สุภาษิตคำพังเพยสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ

ที่มาของสำนวน อ้างอิงจากหนังสือสำนวนไทย ซึ่งขุนวิจิตรมาตรา ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า “นรกไม่มีผู้ใดก่อสร้างขึ้น คือไฟโกรธในใจให้เกิดไฟนรกและเผาผลาญเจ้าของไฟที่ให้เกิดขึ้นนั้น เมื่อผู้ใดทำการชั่ว ผู้นั้นจุดไฟนรกขึ้นและผู้นั้นย่อมไหม้ไปด้วยไฟของตนเอง”

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ จิตใจคนเรานั้นเป็นสำคัญ จะสุขหรือจะทุกข์ก็ขึ้นกับความคิดและทัศนคติของตัวเราเอง ที่เป็นผู้กำหนดเลือก หากตัวเราคิดทางบวก ไม่มุ่งร้ายผู้ใด จิตใจมีเมตตา ก็จะเกิดสุข แต่ถ้าหากคิดทางลบก็จะเป็นทุกข์ มีความกังวลใจ ไม่เป็นสุข เหมือนตกนรก

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ

  • โคลงกระทู้สวรรค์ในอกนรกในใจ “สวรรค์ แสวงสุขได้ เสียกรรม ในอก อิ่มบุญธรรม เที่ยงได้ นรก รักบาปนำ ไปสู่ ทุกข์แฮ ในใจ ให้สุขให้ ทุกข์ด้วยใจเอง”
  • นายฉลองผลิตสินค้าผิดกฏหมายออกมาขายจนร่ำรวย โดยมีธุรกิจอื่นบังหน้า ถึงผู้คนในสังคมจะไม่รู้ แต่สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ นายฉลองก็รู้ดีอยู่กับตัวเองว่ารวยมาเพราะอะไร
  • ทัศนคติที่ดีย่อมนำพาชีวิตไปในทางที่ดี ทัศนคติแย่ๆ ย่อมนำพาชีวิตไปในทางแย่ๆ เหมือนกับสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจนั่นแหละ
  • นี่เธอ คนเรานี่โกงกันได้ง่ายจัง โกงเสร็จก็ลอยหน้าลอยตา แต่ก็แหละนะคนเรา สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ตัวเขาเองรู้ดีว่าตนไปทำอะไรมา ความจริงแล้วเขาไม่มีความสุขหรอก
  • ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ สุขทุกข์อยู่ที่ใจ ทุกสิ่งอยู่ที่ตัวเราเลือกเอง

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยสร้างวิมานในอากาศ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. สร้างวิมานในอากาศ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสร้างวิมานในอากาศ

ที่มาของสำนวน เป็นการเปรียบเปรยถึงการวาดฝันจินตนาการไปว่า ตนได้สร้างวิมาน (ที่อยู่หรือที่ประทับของเทวดา) วาดฝันว่ามีข้าวของเงินทองมากมายบนสรวงสวรรค์ แต่ก็เป็นแค่การจินตนการเท่านั้น ไม่มีโอกาสจะเป็นจริงได้เลย

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ การวาดฝันไว้ล่วงหน้าว่าในอนาคตจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ใฝ่ฝันถึงความมั่งมี เป็นใหญ่ คิดคาดหรือหวังจะมีหรือเป็นอะไรอย่างเลิศลอย

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยสร้างวิมานในอากาศ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตสร้างวิมานในอากาศ

  • เธอเลิกฝันหวานสร้างวิมานในอากาศได้แล้ว ที่จะรอเจ้าชายผู้เพียบพร้อมขี่ม้าขาวมาขอแต่งงาน มันมีแค่ในนิยายเท่านั้นแหละ
  • สมชายเป็นเด็กขี้เกียจ ไม่ตั้งใจเรียน การบ้านก็ลอกของเพื่อน วันหนึ่งๆเอาแต่สร้างวิมานในอากาศ โดยวาดฝันว่าตนเองจะต้องได้สอบได้ที่หนึ่งและได้เป็นนักเรียนดีเด่นของประเทศ
  • ถ้าเธอยังมัววาดฝันสร้างวิมานในอากาศว่าจะร่ำรวย มีเงินทองอยู่แบบนี้ แต่ไม่เริ่มต้นทำอะไรซักอย่าง ก็คงจะไม่มีวันจะเป็นจริงขึ้นมา
  • ก่อนจะประสบความสำเร็จ บางคนก็อาจจะ สร้างวิมานในอากาศ ฝันอยากได้อยากมี อยากเป็น จากนั้นก็จะลงมือทำความฝันให้เป็นจริง ซึ่งคนแบบนี้มีไม่มาก ส่วนใหญ่จะมีแต่คนที่ไม่สามารถได้ในสิ่งที่ฝัน หรืออยากได้ เพราะมีแต่ความอยากได้ อยากให้เป็น แต่ไม่มีการลงมือทำให้ประสบความสำเร็จ
  • ถ้าอยากจะสร้างวิมานในอากาศจะเป็นจริงได้ ต้องแลกกับหยาดเหงื่อ วินัย น้ำตา ความรู้ และการทำงานหนักเหมือนตกนรก

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยศรศิลป์ไม่กินกัน ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ศ. ศรศิลป์ไม่กินกัน

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยศรศิลป์ไม่กินกัน

ที่มาของสำนวน ในที่นี้ ศิลป์ หมายถึง คันธนู ส่วน ศร คือ ลูกธนู ศรศิลป์ไม่กินกัน หมายความว่า ลูกธนูที่แต่ละฝ่ายยิงใส่กันนั้นไม่สามารถทำอันตรายกันได้ ข้อความนี้ปรากฏในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ตอนที่พระรามต่อสู้กับพระมงกุฎซึ่งเป็นลูก โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นพ่อลูกกัน พระรามแผลงศรเพื่อสังหารพระมงกุฎ แต่ศรนั้นกลับกลายเป็นอาหารทิพย์ตกลงหน้าพระมงกุฎ และเมื่อพระมงกุฎแผลงศรไปยังพระราม ศรก็กลายเป็นข้าวตอกดอกไม้แสดงความเคารพพระราม

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ แต่เดิมจึงหมายความว่าทำร้ายกันไม่ได้ แต่ต่อมากลายความหมายไป หมายถึงการที่คนสองฝ่ายไม่ถูกกันไม่ลงรอยกัน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยศรศิลป์ไม่กินกัน

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตศรศิลป์ไม่กินกัน

  • นักมวยฝ่ายแดงกับฝ่ายน้ำเงินมาจากค่ายมวยเดียวกัน แต่ทั้งสองได้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ทำให้ทั้งสองต้องชกกัน นักมวยทั้งสองสู้กันสูสีมาก ไม่มีใครล้มใครได้ ศรศิลป์ไม่กินกัน เพราะฝึกซ้อมมาเหมือนๆ กัน รู้ทางกัน
  • เพราะเหตุการณ์บ้านเมืองของเราในช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมานี้ มีความร้อนแรงที่จะเผชิญหน้ากันหลายต่อหลายครั้ง ด้วยสำนวน “ศรศิลป์ไม่กินกัน” ซึ่งเป็นสำนวนไทยแท้แต่โบราณ ซึ่งสมัยหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่สมัยนี้มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง
  • ศรศิลป์ไม่กินกันจริงๆ เขาสองคนเคยต่อสู้กันมาหลายครั้งแต่ก็ไม่มีครั้งได้ที่จะรู้ผลแพ้ชนะเลย
  • ฝาแฝดคู่นี้ศรศิลป์ไม่กินกัน เจอหน้ากันทีไรจะต้องทะเลาะกันเสียทุกครั้ง
  • เขาทั้งสองคนเคยเป็นศิษย์สำนักเดียว มีครูคนเดียวกัน มีเพลงดาบที่เยี่ยมยอดทั้งคู่ต่างก็รู้ทางกันอยู่แล้วทำให้ไม่มีใครสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ อย่างที่เขาว่าศรศิลป์ไม่กินกัน

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยว่ายน้ำหาจระเข้ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ว. ว่ายน้ำหาจระเข้

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยว่ายน้ำหาจระเข้

ที่มาของสำนวน จระเข้โดยสัญชาตญาณจะเป็นสัตว์ที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร จึงดูเสมือนว่ามันเป็นสัตว์ที่ดุร้าย และเป็นอันตรายสำหรับคนเรา ดังนั้นเมื่อเราเห็นจระเข้จะต้องรีบหนีไปให้ห่างไกลจากมัน เพื่อจะได้พ้นจากอันตราย จึงเปรียบเปรยว่าการว่ายน้ำหาจระเข้ก็คือการฆ่าตัวตายทางอ้อมนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ เอาตัวเข้าเสี่ยงเข้าพบทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเป็นอันตราย หรือรนหาที่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะมีอันตรายก็ยังเสี่ยงที่จะเข้าไป

มักใช้กรณีที่การที่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง เสี่ยงเข้าพบผู้ใดผู้หนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าการเข้าพบครั้งนี้อาจจะมีผลร้ายมากกว่าผลดี

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยว่ายน้ำหาจระเข้

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตว่ายน้ำหาจระเข้

  • ว่ายน้ำหาจระเข้แท้ๆ ก็รู้อยู่ว่าพ่อกำนันหวงลูกสาวมากผู้ชายคนไหนเข้าใกล้มีหวังได้กินลูกปืนแน่ๆ แล้วนายยังจะกล้าเข้าไปจีบอีก
  • การล่อซื้อยาบ้าครั้งนี้เป็นการว่ายน้ำหาจระเข้อย่างแท้จริง แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จับผู้ขายไม่ได้
  • รู้ทั้งรู้ว่าพวกนั้นมันเป็นอันธพาล ทำเรื่องผิดกฎหมายก็ยังจะว่ายน้ำหาจระเข้เข้าไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีก
  • คนบางคนดูไม่น่าไว้ใจก็ยังไม่คบกับเขาได้เนาะนางพลอย ใครๆ ก็ดูออกว่าเขาไม่น่าไว้ใจ แต่เธอกลับว่ายน้ำหาจระเข้ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนละกัน!
  • คนบางคนเอาอนาคตกับชีวิตไปทิ้งให้กับคนที่ไม่ดี เหมือนกับการว่ายน้ำหาจระเข้ ทำให้อนาคตตัวเองดับวูบกันเลยทีเดียว

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยวัวใครเข้าคอกคนนั้น ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ว. วัวใครเข้าคอกคนนั้น

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยวัวใครเข้าคอกคนนั้น

ที่มาของสำนวน ตามปกติธรรมดาธรรมชาติของวัว หรือควาย มักจะมีความจำที่อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าตอนกลางวันมันจะไปหากินที่ใดก็แล้วแต่ แต่พอถึงเวลาย่ำค่ำสนธยามันก็จะกลับมานอนยังคอก หรือที่อยู่ของมันเสมอๆ พวกเราชาวพุทธมีศรัทธาเชื่อถือกฎแห่งกรรมที่ว่า “ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว” ใครอะไรไว้ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว ผลของการกระทำจะตอบสนองตามที่ได้กระทำไว้ เช่น ปลูกถั่วก็จะได้ถั่ว ปลูกงาก็จะได้งา มิใช่ว่าปลูกถั่วแล้วได้งา หรือปลูกงาได้ถั่ว กล่าวคือกรรมที่เราได้กระทำไปนั้นไม่ว่าจะดี หรือชั่ว จะตอบสนองเราในทางที่เหมือนกับการกระทำของเรา เปรียบเสมือนกับ “วัว” ที่มันจะต้องกลับมาเข้าคอกของมันเอง ว่า “วัวใครเข้าคอกคนนั้น” นั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ กรรมที่มีผู้ใดทําไว้ย่อมส่งผลให้แก่ผู้นั้น ดุจวัวที่กลับเข้าคอกของมันเอง

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยวัวใครเข้าคอกคนนั้น

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตวัวใครเข้าคอกคนนั้น

  • คนอย่างนายมัวแต่ทำบาปทำกรรมไม่เว้นแต่ละวัน ระวังไว้เถอะกรรมจะตามสนองอย่างที่โบราณว่าวัวใครเข้าคอกคนนั้น
  • ทำกรรมอะไรไว้ก็พึงระลึกไว้เถิดว่าวัวใครเข้าคอกคนนั้น
  • สมัยก่อนเขาเคยมีอาชีพขายปลา ซึ่งทุกวันต้องฆ่าปลาโดยการทุบหัว สุดท้ายแล้ววัวใครเข้าคอกคนนั้นตอนนี้เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนทำให้สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง
  • นายทำบาปกรรมอะไรไว้สักวันกรรมนั้นก็ต้องกลับมาถึงนายอยู่ดี เหมือนที่โบราณว่าวัวใครเข้าคอกคนนั้น
  • กรรมใดครก่อย่อมได้รับผลกรรมนั้นเหมือนกับวัวใครเข้าคอกคนนั้น อย่าคิดทำอะไรไม่ดีกับครไว้จะลอยหน้าลอยตาได้

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยเลือดข้นกว่าน้ำ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ล. เลือดข้นกว่าน้ำ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยเลือดข้นกว่าน้ำ

ที่มาของสำนวนนี้ คำว่าเลือดในสำนวนนี้หมายถึง สายเลือด และข้นหมายถึงความความแน่นแฟ้น ซึ่งโดยปกติแล้วเลือดนั้นจะมีความข้นมากกว่าน้ำ จึงนำมาเปรียบเปรยถึงความสำพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเครือญาติย่อมดีกว่าคนนอก(น้ำ) นั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวนนี้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ เครือญาติย่อมดีกว่าคนนอก ใช้ในการเปรียบเปรยถึงการให้ความสำคัญกับ ญาติพี่น้องนั้นสำคัญกว่าคนอื่น โดยเราจะสามารถไว้ใจ หรือเชื่อใจญาติพี่น้องได้มากกว่าคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จัก เพราะว่าเราและพี่น้องของเราอย่างน้อยก็มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด มีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย คนเดียวกัน หรือเป็นเครือญาติกัน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยเลือดข้นกว่าน้ำ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตเลือดข้นกว่าน้ำ

  • เราเองในที่สุดก็พอจะเข้าใจว่าเลือดข้นกว่าน้ำอาจจะอยู่พ้นความคิดที่ว่า เราต่างก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราจะรักและมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน มันก็ต้องอาศัยการรดน้ำพรวนดิน ญาติ ก็คือคนๆ หนึ่ง คนที่ต่างก็มีบุคลิก มีตัวตน มีผลประโยชน์และจุดมุ่งหมายเฉพาะที่พ้นไปจากความเข้มข้นของสายเลือด
  • สุดท้ายพ่อแกก็ยกสมบัติทั้งหมดให้กับลูกชายเขาแทนที่จะเป็นลูกบุญธรรมอย่างแก ไม่ว่าลูกตัวเองจะประพฤติชั่วเช่นไร เลือดก็ข้นกว่าน้ำอยู่แล้ว
  • ดาวเรืองแต่งงานกับนายห้างใหญ่ แรกๆเขาก็ดีกับดาวเรือง แต่พออยู่ด้วยกันนานๆเข้า เขาไปมีผู้หญิงอื่น ทิ้งให้ดาวเรืองอยู่บ้านคนเดียว ดาวเรืองทนไม่ได้จึงไปปรึกษาพี่สาวของเธอ พี่สาวปลอบใจดาวเรืองและให้คำแนะนำด้วยความรักความเป็นห่วง เหตุการณ์นี้ตรงกับสำนวนสุภาษิตไทยที่ว่าเลือดข้นกว่าน้ำ
  • แนวคิดเรื่องเลือดข้นกว่าน้ำเป็นแนวคิดที่เราพบได้ทั่วไป แน่ล่ะเพราะว่าเราส่งต่อสายเลือด ส่งต่อ DNA และส่งต่อความมั่นคงปลอดภัยให้กับทายาททางสายเลือดเป็นหลัก ครอบครัวเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ชีวิตเราเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ ยิ่งโลกสมัยใหม่เข้ามา แนวคิดเรื่องครอบครัวอบอุ่นเป็นแนวคิดที่ทำให้เรายิ่งให้ความสำคัญกับสมาชิกในครอบครัว ในนัยของความอบอุ่นห่วงใย และความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่มีต่อกัน
  • เห็นมั๊ย สุดท้ายแกก้ต้องเลือกกเข้าน้องชายแกมากกว่าเข้าข้างฉัน เหมือนที่เขาว่าไว้ว่าเลือดข้นกว่าน้ำ แม้ว่าน้องชายแกจะผิดก็ตาม

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ล. เล่นเอาเถิดเจ้าล่อ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ

ที่มาของสำนวนนี้ สำนวนนี้มาจากการเล่นสนุกของเด็กในสมัยก่อนที่เรียกว่า “เอาเถิดเจ้าล่อ” ซึ่งจะมีการแบ่งกันเล่นเป็น 2 ฝ่าย แต่เล่นทีละคู่ โดยให้ฝ่ายหนึ่งล่อแล้วให้อีกฝ่ายหนึ่งไล่จับ ฝ่ายที่ล่อจะต้องใช้ความว่องไวหนีหลบหลีกไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ และแสดงท่าทางยั่วให้ฝ่ายไล่เกิดแรงฮึดด้วยการร้องสำนวน “เอาเถิดเจ้าล่อ” ข้าวเหนียวสองห่อ ไม่พอคนกิน” เป็นจังหวะๆ

สรุปความหมายของสำนวนนี้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ อาการที่หลบไปมาเพื่อไม่ให้พบ การหลบกันไปหลบกันมาเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะพบกัน ใช้ในการเปรียบเปรยถึงการพยายามที่จะหลบไปหลบมา ซ้ายทีขวาที เพื่อที่จะหลีกหนี หรือไม่ต้องการเผชิญหน้ากับใครบางคนแบบตรงๆ โดยพยายามเลี่ยงการประจันหน้านั่นเอง

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ

  • ขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่นี้เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับตำรวจมาเป็นเวลานานหลายปี กว่าตำรวจจะสาวถึงต้นตอและบุกจับได้ก็ทำเอาเหนื่อยกันไปตามๆกัน
  • ฟุตบอลคู่นี้ดูแล้วง่วงนอนมาก ทั้งสองฝ่ายเน้นครองบอล ส่งลูอบอลไปมาเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกันอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมบุกทำประตูกันเลย
  • หลังจากที่เขารู้ว่าตนเองเป็นโรคร้ายแรง เขาก็เล่นเอาเถิดเจ้าล่อหลบเลี่ยงไม่มาพบปะ พูดคุยกับเพื่อนๆ อีกเลย
  • ช้างตกมันตัวนี้จับยากมาก เราก็ไล่ตาม มันก็หนีวนไปแวนมา เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับเรา ไม่ยอมให้จับเสียที
  • คนเฉลียวฉลาด รอบรู้เท่าทันเกมกล และสามารถเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับผู้ร่วมเข้าแข่งขันในรายการได้ทุกรูปแบบ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยลูบหน้าปะจมูก ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ล. ลูบหน้าปะจมูก

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยลูบหน้าปะจมูก

ที่มาของสำนวนนี้ คำว่า ลูบ หมายถึงเอาฝ่ามือทาบลงแล้วเลื่อนไปหรือมา เช่น เขาเอามือลูบแขน พ่อลูบหัวลูกสาวด้วยความปรานี ปะ หมายถึง มาพบกัน มาเผชิญหน้ากัน เช่น หนีเสือปะจระเข้ พอผู้ร้ายหันมาปะหน้าตำรวจก็รีบกระโจนหนีอย่างไม่คิดชีวิต หน้า เป็นอวัยวะในส่วนของศีรษะตั้งแต่หน้าผากลงมาจดคาง ส่วนจมูก เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งบนใบหน้า ดังนั้นเมื่อเอามือลูบหน้าลงไปแล้วก็จะถูกจมูกเสมอ

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ทำอะไรเด็ดขาดจริงจังลงไปไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะไปกระทบกระเทือนพวกพ้องของตน จึงนำมาใช้กับพฤติกรรมของผู้มีหน้าที่ต้องลงโทษหรือเอาผิดกับพวกพ้องของตน จึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงหรือให้มีผลกระทบกับพวกพ้องให้น้อยที่สุด

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยลูบหน้าปะจมูก

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตลูบหน้าปะจมูก

  • นายแดงกับนายเขียวมีเรื่องทะเลาะกัน ทั้งสองจึงไปหากำนันดำ เพื่อให้กำนันตัดสินว่าใครผิดใครถูก ด้วยที่กำนันเป็นญาติกับนายแดง ทั้งๆที่รู้อยู่ว่านายแดงเป็นคนผิด แต่กำนันก็ยังให้นายเขียวขอโทษนายแดงก่อน เหตุการณ์นี้ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ลูบหน้าปะจมูก
  • ผู้จัดการบริษัทสั่งให้สอบสวนพนักงานบัญชีของบริษัท โดยไม่เกรงว่าจะลูบหน้าปะจมูก
  • ถ้าคุณยังยังเลือกปฏิบัติทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ช่วยเหลือพรรคพวกของตัวเองอยู่แบบนี้คุณก็คงไม่สามารถที่จะปกครองคนหมู่มากได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีใครนับถือ
  • เพราะคุณพยายามบอกกับทั่วโลกว่า สนามบินของเรานั้นมีมาตรฐานสากล ได้รับการรับรองว่ามีการบริการที่ถูกต้องตามหลักที่ทั่วโลกกำหนด อีกทั้งเปิดพื้นที่เพื่อสิทธิเสรีภาพของผู้หญิง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คุณไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในกฎ กติกา มารยาทที่อวดอ้างอย่างถูกต้อง เหมาะสม นี่แหละ ตัวอย่างของการกระทำที่เรียกว่าลูบหน้าปะจมูก
  • ที่เขาไม่จริงจังกับการกวาดล้างยาเสพติด เพราะรู้ว่าญาติพี่น้องของตัวเองมีส่วนเกี่ยวพันด้วย กลัวว่าจะเป็นการลูบหน้าปะจมูก

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยลูกผีลูกคน ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ล. ลูกผีลูกคน

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยลูกผีลูกคน

ที่มาของสำนวน มาจากสมัยก่อนเมื่อมีเด็กทารกเกิดใหม่ ก็ไม่แน่ว่าจะรอดชีวิตหรือไม่เนื่องจากการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า เด็กที่เกิดมาแล้วเสียชีวิตนั้น เชื่อกันว่าผีมาเอาตัวไป จึ่งเกิดมีประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิดเกิดขึ้น เป็นเหมือนจะหลอกผีว่าเด็กทารกที่เกิดนี้ไม่มีใครต้องการ โดยจะมีคนๆ หนึ่งนำเด็กนั้นใส่กระด้งหรืออุ้มไว้ แล้วแกว่งไปมาปากก็พูดว่า “สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใครมารับเอาไปเน้อ…” ทำนองว่าเด็กคนนี้ไม่มีใครเขาเอา จากนั้นก็จะมีคนอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่พ่อแม่เด็ก มาบอกว่า ลูกของฉันจ้ะ หรือฉันรับเองจ้ะ แล้วก็รับเอาตัวเด็กไป ซึ่งกระบวนการหลอกผีว่าเด็กไม่เป็นที่ต้องการนี้ ยังมีการหลอกว่าเด็กคนนี้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ผีจะได้ไม่อยากได้ ดื้อ จะไม่มีชมว่า เด็กทารกคนนี้สวยหล่อ น่ารักน่าน่าดู แต่มักจะพูดกันว่า หน้าตาน่าเกลียดน่าชัง แทน

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ หวังเป็นที่แน่นอนยังไม่ได้ มักใช้ในกรณีสำคัญๆ ที่จะต้องลุ้นว่าจะสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ ยังไม่สามารถวางใจได้

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยลูกผีลูกคน-

 

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตลูกผีลูกคน

  • ตอนนี้ธุรกิจอาหารของเรากำลังอยู่ในช่วงลูกผีลูกคน เพราะหลังจากเจอพิษเศรษฐกิจทำให้ยอดขายตกต่ำ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาทำกำไรได้หรือไม่
  • การสอบไล่ของสุชาติครั้งนี้ยังลูกผีลูกคนอยู่ ไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไรจะสอบผ่านหรือไม่ ไม่อาจคาดการได้
  • พลอยไปสมัครสอบเป็นแอร์โฮสเตส แต่ผลการสอบสัมภาษณ์ยังลูกผีลูกคนไม่รู้ว่าจะผ่านหรือไม่เพราะมีคู่แข่งที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมไปสมัครเป็นจำนวนมาก
  • สถานการณ์การเมืองในปากีสถาน เข้าสู่ภาวะสุญญากาศ อีกทั้งยัง “ลูกผีลูกคน” จากการที่ “อิมราน ข่าน” นายกรัฐมนตรีปากีสถาน ถูกขับจากตำแหน่งในการลงคะแนนไม่ไว้วางใจของรัฐสภา
  • ร่างกม.เลือกตั้ง ลูกผีลูกคน 10 ส.ค. เฮือกสุดท้าย ในกลเกม ยื้อ-ล้ม 500 หาร เส้นทางร่างพ.ร.บ. เลือกตั้ง ส.ส.

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยลูกขุนพลอยพยัก ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ล. ลูกขุนพลอยพยัก

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยลูกขุนพลอยพยัก

ที่มาของสำนวนนี้คือ ในการพิจารณาคดีนั้นสมัยก่อน คณะลูกขุนที่ร่วมกันพิจารณาอรรถคดีที่ได้รับมอบหมาย มีความคิดเห็นสอดคล้องต้องกัน ไม่มีการทักท้วง หรือโต้แย้งกันเลย เรียกว่าว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน

เปรียบการมีความคิดเห็นเหมือนกันโดยไม่มีการโต้แย้ง หรือทักท้วง ถ้าสิ่งนั้นชอบแล้ว และถูกต้องก็เป็นสิ่งที่ดีที่ควรยกย่อง แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่ชอบ และไม่ถูกต้องแล้วไม่มีการทักท้วง หรือโต้แย้ง ย่อมเป็นการกระทำมิบังควร และไม่สมควรที่จะเออออห่อหมกพยักหน้าเห็นชอบด้วย

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ผู้ที่คอยว่าตามหรือเห็นด้วยกับผู้ใหญ่เป็นเชิงประจบสอพลอผู้น้อยคอยตามผู้ใหญ่

มักใช้กับคนที่เป็นบริวาร หรือลูกน้องที่อยู่รอบๆ เจ้านาย คอยว่าตามเจ้านาย หรือรับลูกต่อจากเจ้านายทุกอย่าง แบบประจบสอพลอ ไม่มีการคัดค้าน หรือขัดขวางแต่อย่างใดเลย ประเภท “ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” ทำนองนี้

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยลูกขุนพลอยพยัก

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตลูกขุนพลอยพยัก

  • ไอ้พวกลูกขุนพลอยพยัก หัวหน้าว่ายังไงก็ว่าตามกันไม่คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสมเลยเอาเสียเลย
  • ถ้าเธอมัวแต่เป็นลูกขุนพลอยพยัก ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง มัวแต่ทำตามใจเจ้านายหรือ เออออตามเจ้านายก็จะได้เป็นเพียงลูกน้องตัวเล็กๆ เท่านั้น
  • นิสัยเป็นคนชอบพูดเอาอกเอาใจเออออตามที่เจ้านายว่าอยู่เสมอเหมือนกับลูกขุนพลอยพยัก ที่คอยประจบสอพลอเจ้านาย
  • คนอย่างเขาก็เป็นได้แค่ลูกขุนพลอยพยัก ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองกลัวแต่ว่าขัดใจนายแล้วจะโดนลงโทษ
  • นักการเมืองบางคนทำตัวเป็นลูกขุนพลอยพยัก อะไรที่ได้ผลประโยชน์กับตนย่อมเออออตามลูกพี่ ส่วนประชาชนรับกรรมเต็มๆ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube