู้ใดอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้นั้นเป็นสาวกแห่งชีวิต ส่วนที่แข็งและแข็งจะหัก ความนุ่มนวลจะเหนือกว่า”
- “ปล่อยวาง ทุกอย่างก็จบ”
- “ถ้าคุณตระหนักว่าทุกสิ่งเปลี่ยนไป ไม่มีอะไรที่คุณจะพยายามยึดมั่น หากคุณไม่กลัวตาย ไม่มีอะไรที่คุณไม่สามารถบรรลุได้”
- “ระวังความคิดของคุณ มันจะกลายเป็นคำพูดของคุณ ระวังคำพูดของคุณ มันจะกลายเป็นการกระทำของคุณ ดูการกระทำของคุณ มันจะกลายเป็นนิสัยของคุณ ระวังนิสัยของคุณ มันจะกลายเป็นสันดานของคุณ ดูตัวตนของคุณ มันจะกลายเป็นโชคชะตาของคุณ”
- “สำเร็จแต่อย่าโอ้อวด สำเร็จโดยไม่แสดง สำเร็จโดยไม่เย่อหยิ่ง สำเร็จโดยไม่โลภ สำเร็จโดยไม่ต้องบังคับ”
- “ในที่อยู่อาศัย อาศัยอยู่ใกล้พื้นดิน ในการคิดให้เรียบง่าย ในความขัดแย้งจงมีความยุติธรรมและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในการปกครองอย่าพยายามควบคุม ในการทำงานทำในสิ่งที่คุณชอบ ในชีวิตครอบครัวให้สมบูรณ์”
- “ธารน้ำทั้งหลายย่อมไหลไปสู่ทะเลเพราะอยู่ต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ความอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้มีพลัง หากคุณต้องการปกครองประชาชนคุณต้องวางตัวเองไว้ใต้พวกเขา หากคุณต้องการนำผู้คน คุณต้องเรียนรู้วิธีติดตามพวกเขา”
- “หยุดออกเดินทางแล้วคุณจะมาถึง หยุดค้นหาแล้วคุณจะเห็น หยุดวิ่งหนีแล้วคุณจะพบ”
- “ข้าพเจ้ามีเพียงสามสิ่งที่จะสอน ความเรียบง่าย ความอดทน ความเห็นอกเห็นใจ สามสิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของคุณ”
- “การสูญเสียไม่เลวร้ายเท่าการต้องการมากขึ้น”
- “เธอไม่แสดงตนจึงปรากฏชัด เธอไม่ยืนยันตัวเองดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับ เธอไม่โอ้อวดจึงได้บุญ เธอไม่พยายามและประสบความสำเร็จ เป็นเพราะเธอไม่ต่อกร จึงไม่มีใครต่อกรเธอได้”
- “น้ำขุ่นๆ ปล่อยไว้เดี๋ยวก็ใส”
- “ผู้ที่รู้จักคนอื่นเป็นคนฉลาด ผู้ที่รู้จักตนเองเป็นผู้รู้แจ้ง”
- “อนาคตที่ดีของคุณเริ่มต้นขึ้นในขณะนี้ สิ่งที่คุณมีอยู่ตอนนี้ ทุกเป้าหมายเป็นไปได้จากที่นี่”
- “ไม่มีอันตรายใดมากไปกว่าการประเมินคู่ต่อสู้ของคุณต่ำเกินไป”
- “เมื่อไม่มีความปรารถนา ทุกสิ่งล้วนสงบสุข”
- “หุบปาก ปิดกั้นประสาทสัมผัสของคุณ ทื่อความคมชัดของคุณ แก้ปมของคุณ ลดแสงจ้าของคุณ ชำระฝุ่นของคุณ นี่คือตัวตนเบื้องต้น”
- “เมื่อผู้คนมองว่าบางสิ่งสวยงาม สิ่งอื่นกลายเป็นสิ่งที่น่าเกลียด เมื่อมีคนเห็นว่าบางอย่างดี สิ่งอื่นกลายเป็นสิ่งเลวร้าย”
- “ผู้ที่ควบคุมผู้อื่นอาจมีอำนาจ แต่ผู้ที่ควบคุมตนเองได้ยังคงแข็งแกร่งกว่า”
- “การพยายามทำความเข้าใจก็เหมือนกับการเอาน้ำขุ่นๆ มีความอดทนที่จะรอ! จงนิ่งและปล่อยให้โคลนตกตะกอน”
- “เมื่อนักเรียนพร้อมครูจะปรากฏ… เมื่อศิษย์พร้อม… อาจารย์จะหายไป”
- “เพราะความรักยิ่งใหญ่ คนๆ หนึ่งจึงกล้าหาญ”
- “ความรักคือการตัดสินใจ ไม่ใช่อารมณ์!”
- “ถ้าคุณแก้ไขความคิด ชีวิตที่เหลือของคุณก็จะเข้าที่เข้าทาง”
- “ความสำเร็จนั้นอันตรายพอๆ กับความล้มเหลว ความหวังนั้นว่างเปล่าพอๆ กับความกลัว”
- “ความหวังและความกลัวเป็นทั้งภูตผีที่เกิดขึ้นจากการนึกถึงตนเอง เมื่อไม่เห็นตัวตนเป็นตัวตนแล้วเราจะต้องกลัวอะไร”
- “น้ำเป็นของเหลว อ่อนนุ่ม และยอมจำนน แต่น้ำจะกัดเซาะหินซึ่งแข็งและไม่ยอมออก ตามกฎแล้ว อะไรก็ตามที่ลื่นไหล นุ่มนวล และยอมจำนน จะเอาชนะทุกสิ่งที่แข็งและแข็ง นี่เป็นอีกหนึ่งความขัดแย้ง สิ่งที่นุ่มนวลคือความแข็งแกร่ง”
- “สุขภาพเป็นทรัพย์สินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความพอใจคือขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความมั่นใจคือเพื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
- “สุขภาพเป็นทรัพย์สินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความพอใจคือ“คำพูดมากมายนับไม่ถ้วน นับน้อยลง กว่าความสมดุลที่เงียบงัน ระหว่างหยินและหยาง”ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความมั่นใจคือเพื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
- “คำพูดมากมายนับไม่ถ้วน นับน้อยลง กว่าความสมดุลที่เงียบงัน ระหว่างหยินและหยาง”
- “มี เวลาที่จะมีชีวิตอยู่ และเวลาตาย แต่ไม่เคยที่จะปฏิเสธช่วงเวลานี้”
- “อดีตไม่มีพลังที่จะหยุดคุณจากการที่เป็นอยู่ในขณะนี้เพียงความคับข้องใจของคุณเกี่ยวกับที่ผ่านมาก็ทำได้ความคับข้องใจคืออะไร?สัมภาระของเก่าความคิดและอารมณ์”
- “เติมชามของคุณให้เต็มและมันจะหก ลับมีดของคุณต่อไป แล้วมันจะทื่อ”
- “ทำงานของคุณแล้วถอยกลับ เส้นทางเดียวสู่ความสงบ”
- “ความสมบูรณ์แบบคือความเต็มใจที่จะไม่สมบูรณ์”
- “คนที่ยืนหยัดในมุมมองของตนเองมากเกินไป จะมีเพียงไม่กี่คนที่เห็นด้วยกับเขา”
- “การเริ่มต้นใหม่มักถูกปลอมแปลงเป็นตอนจบที่เจ็บปวด”
- “จงอธิษฐานอย่างเงียบๆ ความเงียบสงบเปิดเผยความลับของนิรันดร”
- “ถ้าอยากรู้จักใคร ให้มองเข้าไปในใจ”
- “ผู้ที่รู้จักพอเพียง ย่อมมีเพียงพอเสมอ”
- “สีทำให้ตามืดบอด เสียงทำให้หูหนวก รสชาติทำให้มึนงง ความคิดบั่นทอนจิตใจ ความปรารถนาทำให้หัวใจเหี่ยวเฉา”
- “โลกเป็นของผู้ที่ปล่อยวาง”
- “ถ้าอยากอยู่ข้างหน้า ก็ทำเหมือนอยู่ข้างหลัง”
- “ให้มันนิ่งๆ แล้วจะค่อยๆ ชัดเจนเอง”
- “ความรักเป็นความลุ่มหลงที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะมันโจมตีสมอง หัวใจ และประสาทสัมผัสไปพร้อมๆ กัน”
- “ไม่มีภาพลวงตาใดยิ่งใหญ่ไปกว่าความกลัว”
- “ถ้าคุณแสดงตัว คุณจะไม่มีใครเห็น หากคุณยืนยันตัวเองคุณจะไม่ส่องแสง ถ้าคุณอวดก็ไร้บุญ หากคุณส่งเสริมตัวเอง คุณจะไม่มีทางประสบความสำเร็จ”
- “หากจะต้องมีสันติภาพในโลก
จะต้องมีสันติภาพในชาติ
ถ้าจะให้บ้านเมืองสงบสุข
ต้องมีความสงบสุขในเมือง
ถ้าจะให้บ้านเมืองสงบสุข
ต้องมีสันติภาพระหว่างเพื่อนบ้าน
หากจะมีสันติภาพระหว่างเพื่อนบ้าน
ต้องมีความสงบสุขในบ้าน
หากจะมีความสงบสุขในบ้าน
ต้องมีความสงบในใจ” - “สิ่งใดที่หยั่งรากลึกแล้วย่อมถอนออกไม่ได้”
- “ดูแลตอนจบเหมือนตอนเริ่มต้น”
- “ไม่แสวงหา ไม่คาดหวัง มีอยู่และต้อนรับได้ทุกสิ่ง”
- “สมบัติแห่งชีวิตย่อมขาดจากผู้ที่ยึดมั่น และได้มาจากผู้ที่ปล่อยวาง”
- “บางคนเสียแต่ได้กำไร บางคนได้และยังเสีย”
- “ปัญหายากๆ ในชีวิตมักจะเริ่มจากเรื่องง่ายๆ กิจการที่ยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ เสมอ”
- “เขาปราศจากการแสดงตน ดังนั้นเขาจึงส่องแสง”
- “ถ้าคุณไม่น่าไว้ใจ คนก็จะไม่ไว้ใจคุณ”
- “ถนนที่คุณพูดถึงได้ ไม่ใช่ถนนที่คุณเดินได้”
- “ความแข็งแกร่งและแข็งแกร่งอยู่ใต้พื้นดิน ในขณะที่ระบำอย่างอ่อนโยนและอ่อนแอบนสายลมเบื้องบน”
- “เหตุที่สวรรค์และโลกสามารถดำรงอยู่ได้และดำเนินต่อไปตราบนานเท่านาน เป็นเพราะสิ่งพวกนี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวมันเอง”
- “การโอ้อวดความมั่งคั่งและคุณธรรมนำมาซึ่งความตายของคุณ”
- “การรู้จักยอมแพ้คือความแข็งแกร่ง”
- “ถ้าคุณค้นหาทุกที่ แต่ไม่พบสิ่งที่คุณกำลังมองหา นั่นเป็นเพราะสิ่งที่คุณแสวงหาอยู่ในครอบครองของคุณแล้ว”