นิทานอีสป เรื่อง “แมว ไก่ และหนูน้อยไร้เดียงสา” ไทย-Eng

“แมว ไก่ และหนูน้อยไร้เดียงสา” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการอย่าตัดสินคนอื่นเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก บางคนดูไม่มีพิษไม่มีภัยแต่จริงๆ กลับร้าย บางคนภายนอกดูไม่ดี แต่ภายในเป็นคนดีก็ได้

นิทานอีสปเรื่องแมว ไก่ และหนูน้อยไร้เดียงสา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หนูตัวเล็กมากที่ไม่เคยเห็นอะไรในโลกนี้ เกือบจะเศร้าโศกในครั้งแรกที่มันได้ออกไปผจญภัย และนี่คือเรื่องราวที่มันเล่าให้แม่ฟังเกี่ยวกับการผจญภัยของมัน

A very young Mouse, who had never seen anything of the world, almost came to grief the very first time he ventured out. And this is the story he told his mother about his adventures.

“ข้ากำลังเดินเล่นอย่างสงบสุข ขณะที่ข้าเลี้ยวเข้าสนามถัดไป ฉันเห็นสัตว์ประหลาดสองตัว ตัวหนึ่งมีท่าทางใจดีและสง่างามมาก แต่อีกตัวเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่คุณจะจินตนาการได้ แม่น่าจะได้เห็นมัน”

“I was strolling along very peaceably when, just as I turned the corner into the next yard, I saw two strange creatures. One of them had a very kind and gracious look, but the other was the most fearful monster you can imagine. You should have seen him.

“บนศีรษะและด้านหน้าคอของเขาแขวนชิ้นเนื้อแดงดิบไว้ มันเดินไปมาอย่างกระสับกระส่าย เขย่งเท้าฉีกพื้น และเอาปีกฟาดสีข้างอย่างโหดเหี้ยม ทันทีที่มันเห็นข้า มันก็เปิดออก ปากที่แหลมของมันราวกับจะกลืนข้าเข้าไป แล้วเขาก็ปล่อยเสียงขันคำรามออกมาอย่างทะลุปรุโปร่งที่ทำให้ข้าตกใจแทบตาย”

“On top of his head and in front of his neck hung pieces of raw red meat. He walked about restlessly, tearing up the ground with his toes, and beating his arms savagely against his sides. The moment he caught sight of me he opened his pointed mouth as if to swallow me, and then he let out a piercing roar that frightened me almost to death.”

แม่เดาได้ไหมว่าคือใคร หนูน้อยของเราที่พยายามอธิบายให้แม่ของมันฟัง? ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไก่โรงนา และเป็นตัวแรกที่หนูตัวน้อยเคยเห็น

Can you guess who it was that our young Mouse was trying to describe to his mother? It was nobody but the Barnyard Cock and the first one the little Mouse had ever seen.

“ถ้าไม่ใช่เพราะสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวตัวนั้น” หนูพูดต่อ “ข้าน่าจะรู้จักสิ่งมีชีวิตที่น่ารักตัวนี้ ซึ่งดูดีและอ่อนโยนมาก เขามีขนหนานุ่ม ใบหน้าอ่อนโยน และดู มันดูสงบเสงี่ยมมากแม้ว่าดวงตาของเขาจะสดใสและเป็นประกายก็ตาม เมื่อเขามองมาที่ฉันมันก็โบกหางยาวและยิ้ม

“If it had not been for that terrible monster,” the Mouse went on, “I should have made the acquaintance of the pretty creature, who looked so good and gentle. He had thick, velvety fur, a meek face, and a look that was very modest, though his eyes were bright and shining. As he looked at me he waved his fine long tail and smiled.

“ฉันแน่ใจว่ามันกำลังจะพูดกับข้าตอนที่สัตว์ประหลาดที่ข้าเคยบอกแม่เกี่ยวกับมัน มันกรีดร้องออกมา และข้าก็วิ่งหนีเอาชีวิตรอด”

“I am sure he was just about to speak to me when the monster I have told you about let out a screaming yell, and I ran for my life.”

“ลูกเอ๋ย” แม่หนูพูด “สิ่งมีชีวิตที่อ่อนโยนที่ลูกเห็นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแมว ภายใต้รูปลักษณ์ที่ใจดีของมัน มันมีความแค้นต่อพวกเราทุกคน ส่วนอีกตัวไม่ใช่อะไรนอกจากไก่ที่ไม่ทำอันตรายกับเรา อย่างน้อยที่สุด สำหรับแมว พวกมันกินเรา ดังนั้น จงขอบคุณเถิด ลูกเอ๋ย ที่เจ้ารอดชีวิตมาได้ และตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ อย่าตัดสินใครจากรูปลักษณ์ของพวกเขา”

“My son,” said the Mother Mouse, “that gentle creature you saw was none other than the Cat. Under his kindly appearance, he bears a grudge against every one of us. The other was nothing but a bird who wouldn’t harm you in the least. As for the Cat, he eats us. So be thankful, my child, that you escaped with your life, and, as long as you live, never judge people by their looks.”

นิทานอีสปแมว ไก่ และหนูน้อยไร้เดียงสา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“รูปลักษณ์ภายนอกสามารถหลอกลวงได้ และไม่ควรตัดสินผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว”

  • รูปลักษณ์ภายนอกสามารถหลอกลวงได้: เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงอันตรายของการตัดสินผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว หนูตัวเล็กเกือบตกหลุมพรางของการคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่ดูอ่อนโยน(แมว) ไม่มีอันตราย ในขณะที่สัตว์ประหลาดที่น่ากลัว(ไก่โรงนา) นั้นอันตราย อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับกลายเป็นตรงกันข้าม เป็นการเตือนใจว่าอย่าตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับผู้อื่นโดยไม่ทราบลักษณะหรือเจตนาที่แท้จริงของพวกเขา
  • สัญชาตญาณที่เชื่อถือได้: ความกลัวโดยสัญชาตญาณของหนูตัวเล็กที่มีต่อสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวของไก่ช่วยชีวิตมันไว้ สัญชาตญาณมีความสำคัญต่อการอยู่รอดและไม่ควรละเลย บางครั้งความรู้สึกสัญชาตญาณของเราสามารถเตือนเราถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดก็ตาม
  • เรียนรู้จากประสบการณ์: การเผชิญหน้าของหนูกับแมวและไก่โรงนาเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีค่า จากการเผชิญหน้าครั้งนี้ หนูน้อยได้รับความรู้เกี่ยวกับอันตรายในโลกภายนอก การเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นและหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  • ภูมิปัญญาของผู้อวุโสกว่า: คำแนะนำของแม่หนูที่มีต่อลูกชายเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟังและเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์และสติปัญญามากกว่า คำแนะนำของแม่หนูช่วยป้องกันไม่ให้ลูกของเธอตกหลุมพรางมรณะ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการขอคำปรึกษาจากผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจ
  • วางใจแต่ระมัดระวัง: แม้ว่าการเผชิญหน้ากับแมวของหนูจะเป็นอันตราย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสัตว์ที่ดูเป็นมิตรทั้งหมดจะเป็นอันตราย เรื่องราวสอนให้เราระมัดระวังเมื่อเข้าใกล้สถานการณ์หรือบุคคลที่ไม่คุ้นเคย แต่อย่าให้ความกลัวขัดขวางไม่ให้เราสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ
  • การยอมรับธรรมชาติของผู้อื่น: เรื่องราวเน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของผู้อื่น สิ่งมีชีวิตบางตัวอาจดูใจดีและไม่มีอันตราย แต่ก็ยังอาจเป็นภัยคุกคามได้ ในทางกลับกัน สิ่งมีชีวิตที่ดูน่ากลัวอาจไม่เป็นอันตราย สิ่งสำคัญคือต้องประเมินผู้อื่นจากการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขามากกว่าเพียงแค่รูปร่างหน้าตา

“Appearances can be deceptive, and it’s wise not to judge others solely based on how they look.”

  • Appearances can be deceptive: The story illustrates the danger of judging others solely based on their outward appearance. The young Mouse almost fell into the trap of assuming that the gentle-looking creature (the Cat) was harmless, while the fearful monster (the Barnyard Cock) was dangerous. However, the truth turned out to be the opposite. It’s a reminder not to make assumptions about others without knowing their true nature or intentions.
  • Trust instincts: The young Mouse’s instinctual fear of the fearful monster (Barnyard Cock) actually saved his life. Instincts can be crucial for survival and should not be ignored. Sometimes, our gut feelings can warn us of potential dangers even when we cannot fully understand the situation.
  • Learn from experiences: The Mouse’s encounter with the Cat and the Barnyard Cock was a valuable learning experience. Through this encounter, the young Mouse gained knowledge about the dangers in the outside world. Learning from past experiences can help us make better decisions and avoid potential harm in the future.
  • Wisdom of elders: The Mother Mouse’s advice to her son highlights the importance of listening to and learning from those who have more experience and wisdom. The elder Mouse’s guidance prevented her child from falling into a deadly trap, showing the significance of seeking counsel from those who have knowledge and understanding.
  • Trust but be cautious: While the Mouse’s encounter with the Cat was dangerous, it doesn’t mean that all friendly-looking creatures are harmful. The story teaches us to be cautious when approaching unfamiliar situations or individuals but not to let fear prevent us from forming new relationships or connections.
  • Acknowledging the nature of others: The story emphasizes the importance of understanding the true nature of others. Some beings might appear kind and harmless, but they could still be potential threats. On the other hand, creatures that seem intimidating might be harmless. It is essential to assess others based on their actions and behavior rather than just their appearance.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ให้บทเรียนชีวิตอันมีค่าเกี่ยวกับการตัดสิน สัญชาตญาณ การเรียนรู้ สติปัญญา ความระมัดระวัง และการเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของผู้อื่น บทเรียนเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ชี้นำเราให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นและนำทางผ่านโลกที่ซับซ้อนด้วยความตระหนักและความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เจ้าล่อจอมดื้อรั้น” ไทย-Eng

“เจ้าล่อจอมดื้อรั้น” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความพยายาม คุณค่าของความอดทน และการพิจารณาทางเลือกต่างๆ ในชีวิต คิดให้ดีก่อนจะลงมือทำ ทางที่ง่ายหรือยากอยู่ที่เราเลือกเอง

นิทานอีสปเรื่องเจ้าล่อจอมดื้อรั้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีล่อที่ดื้อรั้นและแข็งแรง เจ้าล่อทำงานในฟาร์มโดยแบกพืชผลและอุปกรณ์จำนวนมากจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง มันเป็นที่รู้จักในด้านความอดทนและความแข็งแกร่ง แต่มันก็ขึ้นชื่อเรื่องความดื้อรั้นเช่นกัน

Once upon a time, there was a stubborn and strong mule. The mule worked on a farm, carrying heavy loads of crops and equipment from one place to another. He was known for his endurance and strength, but he was also notorious for his stubbornness.

วันหนึ่ง ขณะที่ล่อกำลังแบกกระสอบข้าวเต็มกระสอบ มันบังเอิญเจอทางแคบและเต็มไปด้วยหิน เส้นทางนั้นยากแก่การสำรวจ และกระสอบก็หนักอยู่บนหลังของเจ้าล่อ เจ้าล่อไม่ต้องการใช้เส้นทางที่ยากลำบากและชอบถนนที่กว้างและเรียบกว่า

One day, as the mule was carrying a load of sacks filled with wheat, he came across a narrow and rocky path. The path was difficult to traverse, and the sacks weighed heavily on mule’s back. Mule didn’t want to take the difficult path and preferred the wider, smoother road.

“ไม่มีทาง! ข้าไม่ไปทางหินนั้น” เจ้าล่อประกาศ ปฏิเสธที่จะก้าวต่อไป

“No way! I’m not going through that rocky path,” Mule declared, refusing to move forward.

ชาวนาซึ่งเป็นผู้นำเจ้าล่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้มันเดินไปตามทางหินเพราะเป็นทางลัดและประหยัดเวลา แต่เจ้าล่อก็มุ่งมั่นที่จะยึดติดกับความชอบของมัน มันรั้งขาไว้ไม่ยอมขยับ

The farmer, who was leading mule, tried to persuade him to take the rocky path, as it was a shortcut and would save time. But mule was determined to stick to his preference. He braced his legs and refused to budge.

หลังจากการเกลี้ยกล่อมและต่อสู้ดิ้นรน ในที่สุด ชาวนาก็ยอมแพ้ต่อความดื้อรั้นของเจ้าล่อ พวกเขาใช้เส้นทางที่ยาวกว่า และใช้เวลานานเป็นสองเท่ากว่าจะถึงจุดหมาย

After much persuasion and struggle, the farmer finally gave in to mule’s stubbornness. They took the longer route, and it took them twice as long to reach their destination.

เมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทาง ชาวนาก็ตบหลังของเจ้าล่อและพูดว่า “เจ้าเป็นล่อที่แข็งแรง แต่ความดื้อรั้นของเจ้าทำให้เราเสียเวลาและความพยายาม บางครั้งเส้นทางที่ยากลำบากอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายของเรา”

As they reached the end of the journey, the farmer patted mule’s back and said, “You are a strong mule, but your stubbornness cost us time and effort. Sometimes, the difficult path may be the best way to reach our goals.”

เจ้าล่อไตร่ตรองคำพูดของชาวไร่ในขณะที่มันตระหนักว่าความดื้อรั้นของมันไม่เพียงทำให้คนอื่นไม่สะดวก แต่ยังทำให้ความคืบหน้าของพวกเขาล่าช้าอีกด้วย

The mule pondered the farmer’s words as he realized that his stubbornness had not only inconvenienced others but had also delayed their progress.

ตั้งแต่วันนั้น เจ้าล่อได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความยืดหยุ่นและคุณค่าของการพิจารณามุมมองทางเลือก เขาเข้าใจว่าบางครั้งเส้นทางที่ง่ายกว่าอาจไม่ใช่เส้นทางที่ให้ประโยชน์สูงสุด การเปิดใจลองแนวทางใหม่ๆ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

From that day on, The mule learned an important lesson about flexibility and the value of considering alternative perspectives. He understood that sometimes, the easier path might not be the most beneficial one. Being open to trying new approaches and adapting to different situations could lead to better outcomes.

นิทานอีสปล่อจอมดื้อรั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความดื้อรั้นสามารถขัดขวางความก้าวหน้าและความสำเร็จได้ ความยืดหยุ่นและการเปิดใจกว้างนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่า”

  • ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว: ความดื้อรั้นของเจ้าล่อ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ บางครั้งเราต้องมีความยืดหยุ่นในแนวทางของเราเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การพิจารณามุมมองทางเลือก: เรื่องราวกระตุ้นให้เราพิจารณามุมมองและทางเลือกต่างๆ ก่อนตัดสินใจ การยืนกรานในเส้นทางที่เจ้าล่อชอบ ทำให้เกิดความล่าช้าและความไม่สะดวก เตือนเราถึงคุณค่าของการพิจารณาทางเลือกอื่น
  • สร้างความสมดุลระหว่างความแข็งแกร่งกับความร่วมมือ: ความแข็งแกร่งของเจ้าล่อนั้นน่ายกย่อง แต่การที่มันไม่ต้องการร่วมมือและฟังคำแนะนำของชาวนาสร้างความท้าทาย เรื่องราวนี้เตือนเราว่าความแข็งแกร่งที่รวมกับความร่วมมือและการทำงานเป็นทีมสามารถนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
  • เรียนรู้จากความผิดพลาด: เจ้าล่อเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขาและเต็มใจมากขึ้นที่จะพิจารณาเส้นทางที่แตกต่างกันในอนาคต เรื่องราวกระตุ้นให้เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและประสบการณ์ของเราเองเพื่อเติบโตและปรับปรุง

“Stubbornness can hinder progress and success; flexibility and open-mindedness lead to better outcomes.”

  • Flexibility and adaptability: Mule’s stubbornness highlights the importance of being open to change and adaptable to different circumstances. Sometimes, we need to be flexible in our approach to achieve our goals effectively.
  • Considering alternative perspectives: The story encourages us to consider different viewpoints and options before making decisions. Mule’s insistence on his preferred path caused delays and inconveniences, reminding us of the value of considering alternatives.
  • Balancing strength with cooperation: Mule’s strength was commendable, but his unwillingness to cooperate and listen to the farmer’s guidance created challenges. The story reminds us that strength combined with cooperation and teamwork can lead to greater success.
  • Learning from mistakes: Mule learned from his mistake and became more willing to consider different paths in the future. The story encourages us to learn from our own mistakes and experiences to grow and improve.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับตัว และการพิจารณามุมมองทางเลือก มันเตือนเราว่าการเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงและการเรียนรู้จากประสบการณ์ของเราสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและการเติบโตในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ลาขยันกับตั๊กแตนร่าเริง” ไทย-Eng

“ลาขยันกับตั๊กแตนร่าเริง” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงคุณค่าของการทำงาน การมีเป้าหมายในชีวิต การรักษาสุมดลระหว่างกันทำงานและพักผ่อน และสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน

นิทานอีสปเรื่องลาขยันกับตั๊กแตนร่าเริง

กาลครั้งหนึ่ง ลาขยันขันแข็งตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าอันเงียบสงบ ลานั้นยุ่งตลอดเวลาแบกของหนักและทำหน้าที่ของมันให้สำเร็จ มันภูมิใจในงานของเขามากและเชื่อว่าผลผลิตเป็นกุญแจสู่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ

Once upon a time, a hardworking and diligent donkey lived in a peaceful meadow. The donkey was always busy, carrying heavy loads and fulfilling his duties. He took great pride in his work and believed that productivity was the key to a successful life.

วันหนึ่งในฤดูร้อนอันอบอุ่น ขณะที่ลากำลังไถนา มันได้ยินเสียงฝูงตั๊กแตนร้องเจื้อยแจ้วในพงหญ้าใกล้ๆ ด้วยความสนใจ ลาจึงเดินเข้ามาหาพวกมันและสังเกตเห็นธรรมชาติที่ร่าเริงและไร้กังวลของพวกมัน ดูเหมือนพวกมันจะสนุกสนานไปทั้งวัน กระโดดโลดเต้นและร้องเพลงอย่างไร้กังวลในโลกนี้

One warm summer day, as the donkey was plowing the fields, he heard a group of grasshoppers singing and chirping in the nearby grass. Intrigued, the donkey approached them and noticed their carefree and joyous nature. They seemed to be enjoying the day, hopping and singing without a worry in the world.

ลารู้สึกอิจฉาเล็กน้อยจึงพูดกับตั๊กแตนว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงเสียเวลาไปกับการร้องเพลงและกระโดดไปรอบๆ พวกเจ้าไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการทำงานหนัก พวกเจ้าควรจะรับผิดชอบและทำงานอย่างข้า”

The donkey, feeling a bit envious, said to the grasshoppers, “Why do you waste your time singing and hopping around? Don’t you understand the importance of hard work? You should be responsible and productive like me.”

ตั๊กแตนยิ้มด้วยใบหน้าตอบว่า “ลาที่รัก พวกเราเข้าใจถึงคุณค่าของการทำงานหนัก แต่เราก็ยังชื่นชมความงามของชีวิตและความสำคัญของการมีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน พวกเราพบความสุขในเพลงและการเต้นรำของเรา และพวกเราโอบรับความสุขเรียบง่ายที่อยู่รอบตัวเรา”

The grasshoppers, with smiles on their faces, replied, “Dear donkey, we understand the value of hard work, but we also appreciate the beauty of life and the importance of enjoying the present moment. We find happiness in our songs and dances, and we embrace the simple pleasures that surround us.”

ลาไตร่ตรองคำพูดของพวกเขาและตระหนักว่าแม้ความขยันหมั่นเพียรของมันทำให้มันมีความมั่นคงและมีเป้าหมาย มันก็ลืมที่จะใช้เวลากับตัวเองและชื่นชมกับความสุขในชีวิต มันหมกมุ่นกับงานมากจนละเลยความเป็นอยู่ของตนเองและความสุขง่ายๆ ที่จะนำความสุขมาให้

The donkey pondered their words and realized that while his diligence brought him stability and purpose, he had forgotten to take time for himself and appreciate the joys of life. He had become so consumed by work that he had neglected his own well-being and the simple pleasures that could bring him happiness.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ลาก็เรียนรู้ที่จะรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน มันเข้าใจว่าแม้การทำงานหนักเป็นสิ่งสำคัญ การหาช่วงเวลาแห่งความสุข ชื่นชมความงามของธรรมชาติ และใช้เวลาในการพักผ่อนและฟื้นฟูก็สำคัญไม่แพ้กัน

From that day forward, the donkey learned to strike a balance between work and leisure. He understood that while hard work was essential, it was equally important to find moments of joy, to appreciate the beauty of nature, and to take time for relaxation and rejuvenation.

นิทานอีสปลาขยันกับตั๊กแตนร่าเริง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การสร้างสมดุลระหว่างการทำงานหนักกับการเพลิดเพลินกับความสุขที่เรียบง่ายของชีวิตเป็นกุญแจสำคัญในการดำรงอยู่อย่างสมหวังและรอบด้าน”

  • การหาสมดุล: เนื้อเรื่องเน้นความสำคัญของการหาสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน มันเตือนเราว่าแม้ว่างานจะมีความสำคัญ แต่ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เวลาในการพักผ่อน เพลิดเพลิน และดูแลตัวเอง
  • เปิดรับความสุขง่ายๆ ตั๊กแตนสอนเราให้ชื่นชมความสุขง่ายๆ ที่ชีวิตมีให้ ความสุขสามารถพบได้จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การร้องเพลง การเต้นรำ หรือเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติ
  • สติและการแสดงตน: เรื่องราวกระตุ้นให้เราอยู่กับปัจจุบันและดื่มด่ำกับประสบการณ์และความสุขที่อยู่รอบตัวเรา มันเตือนเราว่าอย่าหมกมุ่นอยู่กับงานจนลืมมีความสุขกับปัจจุบัน
  • การดูแลตนเองและความเป็นอยู่ที่ดี: การตระหนักรู้ของลาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลตนเองและการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของเรา มันเตือนให้เราให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ของเรา

“Balancing hard work with enjoying life’s simple pleasures is the key to a fulfilling and well-rounded existence.”

  • Finding balance: The story emphasizes the importance of finding a balance between work and leisure. It reminds us that while work is important, it is equally essential to take time for rest, enjoyment, and self-care.
  • Embracing simple pleasures: The grasshoppers teach us to appreciate the simple joys that life offers. Happiness can be found in the little things, such as singing, dancing, or enjoying the beauty of nature.
  • Mindfulness and presence: The story encourages us to be present in the moment and to savor the experiences and joys that surround us. It reminds us not to be so consumed by work that we forget to enjoy the present.
  • Self-care and well-being: The donkey’s realization highlights the importance of self-care and taking care of our well-being. It reminds us to prioritize our physical, mental, and emotional health.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เน้นความสำคัญของการหาสมดุลระหว่างงานกับเวลาว่าง การเห็นคุณค่าของความสุขง่ายๆ การฝึกสติ และการให้ความสำคัญกับตนเอง การดูแล

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “สองสนัขกับหนังสัตว์” ไทย-Eng

“สองสนัขกับหนังสัตว์” เป็นนิทานอีสปที่เตือนใจเราถึงการแสวงหาความสุข เพราะความสุขและความทุกข์เป็นสิ่งชั่วคราวทั้งสิ้น และยังสอนให้เรารู้จักการปล่อยวาง

นิทานอีสปเรื่องสองสนัขกับหนังสัตว์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองตลาดที่จอแจ มีสุนัขสองตัวชื่อแม็กซ์และร็อคกี้อาศัยอยู่ พวกมันเป็นเพื่อนสนิทกันและมักจะใช้ชีวิตร่วมกัน ตระเวนไปตามท้องถนนเพื่อหาอาหารและการผจญภัยด้วยกัน

Once upon a time, in a bustling market town, there lived two dogs named Max and Rocky. They were close friends and always spent their days together, roaming the streets in search of food and adventure together.

วันหนึ่ง ขณะที่พวกมันกำลังเดินสำรวจตลาด พวกมันได้พบกับกองหนังสัตว์ที่ถูกทิ้งไว้ หนังเหล่านี้เป็นของเหลือจากโรงฟอกหนังในท้องถิ่น และมีกลิ่นเหม็นและสกปรกมาก แต่แม็กซ์และร็อคกี้ซึ่งเป็นสุนัขก็ไม่รังเกียจกลิ่นนี้และเห็นโอกาสสำหรับสถานที่อันอบอุ่นเพื่อพักผ่อน

One day, as they were exploring the market, they came across a pile of discarded animal hides. The hides were leftovers from the local tanner’s workshop, and they were incredibly smelly and dirty. But Max and Rocky, being dogs, didn’t mind the smell and saw an opportunity for a warm place to rest.

แม็กซ์อุทานว่า “ดูที่หนังพวกนี้สิ ร็อคกี้! มันอาจจะมีกลิ่น แต่หนาและอุ่น เราสามารถขดตัวและนอนหลับได้อย่างสบาย”

Max exclaimed, “Look at these hides, Rocky! They may be smelly, but they are thick and warm. We can curl up on them and sleep comfortably.”

ร็อคกี้เห็นด้วย และทั้งคู่ก็นั่งลงที่หนังสัตว์ พวกมันพอใจกับการค้นพบของพวกมัน เพลิดเพลินกับความอบอุ่นและความสะดวกสบายที่มีให้

Rocky agreed, and they both settled down on the hides. They were content with their discovery, enjoying the warmth and comfort it provided.

เมื่อวันผ่านไป แดดเริ่มร้อนจัด หนังสัตว์ก็ดูดซับความร้อน ทำให้จุดที่แม็กซ์และร็อคกี้นอนอยู่นั้นทนไม่ได้ ในไม่ช้าพวกเขาก็พบว่าตัวเองหายใจหอบและอึดอัด

As the day passed, the sun became scorching hot, and the hides absorbed the heat, making the spot where Max and Rocky lay unbearable. They soon found themselves panting and uncomfortable.

เมื่อรู้ว่าพวกเขาทนร้อนไม่ไหว แม็กซ์จึงเสนอ “ไปหาที่ร่มๆ เพื่อพักผ่อนกันเถอะ ที่นี่ร้อนเกินไปสำหรับเราแล้ว”

Realizing they couldn’t bear the heat, Max suggested, “Let’s find a shady spot to rest. This place has become too hot for us.”

ร็อคกี้พยักหน้าเห็นด้วย แล้วทั้งคู่ก็ถอยออกจากที่ซ่อนเพื่อหาร่มเงา เมื่อพวกมันพบจุดที่เย็นกว่า พวกมันหันกลับมามองที่กองหนังสัตว์และสังเกตเห็นบางสิ่งที่น่าสนใจ

Rocky nodded in agreement, and they both moved away from the hides in search of shade. As they found a cooler spot, they looked back at the pile of hides and noticed something interesting.

หนังที่เคยดูอบอุ่นและสบายตอนนี้ถูกทิ้งร้างภายใต้แสงแดดที่แผดเผา พวกมันสูญเสียหนังของพวกมัน และสองสุนัขก็ตระหนักว่าความสบายในตอนแรกนั้นสั้น

The hides that once seemed warm and cozy were now abandoned under the scorching sun. They had lost their appeal, and the dogs realized that their initial comfort was short-lived.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม็กซ์และร็อคกี้ก็ได้บทเรียนสำคัญ พวกเขาเข้าใจว่าไม่ควรแสวงหาความสะดวกสบายอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะอาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นการชั่วคราวและทำให้เข้าใจผิด

From that day on, Max and Rocky learned an important lesson. They understood that comfort and convenience should not be pursued blindly, as they might prove to be temporary and misleading.

นิทานอีสปสองสนัขกับหนังสัตว์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความสะดวกสบายชั่วคราวอาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่สบายในระยะยาว ก็ควรที่จะพิจารณาผลที่ตามมาของการแสวงหาความพึงพอใจทันที”

  • ความเย้ายวนใจของการปลอบประโลมทันที: เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าแม็กซ์และร็อคกี้ถูกดึงดูดเข้าหาความสบายครั้งแรกของหนังโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาในระยะยาว
  • การแสวงหาความสุขชั่วครั้งชั่วคราว: การที่สุนัขมุ่งความสนใจไปที่การปลอบประโลมใจในระยะสั้นโดยไม่พิจารณาถึงสภาวะที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เรานึกถึงอันตรายของการแสวงหาความพึงพอใจในทันทีโดยไม่คิดถึงอนาคต
  • คุณค่าของการมองการณ์ไกล: เมื่อสุนัขย้ายไปยังจุดที่มีร่มเงามากขึ้น พวกมันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมองการณ์ไกลและความสามารถในการคิดล่วงหน้าก่อนตัดสินใจ
  • หลีกเลี่ยงความหุนหันพลันแล่น: เรื่องราวกระตุ้นให้เราหลีกเลี่ยงการกระทำหุนหันพลันแล่นและประเมินผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกของเราอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ

“Temporary comforts can lead to discomfort in the long run; it’s wise to consider the consequences of seeking immediate gratification.”

  • The allure of immediate comfort: The story illustrates how Max and Rocky were drawn to the initial comfort of the hides without considering the long-term consequences.
  • Seeking temporary pleasures: The dogs’ focus on short-term comfort without considering the changing conditions reminds us of the danger of seeking instant gratification without thinking about the future.
  • The value of foresight: As the dogs moved to a shadier spot, they demonstrated the importance of foresight and the ability to think ahead before making decisions.
  • Avoiding impulsivity: The story encourages us to avoid acting impulsively and to carefully evaluate the potential outcomes of our choices before committing to them.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เราคำนึงถึงผลที่ตามมาจากการกระทำและการตัดสินใจของเรา ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกในทันที และให้ใช้การมองการณ์ไกลและความระมัดระวังในการตัดสินใจเลือก มันเตือนเราว่าปัญญาที่แท้จริงอยู่ที่การคิดนอกเหนือจากช่วงเวลาปัจจุบันและชั่งน้ำหนักผลประโยชน์ระยะยาวของการตัดสินใจของเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ลิงกับแมว” ไทย-Eng

“ลิงกับแมว” เป็นนิทานอีสปที่เราถึงการพึ่งพาตัวเองนั้นดีที่สุด ก่อนจะหวังการพึ่งพาจากใครก็ตาม เพราะคนไม่แน่นอน และยังสอนให้เราเรื่องการเลือกคบเพื่อน

นิทานอีสปเรื่องลิงกับแมว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ลิงแสนฉลาดกับแมวอาศัยอยู่ด้วยกันในป่า พวกมันเป็นเพื่อนที่ดีและหาทางช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอ วันหนึ่งขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นไปตามต้นไม้ พวกมันก็ได้พบกับงานเลี้ยงอันเอร็ดอร่อยโดยมนุษย์

Once upon a time, a clever monkey and a cunning cat lived together in the forest. They were good friends and always found ways to help each other. One day, as they were strolling through the trees, they came across a delicious feast laid out by humans.

ลิงตัวนั้นคล่องแคล่วว่องไวกระโดดลงมาจากกิ่งไม้และเริ่มเขมือบอาหารอย่างกระตือรือร้น แมวไม่ชำนาญในการปีนป่าย มองจากด้านบนอย่างใจจดใจจ่อ ไม่สามารถไปถึงงานเลี้ยงได้

The monkey, being agile and nimble, jumped down from the branches and eagerly began devouring the food. The cat, not as skilled in climbing, watched longingly from above, unable to reach the feast.

ลิงรู้สึกเสียใจแทนเพื่อนของมัน ลิงจึงพูดว่า “อย่ากังวล เจ้าแมวที่รัก ข้าจะร่วมงานเลี้ยงนี้กับเจ้า แต่คุณต้องลงมาร่วมกับข้า”

Feeling sorry for his friend, the monkey said, “Don’t worry, dear cat. I will share this feast with you. But you must come down and join me.”

แมวลังเล กลัวที่จะปีนลงจากต้นไม้สูง “ข้ากลัวว่าฉันจะตกลงไปและได้รับบาดเจ็บ” เธอตอบ

The cat hesitated, fearful of climbing down the tall tree. “I’m afraid I’ll fall and get hurt,” she replied.

ลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้ามีความคิด ทำไมเจ้าไม่ผูกหางของเจ้าไว้ที่หางของข้า ฉันจะเหวี่ยงลงมาและนำอาหารขึ้นมาให้ข้า”

The monkey thought for a moment and then said, “I have an idea! Why don’t you tie your tail to mine? I will swing down and bring the food up to you.”

แมวพบว่าแนวคิดนี้น่าสนใจและเห็นด้วย เธอผูกหางของเธอไว้กับลิงและจับให้แน่นในขณะที่มันเหวี่ยงลงมา รวบรวมอาหารไว้ในมือของมัน แล้วปีนกลับขึ้นไปเพื่อแบ่งปันกับเธอ

The cat found the idea intriguing and agreed. She tied her tail to the monkey’s and held on tightly as he swung down, gathered food in his hands, and climbed back up to share it with her.

ข้อตกลงนี้ดำเนินต่อไประยะหนึ่ง โดยลิงตัวดังกล่าวได้ปีนขึ้นไปบนที่สูงและร่วมงานเลี้ยงกับแมว แต่อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ลิงบินลงเขาสังเกตเห็นผีเสื้อที่สวยงามกระพือปีกอยู่ใกล้ๆ หลงใหลในความงามของมัน มันวิ่งไล่ตามมันอย่างหุนหันพลันแล่นโดยลืมเรื่องแมวไป

This arrangement continued for a while, with the monkey braving the heights and sharing the feast with the cat. But one day, as the monkey swung down, he noticed a beautiful butterfly fluttering nearby. Captivated by its beauty, he impulsively chased after it, forgetting about the cat.

แมวที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ร้องว่า “เจ้าลิง เจ้าอยู่ไหน อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่ แบบนี้!”

The cat, left hanging from the tree, cried out, “Monkey, where are you? Don’t leave me here!”

แต่ลิงหมกมุ่นอยู่กับผีเสื้อเกินกว่าจะได้ยินเสียงร้องของมัน ในที่สุดแมวก็ต้องคลายหางออกและหาทางลงไปเอง เธอร่อนลงบนพื้นอย่างปลอดภัย แต่งานเลี้ยงเลิกไปนานแล้ว

But the monkey was too preoccupied with the butterfly to hear her cries. Eventually, the cat had to untie her tail and find her own way down. She landed on the ground safely, but the feast was long gone.

เจ้าเหมียวรู้สึกผิดหวังและเสียใจที่ลิงทรยศ แมวได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่า เธอตระหนักว่าการพึ่งพาผู้อื่นเพียงอย่างเดียวเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอาจมีความเสี่ยงและคาดเดาไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเธอก็พึ่งพาตนเองและเป็นอิสระ

Disappointed and saddened by the monkey’s betrayal, the cat learned a valuable lesson. She realized that relying solely on others for one’s well-being can be risky and unpredictable. From that day on, she became self-reliant and independent.

นิทานอีสปลิงกับแมว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงพึ่งพาตนเองก่อนเสมอ การพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไปอาจนำไปสู่ความผิดหวังได้”

  • การพึ่งพาตนเองและความเป็นอิสระ: ประสบการณ์ของแมวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพึ่งพาตนเองและไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้อื่นเพียงอย่างเดียวสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีของเรา มันกระตุ้นให้เราพัฒนาทักษะและทรัพยากรของเราเอง เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้
  • ความเชื่อใจและการทรยศ: เรื่องราวแสดงให้เห็นถึงผลที่ตามมาของความไว้วางใจที่หายไปและความเจ็บปวดจากการทรยศ มันเตือนเราให้ระมัดระวังในการไว้วางใจผู้อื่นและเลือกเพื่อนของเราอย่างชาญฉลาด
  • ความหุนหันพลันแล่นและผลที่ตามมา: การตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นของลิงที่จะไล่ตามผีเสื้อโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ของแมว แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการคิดผ่านการกระทำของเรา และพิจารณาถึงผลกระทบที่พวกมันอาจมีต่อผู้อื่น
  • ความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่น: ความสามารถของแมวในการปรับตัวและหาทางลงต้นไม้เองแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการเอาชนะความท้าทาย

“Always depend on yourself first, for relying too much on others can lead to disappointment.”

  • Self-reliance and independence: The cat’s experience highlights the importance of being self-reliant and not solely depending on others for our well-being. It encourages us to develop our own skills and resources, ensuring that we can take care of ourselves.
  • Trust and betrayal: The story demonstrates the consequences of misplaced trust and the pain of betrayal. It reminds us to be cautious in placing our trust in others and to choose our companions wisely.
  • Impulsivity and consequences: The monkey’s impulsive decision to chase after the butterfly without considering the cat’s predicament showcases the importance of thinking through our actions and considering the impact they may have on others.
  • Adaptability and resilience: The cat’s ability to adapt and find her own way down the tree demonstrates resilience and the capacity to overcome challenges.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของการพึ่งพาตนเอง ความไว้วางใจ ผลที่ตามมาของความหุนหันพลันแล่น ความสามารถในการปรับตัว และความยืดหยุ่น มันเตือนให้เรารับผิดชอบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเราและเลือกเพื่อนของเราอย่างชาญฉลาด

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “กระต่าย พังพอน และแมว” ไทย-Eng

“กระต่าย พังพอน และแมว” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการใช้สติปัญญา และความฉลาด มักดีกว่าการใช้ความองอาจ และสอนให้เรารู้ค่าถึงความอดทนและการวางแผน

นิทานอีสปเรื่องกระต่าย พังพอน และแมว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กระต่ายแสนฉลาดและซุกซนอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าอันเงียบสงบ มันเป็นที่รู้จักในด้านความเฉลียวฉลาดและไหวพริบ วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังกระโดดผ่านทุ่งหญ้า มันได้พบกับพังพอนและแมวที่กำลังโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อน

Once upon a time, a clever and mischievous rabbit lived in a peaceful meadow. He was known for his quick wit and cunning ways. One day, as he was hopping through the meadow, he came across a weasel and a cat engaged in a heated argument.

พังพอนยิ้มเจ้าเล่ห์อวดว่า “ข้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลับๆ ล่อๆ ที่สุดในทุ่งหญ้านี้ ข้าสามารถเอาชนะใครก็ได้และจับเหยื่อของข้าโดยไม่มีใครสังเกตเห็น”

The weasel, with a sly grin, boasted, “I am the sneakiest creature in this meadow. I can outwit anyone and catch my prey without being noticed.”

แมวซึ่งไม่มีใครยอมถอยตอบกลับว่า “โอ้ เจ้าคิดว่าเจ้าฉลาดมาก แต่ข้าเร็วและว่องไวที่สุด ข้าสามารถตะครุบเหยื่อของข้าด้วยความเร็วดุจสายฟ้า”

The cat, not one to back down, retorted, “Oh, you think you’re so clever, but I am the fastest and most agile. I can pounce on my prey with lightning speed.”

กระต่ายซึ่งชอบก่อกวนอยู่เสมอจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าร่วมการสนทนา “อืม เพื่อนของข้าทั้งหลาย” มันพูด “เจ้าทั้งคู่มีพรสวรรค์เฉพาะตัว แต่ข้าคิดว่าข้าฉลาดที่สุดในบรรดาทั้งหมด ข้าสามารถใช้ความฉลาดของข้าเพื่อเอาชนะเจ้าทั้งสองคนได้”

The rabbit, always one for mischief, couldn’t resist joining the conversation. “Well, my friends,” he said, “you both have your unique talents, but I believe I am the smartest of all. I can use my intelligence to outmaneuver both of you.”

พังพอนและแมวเยาะเย้ยคำกล่าวอ้างของกระต่าย “งั้นก็พิสูจน์สิ!” ท้าทายพังพอน

The weasel and the cat scoffed at the rabbit’s claim. “Prove it then!” challenged the weasel.

กระต่ายยิ้มเสนอตัวเข้าประกวด “มาดูกันว่าใครสามารถจับแครอทที่อร่อยที่สุดในสวนได้ ใครเอาแครอทที่ใหญ่และอร่อยที่สุดกลับมาได้จะได้ชื่อว่าฉลาดที่สุด”

The rabbit smiled and proposed a contest. “Let’s see who can catch the most delicious carrots in the garden. The one who brings back the largest and tastiest carrot will be declared the smartest.”

พังพอนและแมวตกลงรับคำท้าอย่างกระตือรือร้น พวกมันออกเดินทางไปที่สวน แต่ละตัวมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ความเหนือกว่าของตน

The weasel and the cat eagerly agreed to the challenge. They set off to the garden, each determined to prove their superiority.

ขณะที่พังพอนแอบย่องผ่านแปลงผัก มันก็เห็นแครอทอ้วนๆ ขณะที่มันกำลังจะฉกมัน คนสวนก็ปรากฏตัวขึ้น และมันต้องหนีมือเปล่า

As the weasel stealthily crept through the vegetable patch, he spotted a plump carrot. Just as he was about to snatch it, the gardener appeared, and he had to flee empty-handed.

ในทางกลับกัน เจ้าแมวก็ใช้ความเร็วของมันพุ่งเข้าไปในสวนและเห็นแครอทที่ฉ่ำน้ำ มันตะครุบและคว้ามัน แต่ขณะที่มันกำลังจะจากไป สุนัขขี้เล่นตัวหนึ่งทำให้มันตกใจ และเจ้าแมวก็ทำแครอทหล่น

The cat, on the other hand, used his speed to dash into the garden and spotted a juicy carrot. He pounced and grabbed it, but just as he was leaving, a playful dog startled him, and he dropped the carrot.

ในขณะเดียวกัน กระต่ายก็มีวิธีการที่ต่างออกไป แทนที่จะรีบเข้าไปในสวน มันรออย่างอดทนจนกระทั่งตกค่ำเมื่อสวนเงียบและรกร้าง จากนั้นมันก็กระโดดเข้าไปและพบแครอทที่อร่อยที่สุดซ่อนอยู่ มันเลือกอันที่ใหญ่และอร่อยที่สุดอย่างระมัดระวัง แบกกลับไปหาพังพอนและแมว

Meanwhile, the rabbit had a different approach. Instead of rushing into the garden, he waited patiently until nightfall when the garden was quiet and deserted. He then hopped in and found a hidden patch of the most delicious carrots. He carefully picked the largest and tastiest ones, carrying them back to the weasel and the cat.

พังพอนและแมวประหลาดใจกับความสำเร็จของกระต่าย “เจ้าฉลาดที่สุดในหมู่พวกเราจริงๆ” พังพอนยอมรับ

The weasel and the cat were astonished at the rabbit’s success. “You truly are the smartest among us,” admitted the weasel.

แมวพยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “ความอดทนและความฉลาดของเจ้าชนะวันนี้”

The cat nodded in agreement and said, “Your patience and intelligence have won the day.”

ตั้งแต่วันนั้น พังพอนและแมวก็นับถือความฉลาดและไหวพริบของกระต่าย พวกเขาเรียนรู้ว่าบางครั้งสมองก็เอาชนะพละกำลังได้ และความอดทนก็เป็นทรัพย์สินอันมีค่า สัตว์ทั้งสามกลายเป็นเพื่อนที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ละตัวมีความแข็งแกร่งเฉพาะตัวเพื่อปกป้องและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทุ่งหญ้า

From that day on, the weasel and the cat respected the rabbit’s wisdom and cunning ways. They learned that sometimes, brains can outwit brawn, and patience can be a valuable asset. The three animals became unlikely friends, each contributing their unique strengths to protect and support one another in the meadow.

นิทานอีสปกระต่าย พังพอน และแมว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความฉลาดและความอดทนมักมีชัยเหนือความเร็วและการซ่อนตัว ซึ่งนำไปสู่มิตรภาพและความสำเร็จที่ไม่คาดคิด”

  • ความฉลาดเหนือความองอาจ: เรื่องราวเน้นคุณค่าของความฉลาดและไหวพริบเหนือความแข็งแกร่งหรือความเร็ว มันแสดงให้เห็นว่าความฉลาดสามารถนำไปสู่ความสำเร็จและเอาชนะคู่ต่อสู้ได้
  • ความอดทนและการวางแผน: ความอดทนของกระต่ายในการรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปในสวน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการวางแผนและความอดทนในการบรรลุเป้าหมาย
  • การทำงานเป็นทีมและความร่วมมือ: เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าจุดแข็งที่แตกต่างกันสามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างไร ซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือและมิตรภาพระหว่างพันธมิตรที่ไม่น่าเป็นไปได้
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเคารพ: ทั้งพังพอนและแมวยอมรับความฉลาดของกระต่ายและแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเคารพ เรียนรู้ที่จะชื่นชมความสามารถของกันและกัน

“Cleverness and patience often triumph over speed and stealth, leading to unexpected friendships and success.”

  • Intelligence over bravado: The story emphasizes the value of intelligence and wit over mere strength or speed. It shows that intelligence can lead to success and outmaneuvering opponents.
  • Patience and planning: The rabbit’s patient approach in waiting for the right moment to enter the garden demonstrates the importance of planning and patience in achieving one’s goals.
  • Teamwork and cooperation: The tale shows how different strengths can complement each other, leading to cooperation and friendship among unlikely allies.
  • Humility and respect: Both the weasel and the cat acknowledge the rabbit’s intelligence and demonstrate humility and respect, learning to appreciate each other’s abilities.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราว่าความเฉลียวฉลาด ความอดทน การทำงานเป็นทีม และการเคารพซึ่งกันและกันสามารถนำไปสู่ความสำเร็จและส่งเสริมมิตรภาพที่ยั่งยืน แม้กระทั่งในหมู่เพื่อนที่ไม่น่าเป็นไปได้

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “โหราจารย์” ไทย-Eng

“โหราจารย์” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความสำคัญถึงความคิดที่ทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน และอย่ากลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะชีวิตคือการเดินทางที่มีค่าในทุกๆ วัน

นิทานอีสปเรื่องโหราจารย์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีโหราจารย์ผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความสามารถในการทำนายอนาคต ผู้คนจะมาจากทั่วสารทิศเพื่อแสวงหาคำแนะนำและสติปัญญาจากพระองค์ วันหนึ่ง ชายผู้อยากรู้อยากเห็นคนหนึ่งเข้าไปหาโหราจารย์และถามว่า “ช่วยบอกเวลาที่ตายของข้าได้ไหม”

Once upon a time, there was an astrologer who was renowned for his ability to predict the future. People would come from far and wide seeking his guidance and wisdom. One day, a curious man approached the astrologer and asked, “Can you tell me the exact moment of my death?”

โหราจารย์รู้สึกทึ่งกับคำขอของชายผู้นี้ จึงมองดูแผนภูมิและการคำนวณของเขา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “ข้าสามารถให้คำตอบที่คุณต้องการได้ แต่ข้าต้องเตือนเจ้าว่าการรู้เวลาตายที่แน่นอนของเจ้าอาจส่งผลที่ไม่คาดคิดตามมา”

The astrologer, intrigued by the man’s request, looked at his charts and calculations. After a moment of deep thought, he said, “I can provide you with the answer you seek, but I must warn you that knowing the exact moment of your death may have unintended consequences.”

ชายผู้นั้นยืนกรานที่จะรู้ จากนั้นโหราจารย์ก็เปิดเผยช่วงเวลาที่เป็นเวรเป็นกรรมแก่เขา ชายผู้ถูกครอบงำด้วยความกลัวและความวิตกกังวล ใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความวิตกอยู่ตลอดเวลา พยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตที่คาดการณ์ไว้

The man, undeterred, insisted on knowing. The astrologer then revealed the fateful moment to him. The man, consumed by fear and anxiety, lived the rest of his life in constant worry, trying to avoid situations that could potentially lead to his predicted demise.

หลายปีผ่านไป ชายผู้นี้กลายเป็นนักโทษแห่งความกลัวของตัวเอง หลีกเลี่ยงประสบการณ์และโอกาสต่างๆ ด้วยความกลัวที่จะพบกับจุดจบที่ทำนายไว้ เขาพลาดความสุข ความรัก และช่วงเวลาที่มีความหมายนับไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความหมกมุ่นกับความตายที่ทำนายไว้

Years went by, and the man became a prisoner of his own fear, avoiding experiences and opportunities out of the fear of meeting his predicted end. He missed out on joy, love, and countless meaningful moments, all because of his obsession with his predicted death.

ในที่สุด ช่วงเวลาที่คาดการณ์ไว้ของชายคนนั้นก็มาถึง แต่ไม่ใช่ในแบบที่เขาคาดไว้ มันเป็นอุบัติเหตุธรรมดาๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหลีกเลี่ยง เมื่อเขาหายใจเฮือกสุดท้าย เขาตระหนักได้ถึงความโง่เขลาของความกลัวและชีวิตที่สูญเปล่าที่เขาดำเนินมา

In the end, the man’s predicted moment arrived, but not in the way he expected. It was a simple accident, unrelated to the situations he had tried so desperately to avoid. As he took his last breath, he realized the foolishness of his fears and the wasted life he had led.

นิทานอีสปโหราจารย์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การหมกมุ่นอยู่กับอนาคตสามารถขโมยปัจจุบันของคุณไป ทำให้คุณไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง”

  • การใช้ชีวิตในปัจจุบัน: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตในปัจจุบันและการยอมรับความไม่แน่นอนของชีวิต การหมกมุ่นอยู่กับอนาคตตลอดเวลาหรือพยายามควบคุมทุกด้านของชีวิตสามารถขัดขวางไม่ให้เราได้สัมผัสและชื่นชมกับช่วงเวลาปัจจุบันอย่างเต็มที่
  • ความโง่เขลาของความกลัวที่มากเกินไป: ความกลัวอย่างท่วมท้นของชายผู้นี้ต่อความตายที่คาดการณ์ไว้กลืนกินเขาและขัดขวางไม่ให้เขามีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง นิทานสอนเราว่าความกลัวที่มากเกินไปสามารถพรากความสุข การเติบโต และประสบการณ์ที่มีความหมายไปจากเราได้ มันกระตุ้นให้เราเผชิญหน้าและจัดการกับความกลัวของเราแทนที่จะปล่อยให้มันควบคุมเรา
  • โอบรับสิ่งที่ไม่รู้จัก: ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และการพยายามทำนายและควบคุมผลลัพธ์ทุกอย่างนั้นไร้ประโยชน์ เรื่องราวเตือนใจให้เรายอมรับสิ่งที่ไม่รู้จักและเข้าใกล้ชีวิตด้วยความคิดและหัวใจที่เปิดกว้าง การเปิดรับความไม่แน่นอนทำให้เราปรับตัว เติบโต และพบกับความสวยงามที่คาดไม่ถึงในการเดินทาง
  • สร้างสมดุลระหว่างโชคชะตาและเจตจำนงเสรี: แม้ว่าโชคชะตาอาจมีบทบาทในชีวิตของเรา แต่เรามีอำนาจในการกำหนดชะตากรรมของเราเองผ่านการเลือกและการกระทำของเรา นิทานกระตุ้นให้เราค้นหาความสมดุลระหว่างการยอมรับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมและการรับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง

“Obsessing over the future can rob you of the present, preventing you from truly living life.”

  • Living in the present: The story highlights the importance of living in the present and embracing the uncertainty of life. Constantly obsessing over the future or trying to control every aspect of our lives can prevent us from fully experiencing and appreciating the present moment.
  • The folly of excessive fear: The man’s overwhelming fear of his predicted death consumed him and prevented him from truly living. The fable teaches us that excessive fear can rob us of joy, growth, and meaningful experiences. It encourages us to confront and manage our fears rather than allowing them to control us.
  • Embracing the unknown: Life is full of uncertainties, and trying to predict and control every outcome is futile. The story reminds us to accept the unknown and approach life with an open mind and heart. Embracing uncertainty allows us to adapt, grow, and find unexpected beauty in the journey.
  • Balancing fate and free will: While fate may play a role in our lives, we have the power to shape our own destinies through our choices and actions. The fable encourages us to find a balance between accepting what is beyond our control and taking responsibility for our own lives.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เรายอมรับปัจจุบัน ปลดปล่อยความกลัวที่มากเกินไป โอบรับสิ่งที่ไม่รู้ และค้นหาความสมดุลระหว่างโชคชะตาและเจตจำนงเสรี มันเตือนให้เราใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และแท้จริง ใช้เวลาแต่ละช่วงเวลาให้คุ้มค่าที่สุด แทนที่จะตกเป็นทาสของความกลัวหรือหมกมุ่นอยู่กับอนาคต

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “หมาป่ากับลา” ไทย-Eng

“หมาป่ากับลา” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการตระหนักรู้ในหน้าที่ของตนเอง การรักตัวเองและความปลอดภัยของตัวเอง และการคิดก่อนเชื่อในคำพูดของอื่นอยู่เสมอๆ

นิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หมาป่าผู้หิวโหยและลาที่เหนื่อยล้าเดินสวนกันในป่า หมาป่ามองหาเหยื่ออยู่เสมอ เห็นลาเป็นเป้าหมายที่ง่าย อย่างไรก็ตาม เมื่อหมาป่าเข้ามาใกล้ ลาก็ร้องขอความเมตตาและพูดว่า “โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย หมาป่าผู้ใจดี ข้าเป็นเพียงลาผู้ต่ำต้อยและขยันขันแข็ง รับภาระหนักเพื่อเจ้านายของข้า”

Once upon a time, a hungry wolf and a tired, burdened ass crossed paths in the forest. The wolf, always in search of prey, saw the ass as an easy target. However, as the wolf approached, the ass begged for mercy, saying, “Please spare me, kind wolf. I am just a humble and hardworking ass, burdened with heavy loads for my master.”

หมาป่ารู้สึกทึ่งกับคำอ้อนวอนของลา จึงถามว่า “ทำไมเจ้าถึงทำงานหนักเพื่อเจ้านายของเจ้า ทำไมเจ้าไม่เที่ยวเตร่อย่างข้า”

The wolf, intrigued by the ass’s plea, asked, “Why do you toil so hard for your master? Why don’t you roam freely like me?”

ลาตอบว่า “ข้าอาจต้องทำงานหนัก แต่ข้าปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างดีจากนายของข้า ข้ามีที่พัก อาหาร และการปกป้องจากผู้ล่าเช่นเจ้า”

The ass replied, “I may have to work hard, but I am safe and well cared for by my master. I have shelter, food, and protection from predators like you.”

หมาป่าอิจฉาความปลอดภัยและความสบายใจของลา มันเห็นโอกาสที่จะปลดเปลื้องจากการดิ้นรนหาอาหารอย่างต่อเนื่องของมัน มันเสนอต่อลาว่า “ข้าจะปลดปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระจากภาระของเจ้า และเจ้าสามารถร่วมอยู่ในป่ากับข้าได้ เราทั้งสองสามารถเป็นอิสระและใช้ชีวิตตามที่เราต้องการ”

The wolf, envious of the ass’s security and comfort, saw an opportunity to be relieved of his constant struggle to find food. He proposed to the ass, “I will set you free from your burden, and you can join me in the wild. We can both be free and live as we please.”

ลาฉลาดและระมัดระวัง ตอบว่า “ขอบคุณสำหรับข้อเสนอของเจ้า แต่ฉันได้เรียนรู้ที่จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความมั่นคงมากกว่าเสรีภาพ แม้ว่าข้าจะทำงานหนัก แต่ข้ารู้ว่าความพยายามของข้าได้รับผลตอบแทนเป็นที่พักและปัจจัยยังชีพ ในป่า ข้าจะเผชิญกับอันตรายและความไม่แน่นอน”

The ass, wise and cautious, replied, “Thank you for your offer, but I have learned to value safety and security over freedom. While I may work hard, I know that my efforts are rewarded with shelter and sustenance. In the wild, I would be exposed to dangers and uncertainties.”

เมื่อเป็นเช่นนั้น ลาก็เดินทางต่อไปโดยแบกภาระของตน ส่วนหมาป่าก็ออกเดินทางไปหาอาหารมื้อต่อไป

With that, the ass continued on his way, carrying his burdens, while the wolf set off in search of his next meal.

นิทานอีสปหมาป่ากับลา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความปลอดภัยและความมั่นใจมักมีค่ามากกว่าเสน่ห์แห่งอิสรภาพและที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง”

  • หญ้าไม่ได้เขียวกว่าในอีกด้านหนึ่งเสมอไป เรื่องราวแสดงให้เห็นว่าบางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสถานการณ์ที่น่าพอใจอาจมาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงในตัวเอง หมาป่าโหยหาความปลอดภัยของลา มองไม่เห็นความยากลำบากที่มาพร้อมกับมัน
  • คุณค่าของความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย: การที่ลาเลือกที่จะจัดลำดับความสำคัญของความปลอดภัยและความมั่นคงเหนือเสรีภาพ สอนเราถึงความสำคัญของการมีสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและได้รับการปกป้อง มันเน้นความสำคัญของการค้นหาความพึงพอใจในสถานการณ์ที่ตอบสนองความต้องการของเราและปกป้องเราจากอันตราย
  • ความซาบซึ้งในสิ่งที่เรามี: เรื่องราวเตือนใจให้เราซาบซึ้งในพรที่เรามีอยู่แล้ว ลาอาจทำงานหนัก แต่มันเห็นคุณค่าของการดูแลและปกป้องจากเจ้านายของมัน ทำให้มันรู้สึกขอบคุณสำหรับสถานการณ์ของมัน
  • อันตรายของความอิจฉาริษยา: ความอิจฉาของหมาป่าต่อสถานการณ์ของลาทำให้เขาตัดสินใจไม่ถูก ความปรารถนาในชีวิตของลาทำให้เขามองข้ามความเสี่ยงและความยากลำบากที่อาจเกิดขึ้นกับการใช้ชีวิตในป่า
  • การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด: การตัดสินใจอันชาญฉลาดของลาในการพิจารณาผลที่ตามมาจากการปล่อยให้เจ้านายดูแล แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตัดสินใจอย่างรอบรู้ กระตุ้นให้เราชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียก่อนทำการตัดสินใจที่สำคัญ

“Security and certainty are often more valuable than the allure of freedom and full of risk.”

  • The grass isn’t always greener on the other side: The story illustrates that sometimes, what appears to be a more desirable situation may come with its own challenges and risks. The wolf, longing for the ass’s security, fails to see the hardships that come with it.
  • Value of safety and security: The ass’s choice to prioritize safety and security over freedom teaches us the importance of having a stable and protected environment. It highlights the significance of finding contentment in circumstances that provide for our needs and protect us from harm.
  • Appreciation for what we have: The story reminds us to appreciate the blessings we already possess. The ass may work hard, but he recognizes the value of his master’s care and protection, making him grateful for his circumstances.
  • The dangers of envy: The wolf’s envy of the ass’s situation clouds his judgment. His desire for the ass’s life leads him to overlook the potential risks and hardships that come with living in the wild.
  • Making informed decisions: The ass’s wise decision to consider the consequences of leaving his master’s care showcases the importance of making informed choices. It encourages us to weigh the pros and cons before making significant decisions.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความพอใจ การให้คุณค่ากับความปลอดภัย ความชื่นชม อันตรายของความอิจฉาริษยา และการตัดสินใจอย่างรอบรู้ มันเตือนให้เรารู้สึกขอบคุณในสิ่งที่เรามีและพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความหมายของความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “สุนัขกับเจ้านายของมัน” ไทย-Eng

“สุนัขกับเจ้านายของมัน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งในชีวิต และยังให้บทเรียนที่มีค่าเกี่ยวกับขอบเขต และการเติบโต

นิทานอีสปเรื่องสุนัขกับเจ้านายของมัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสุนัขผู้ซื่อสัตย์อาศัยอยู่กับเจ้านายของมัน ทุกๆ วัน เจ้าตูบเฝ้าดูเจ้านายของเขาเพลิดเพลินกับอาหารมื้อค่ำแสนอร่อย กลิ่นหอมของอาหารอบอวลอยู่ในอากาศทำให้สุนัขน้ำลายสอ อย่างไรก็ตาม สุนัขไม่ได้รับอนุญาตให้กินอาหารจากจานของเจ้านาย

Once upon a time, there was a loyal dog who lived with his master. Every day, the dog watched as his master enjoyed a delicious dinner. The aroma of the food filled the air, making the dog’s mouth water. However, the dog was never allowed to eat from his master’s plate.

วันหนึ่งขณะที่เจ้านายกำลังเพลิดเพลินกับอาหารอยู่นั้น เขาเผลอทำชิ้นเนื้อหล่นลงพื้น สุนัขรีบไปที่จุดนั้นอย่างรวดเร็วและกินอาหารอันโอชะอย่างเอร็ดอร่อย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าตูบก็วางแผนการอันชาญฉลาด

One day, as the master was enjoying his meal, he accidentally dropped a piece of meat on the floor. The dog quickly rushed to the spot and devoured the tasty morsel. From that moment on, the dog developed a cunning plan.

ในแต่ละวัน สุนัขจะจงใจชนเจ้านายของมัน ทำให้เขาทำเศษอาหารหล่น จากนั้นสุนัขจะฉวยอาหารที่ตกหล่นก่อนที่เจ้านายของมันจะทันได้ตอบโต้ นายท่านคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ จึงไม่ระแวงเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของเขา

Each day, the dog would deliberately bump into his master, causing him to drop a piece of food. The dog would then snatch the fallen food before his master could react. The master, thinking it was mere coincidence, didn’t suspect his loyal companion.

อย่างไรก็ตาม วันหนึ่ง นายจับได้ว่าแผนการของสุนัข เขาตัดสินใจที่จะสอนบทเรียนให้กับสุนัข เขาวางก้อนหินแทนเศษอาหารลงบนโต๊ะ และเมื่อสุนัขชนเขา ก้อนหินก็ร่วงลงกับพื้น สุนัขรีบไปหามัน และเพิ่งจะรู้ว่ามันกินไม่ได้

However, one day, the master caught onto the dog’s scheme. He decided to teach the dog a lesson. He placed a stone instead of a piece of food on the table, and as the dog bumped into him, the stone fell to the ground. The dog eagerly went for it, only to realize it wasn’t edible.

เจ้านายมองดูสุนัขแล้วพูดว่า “เพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของข้า ข้าสอนบทเรียนอันมีค่าแก่เจ้าแล้ว การเอาเปรียบผู้อื่นแม้ในเรื่องเล็กน้อยมันไม่น่านับถือ ความภักดีและความซื่อสัตย์สำคัญกว่าอาหารที่ถูกขโมย”

The master then looked at the dog and said, “My faithful friend, I have taught you a valuable lesson. Taking advantage of others, even in small matters, is not honorable. Loyalty and honesty are far more important than a stolen meal.”

สุนัขรู้สึกละอายใจ กระดิกหางด้วยความสำนึกผิด และเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของความภักดีและความซื่อสัตย์ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่เคยพยายามขโมยอาหารของเจ้านายอีกเลย และยังคงซื่อสัตย์และไว้ใจได้

The dog, feeling ashamed, wagged his tail in remorse and learned the true meaning of loyalty and integrity. From that day forward, he never attempted to steal his master’s food again and remained faithful and trustworthy.

นิทานอีสปสุนัขกับเจ้านายของมัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความภักดีและความซื่อสัตย์มีค่ามากกว่ารางวัลที่ขโมยมา ไม่ว่าจะดึงดูดใจแค่ไหนก็ตาม”

  • ความซื่อสัตย์: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์และความซื่อสัตย์ในการกระทำของเรา ความพยายามของสุนัขที่จะขโมยอาหารจากเจ้านายของมันแสดงให้เห็นถึงการขาดความซื่อสัตย์ และมันได้เรียนรู้ว่าการซื่อสัตย์และภักดีนั้นมีค่ามากกว่ามื้ออาหารใดๆ
  • เคารพในขอบเขต: สุนัขข้ามเขตแดนโดยพยายามแย่งชิงสิ่งที่ไม่ใช่ของมันโดยชอบธรรม เรื่องราวเตือนใจให้เราเคารพขอบเขตและทรัพย์สินของผู้อื่น โดยเข้าใจว่าการฉวยโอกาสจากความไว้วางใจของใครบางคนเป็นการไม่ให้เกียรติ
  • บทเรียนจากผลที่ตามมา: แผนการอันชาญฉลาดของนายสอนสุนัขถึงผลของการกระทำของมัน เจ้านายแสดงให้สุนัขเห็นว่าความไม่ซื่อสัตย์ของเขานำไปสู่ความผิดหวังและการสูญเสียโดยการแทนที่อาหารด้วยหิน
  • ความภักดีและความสัตย์ซื่อ: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความภักดีและความสัตย์ซื่อในความสัมพันธ์ของเรา แม้ว่าสุนัขจะพยายามหลอกลวงในตอนแรก แต่เขาก็ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการภักดีต่อเจ้านายและรักษาความไว้วางใจไว้
  • การเรียนรู้และการเติบโตส่วนบุคคล: การสำนึกผิดและความสำนึกผิดของสุนัขแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเรียนรู้และการเติบโตส่วนบุคคล เรื่องราวกระตุ้นให้เราไตร่ตรองถึงการกระทำของเรา เรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา และมุ่งมั่นที่จะเป็นบุคคลที่ดีขึ้น

“Loyalty and honesty are more valuable than a stolen reward, no matter how tempting it may be.”

  • Honesty and integrity: The story emphasizes the importance of honesty and integrity in our actions. The dog’s attempt to steal food from his master demonstrates a lack of integrity, and he learns that being honest and loyal is more valuable than any meal.
  • Respect for boundaries: The dog crosses a boundary by trying to take what is not rightfully his. The story reminds us to respect the boundaries and possessions of others, understanding that it is not honorable to take advantage of someone’s trust.
  • Lessons from consequences: The master’s clever plan teaches the dog the consequences of his actions. By replacing the food with a stone, the master shows the dog that his dishonesty leads to disappointment and loss.
  • Loyalty and faithfulness: The story highlights the importance of loyalty and faithfulness in our relationships. Despite the dog’s initial attempts to deceive, he learns the value of remaining loyal to his master and maintaining their trust.
  • Learning and personal growth: The dog’s realization and remorse demonstrate the potential for learning and personal growth. The story encourages us to reflect on our actions, learn from our mistakes, and strive to become better individuals.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์ ความเคารพ ความภักดี และการเติบโตส่วนบุคคล มันเตือนเราถึงความสำคัญของการไว้ใจได้และซื่อสัตย์ในความสัมพันธ์ของเรา และความสำคัญของการเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา ด้วยการรวบรวมคุณสมบัติเหล่านี้ เราสามารถปลูกฝังสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นบนพื้นฐานของความไว้วางใจและความเคารพซึ่งกันและกัน

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “นกยูงผู้งดงามและเย่อหยิ่ง” ไทย-Eng

“นกยูงผู้งดงามและเย่อหยิ่ง” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการเข้าใจความงดงามที่แท้จริงไม่ได้มาจากภายนอกเสมอไป แต่มันยังอยู่ภายใน และยังสอนถึงความเห็นอกเห็นใจอีกด้วย

นิทานอีสปเรื่องนกยูงผู้งดงามและเย่อหยิ่ง

กาลครั้งนานมาแล้ว ในป่าเขียวขจีแห่งหนึ่ง มีนกยูงผู้เย่อหยิ่งและสง่างามอาศัยอยู่ ด้วยขนที่มีชีวิตชีวาและการวางมาดที่สง่างาม นกยูงจึงคิดว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงามที่สุดในโลก มันมักจะอวดขนนกสีสันสดใสอวดสัตว์อื่นๆ ถึงความงามที่ไม่มีใครเทียบได้

Once upon time, In a lush forest, there lived a proud and majestic peacock. With its vibrant feathers and graceful strut, the peacock thought itself to be the most beautiful creature in the world. It would often flaunt its colorful plumage, boasting to other animals about its unmatched beauty.

วันหนึ่ง นกกระจอกผู้ถ่อมตัวสังเกตเห็นพฤติกรรมของนกยูงและเดินเข้าไปหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น นกกระจอกถามว่า “นกยูง ทำไมเจ้าถึงภูมิใจในขนอันงดงามของเจ้า”

One day, a humble sparrow observed the peacock’s behavior and approached it with curiosity. The sparrow asked, “Peacock, why are you so proud of your magnificent feathers?”

นกยูงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจตอบ “นกกระจอกที่รัก แค่มองมาที่ข้าสิ ขนของข้าช่างงดงามจับใจจริงๆ ข้ามีความสุขจริงๆ กับของขวัญสุดพิเศษชิ้นนี้”

The peacock, full of pride, replied, “Dear sparrow, just look at me! My feathers are a mesmerizing display of beauty. I am truly blessed with this extraordinary gift.”

นกกระจอกแม้จะประทับใจในรูปลักษณ์ของนกยูง แต่ก็ถามว่า “นกยูงที่รัก ขนที่สวยงามของเจ้าทำให้ใจดี ฉลาด หรือเห็นอกเห็นใจด้วยไหม?”

The sparrow, although impressed by the peacock’s appearance, asked, “But, dear peacock, do your beautiful feathers make you kind, wise, or compassionate?”

นกยูงนิ่งเงียบโดยตระหนักว่าความงามภายนอกไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงคุณสมบัติภายในของมันเสมอไป มันเริ่มไตร่ตรองคำพูดของนกกระจอกและยอมรับว่าความเย่อหยิ่งของมันทำให้มันมองไม่เห็นถึงความสำคัญของลักษณะนิสัย

The peacock fell silent, realizing that its outer beauty did not necessarily reflect its inner qualities. It started to ponder the sparrow’s words and acknowledged that its pride had blinded it to the importance of character.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นกยูงก็ตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความเมตตา สติปัญญา และความเห็นอกเห็นใจ แทนที่จะพึ่งพารูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว มันได้เรียนรู้ว่าความงามที่แท้จริงนั้นนอกเหนือไปจากรูปลักษณ์ภายนอกและอยู่ในคุณธรรมที่กำหนดลักษณะนิสัยของคนๆ หนึ่ง

From that day on, the peacock decided to focus on cultivating qualities such as kindness, wisdom, and compassion rather than solely relying on its physical appearance. It learned that true beauty goes beyond outward appearances and lies in the virtues that define one’s character.

นิทานอีสปนกยูงผู้งดงามและเย่อหยิ่ง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความงามที่แท้จริงไม่ได้เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่อยู่ที่คุณธรรมของจิตใจและจิตใจด้วย”

  • ความงามที่แท้จริงมาจากภายใน: เรื่องราวนี้เตือนเราว่าความงามที่แท้จริงไม่ได้ถูกกำหนดโดยคุณลักษณะทางกายภาพหรือรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น สอนให้เราเห็นคุณค่าของคุณสมบัติภายใน เช่น ความกรุณา ปัญญา และความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความงามที่แท้จริง
  • อันตรายจากความเย่อหยิ่งจองหอง: ความเย่อหยิ่งในขนนกยูงมากเกินไปทำให้มองไม่เห็นถึงความสำคัญของอุปนิสัย เรื่องนี้เตือนเราเกี่ยวกับอันตรายของความเย่อหยิ่งและความจำเป็นที่จะต้องถ่อมตัวและเปิดรับการเติบโตส่วนบุคคล
  • การปลูกฝังคุณธรรมภายใน: การตระหนักรู้ของนกยูงกระตุ้นให้เรามุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังคุณธรรมและคุณสมบัติภายในที่เสริมสร้างลักษณะนิสัยของเรา ส่งเสริมเราให้ให้ความสำคัญกับความเมตตา ปัญญา ความเห็นอกเห็นใจ และความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งนำไปสู่ความงามที่แท้จริงของเราและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้อื่น
  • ความสำคัญของการไตร่ตรองตนเอง: เรื่องราวเน้นความสำคัญของการไตร่ตรองตนเองและการใคร่ครวญ เมื่อตั้งคำถามกับความภาคภูมิใจของตัวเองและฟังมุมมองของนกกระจอก นกยูงก็เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและเริ่มต้นการเดินทางเพื่อการเติบโตของตนเอง
  • ความงามมีความหลากหลายและเป็นเรื่องส่วนตัว: เรื่องราวเน้นย้ำว่าความงามมีความหลากหลายและเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่ควรจำกัดอยู่เพียงรูปแบบหรือรูปลักษณ์ใดรูปลักษณ์หนึ่ง แต่ละคนมีคุณสมบัติและคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองซึ่งทำให้พวกเขาสวยงามในแบบของตัวเอง

“True beauty is not just in appearance but in the virtues of the heart and mind.”

  • True beauty comes from within: The story reminds us that true beauty is not solely defined by physical attributes or external appearance. It teaches us to value inner qualities such as kindness, wisdom, and compassion, which are the true markers of beauty.
  • The dangers of excessive pride: The peacock’s excessive pride in its feathers blinded it to the importance of character. The story warns us about the dangers of arrogance and the need to remain humble and open to personal growth.
  • Cultivating inner virtues: The peacock’s realization prompts us to focus on cultivating virtues and inner qualities that enrich our character. It encourages us to prioritize kindness, wisdom, empathy, and compassion, which contribute to our true beauty and make a positive impact on others.
  • The importance of self-reflection: The story highlights the significance of self-reflection and introspection. By questioning its own pride and listening to the sparrow’s perspective, the peacock gained a deeper understanding of itself and embarked on a journey of personal growth.
  • Beauty is diverse and subjective: The story underscores that beauty is diverse and subjective, and it should not be limited to one particular form or appearance. Each individual possesses their own unique qualities and attributes that make them beautiful in their own way.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้จักชื่นชมความงามในตนเองและผู้อื่น กระตุ้นให้เราให้ความสำคัญกับคุณธรรมภายใน รักษาความอ่อนน้อมถ่อมตน และเปิดรับความงามที่หลากหลายในโลก เราสามารถเปล่งความงามที่แท้จริงและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคนรอบข้างได้ด้วยการมุ่งเน้นที่การปลูกฝังลักษณะนิสัยของเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children