นิทานอีสป เรื่อง “กระทิงกับแพะ” ไทย-Eng

“กระทิงกับแพะ” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงอันตรายจากความโลภมากจนนำหายนะมาสู่ตัวเรา และยังสอนการฟังแนะนำของผู้ที่หวังดีกับเราอยู่เสมอ

นิทานอีสปเรื่องกระทิงกับแพะ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กระทิงผู้แข็งแรงและทรงพลังกับแพะที่ว่องไวและว่องไวอาศัยอยู่ด้วยกันในทุ่งหญ้าเดียวกัน พวกมันมักจะเล็มหญ้าเคียงข้างกัน แต่กระทิงตัวใหญ่และแข็งแรง รู้สึกว่าเหนือกว่าแพะเนื่องจากขนาดและพละกำลังของมัน

Once upon a time, a strong and powerful bull and a nimble and agile goat lived together in the same pasture. They often grazed side by side, but the bull, being large and mighty, felt superior to the goat due to its size and strength.

วันหนึ่งขณะที่พวกมันกำลังเล็มหญ้าใกล้หน้าผาสูงชัน กระทิงตัวนั้นสังเกตเห็นหญ้าหวานที่ขอบหน้าผา กระทิงตัวใหญ่เกินไปที่จะไปถึงหญ้าโดยไม่เสี่ยงต่อการตกจากหน้าผา กระทิงตัวนั้นหงุดหงิดจึงพูดกับแพะว่า “เจ้าตัวเล็กจัง ไปถึงหญ้าอร่อยๆ ที่ริมผาได้ง่ายๆ ทำไมเจ้าไม่ไปกินมันเสียล่ะ”

One day, as they were grazing near a steep cliff, the bull noticed some luscious grass at the edge of the cliff. The bull was too big to reach the grass without risking falling off the cliff. Frustrated, the bull said to the goat, “You are so small and can easily reach that delicious grass at the edge of the cliff. Why don’t you go and eat it?”

แพะแสนรู้รู้ว่าหญ้าใกล้หน้าผานั้นอันตรายที่จะเอื้อมถึง เพราะการก้าวผิดเพียงครั้งเดียวอาจนำไปสู่การตกลงสู่อันตรายได้ แทนที่จะอิจฉาขนาดของกระทิง แพะกลับตอบว่า “กระทิงที่รัก ข้าอาจตัวเล็กกว่าเจ้า แต่ข้าเรียนรู้ที่จะพอใจกับหญ้าที่ข้าสามารถเข้าถึงได้อย่างปลอดภัย พอใจกับสิ่งที่เรามีดีกว่าที่จะเสี่ยงทุกอย่างเพื่อหญ้าที่มากขึ้น”

The wise goat knew that the grass near the cliff was dangerous to reach, as one wrong move could lead to a perilous fall. Instead of being envious of the bull’s size, the goat replied, “Dear bull, I may be smaller than you, but I have learned to be content with the grass that I can safely reach. It’s better to be satisfied with what we have than to risk everything for more.”

กระทิงยังคงไม่เข้าใจความฉลาดของแพะ จึงพูดต่อว่า “แต่หญ้าใกล้หน้าผาดูดีกว่ามาก! ข้าต้องการมัน และข้าจะไม่พอใจจนกว่าจะได้มันมา”

The bull, still not understanding the goat’s wisdom, persisted, “But the grass near the cliff looks so much better! I want it, and I won’t be satisfied until I have it.”

แพะเตือนวัวอีกครั้งเกี่ยวกับอันตราย แต่กระทิงดื้อดึงและยืนกรานที่จะไปถึงหญ้าล่อใจ ขณะที่กระทิงพยายามยืดตัวข้ามหน้าผา มันก็สูญเสียการทรงตัวและล้มลงสู่หายนะ

The goat warned the bull once again about the dangers, but the bull was stubborn and insisted on reaching the tempting grass. As the bull tried to stretch over the cliff, it lost its balance and fell to its doom.

แพะแสนรู้คร่ำครวญกับการสูญเสียเพื่อนของมัน และได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่า ความโลภและความอิจฉาริษยาสามารถบดบังการตัดสินและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย

The wise goat mourned the loss of its companion and learned a valuable lesson: Greed and envy can cloud one’s judgment and lead to disastrous consequences.

นิทานอีสปกระทิงกับแพะ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความพอใจและปัญญามีค่ามากกว่าอำนาจและความโลภ”

  • ความพึงพอใจและความกตัญญู: แพะที่ฉลาดแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพอใจกับสิ่งที่เรามีและซาบซึ้งในพรที่เราเอื้อมถึง ทรัพย์สินหรือความสำเร็จทางวัตถุไม่ควรเป็นพื้นฐานในการเปรียบเทียบคุณค่าของเรากับผู้อื่น
  • เข้าใจข้อจำกัดของตนเอง: แต่ละคนมีจุดแข็งและข้อจำกัดของตนเอง การพยายามเลียนแบบหรือเหนือกว่าผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของเราอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ
  • หลีกเลี่ยงความอิจฉาและความโลภ: ความอิจฉาและความโลภสามารถทำลายล้างและนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดี เรื่องราวนี้เตือนไม่ให้โลภในสิ่งที่คนอื่นมีและเน้นย้ำถึงความสำคัญของการชื่นชมคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนและสติปัญญา: ความอ่อนน้อมถ่อมตนและสติปัญญาของแพะช่วยให้มันตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด ในขณะที่ความเย่อหยิ่งและความปรารถนาที่จะได้มากกว่านี้ของวัวนำไปสู่ความพินาศ

“Contentment and wisdom are worth more than power and greed.”

  • Contentment and gratitude: The wise goat demonstrates the importance of being content with what we have and appreciating the blessings within our reach. Material possessions or achievements should not be the basis for comparing our worth with others.
  • Understanding one’s limitations: Each individual has their own strengths and limitations. Trying to imitate or surpass others without considering our abilities can lead to unfavorable outcomes.
  • Avoiding envy and greed: Envy and greed can be destructive and lead to poor decision-making. The story warns against coveting what others have and emphasizes the importance of appreciating one’s own unique qualities.
  • Humility and wisdom: The goat’s humility and wisdom enabled it to make wise choices, while the bull’s arrogance and desire for more led to its downfall.

โดยสรุปแล้วสอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของความพึงพอใจ เข้าใจข้อจำกัดของเรา และหลีกเลี่ยงความอิจฉาและความโลภ มันเตือนเราว่าความพึงพอใจและปัญญาที่แท้จริงมาจากการเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีและตัดสินใจอย่างรอบคอบตามความสามารถของเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “อสรพิษกับอินทรี” ไทย-Eng

“อสรพิษกับอินทรี” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการทำอะไรดีๆ ไว้ให้กับคนอื่นโลกใบนี้ย่อมเป็นกรรมดี และจะส่งผลดีต่อเราเสมอ และสอนเรื่องการช่วยเหลือคนอื่นในยามทุกข์ยาก

นิทานอีสปเรื่องอสรพิษกับอินทรี

กลางครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีอสรพิษตัวหนึ่งประสบความสำเร็จในการจู่โจมนกอินทรีและพันรอบคอของนกอินทรี อินทรีไม่สามารถเข้าถึงอสรพิษได้ ไม่ว่าจะด้วยจะงอยปากหรือกรงเล็บ มันพยายามทะยานขึ้นไกลออกไปบนท้องฟ้าเพื่อพยายามสลัดศัตรูของมัน แต่อสรพิษจับแน่นขึ้นเท่านั้น และนกอินทรีก็ค่อยๆ จมลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ พร้อมกับหอบหายใจ

Once upon time, A Serpent had succeeded in surprising an Eagle and had wrapped himself around the Eagle’s neck. The Eagle could not reach the Serpent, neither with beak nor claws. Far into the sky he soared trying to shake off his enemy. But the Serpent’s hold only tightened, and slowly the Eagle sank back to earth, gasping for breath.

หนุ่มบ้านนอกมีโอกาสได้เห็นการต่อสู้ที่ไม่เท่าเทียมกัน ด้วยความสงสารอินทรีผู้สูงศักดิ์ เขารีบวิ่งไปช่วยอินทรี และในไม่ช้างูคลายที่ขดตัวและปลดปล่อยอินทรี

A Countryman chanced to see the unequal combat. In pity for the noble Eagle he rushed up and soon had loosened the coiling Serpent and freed the Eagle.

อสรพิษโกรธมาก มันไม่มีโอกาสที่จะกัดคนบ้านนอกที่จับตามองมันอยู่ มันฟาดตัวเข้าที่ขวดน้ำซึ่งห้อยอยู่ที่เข็มขัดของหนุ่มบ้านนอก และปล่อยพิษจากเขี้ยวของมันเข้าไปในนั้น

The Serpent was furious. He had no chance to bite the watchful Countryman. Instead he struck at the drinking horn, hanging at the Countryman’s belt, and into it let fly the poison of his fangs.

ตอนนี้หนุ่มบ้านนอกเดินต่อไปที่บ้าน ระหว่างทางด้วยความกระหายน้ำ เขาเติมน้ำที่น้ำพุและกำลังจะดื่ม มีปีกขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน นกอินทรีกวาดลงมาคว้าแก้วน้ำซึ่งมีพิษของงูจากมือของผู้กอบกู้ของมัน และบินหนีไปพร้อมกับมันเพื่อซ่อนมันในที่ที่หาไม่พบ

The Countryman now went on toward home. Becoming thirsty on the way, he filled his horn at a spring, and was about to drink. There was a sudden rush of great wings. Sweeping down, the Eagle seized the poisoned horn from out his savior’s hands, and flew away with it to hide it where it could never be found.

นิทานอีสปอสรพิษกับอินทรี

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“การกลับใจที่ดีหนึ่งครั้งสมควรได้รับอีกครั้ง และความมีน้ำใจมักจะได้รับการตอบแทน”

  • การแสดงความเมตตาอาจส่งผลที่ไม่คาดคิด: การแสดงความเมตตาและความกล้าหาญของหนุ่มบ้านนอก ในการช่วยอินทรี จากเงื้อมมือของอสรพิษ นั้นน่ายกย่อง อย่างไรก็ตาม ลักษณะที่มุ่งร้ายของอสรพิษ ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง เมื่อมันตอบโต้ด้วยการวางยาพิษให้กับหนุ่มบ้านนอก สิ่งนี้เตือนเราว่าการทำความดีของเราอาจไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
  • บางครั้งการช่วยเหลือผู้อื่นก็มาพร้อมกับความเสี่ยง: การแทรกแซงของหนุ่มบ้านนอก เพื่อช่วยอินทรี มาพร้อมกับอันตรายในระดับหนึ่ง ในขณะที่เขาสามารถช่วยนกอินทรีได้ เขาก็เปิดเผยตัวเองให้ได้รับอันตรายด้วยการจัดการกับงูพิษ สิ่งนี้เน้นให้เห็นถึงความจริงที่ว่าการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เลวร้ายอาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงส่วนบุคคล และเราควรจะจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างรอบคอบ
  • ระวังอันตรายที่ซ่อนอยู่: พิษของอสรพิษในขวดน้ำแสดงว่าอันตรายสามารถแฝงตัวอยู่ในที่ที่ไม่คาดคิด แม้แต่สิ่งของที่ดูเหมือนธรรมดาอย่างขวดน้ำก็อาจเป็นอันตรายถึงตายได้หากปนเปื้อนด้วยยาพิษ สิ่งนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้ยังคงระแวดระวังและระมัดระวังในการใช้ชีวิต เนื่องจากอันตรายที่คาดไม่ถึงอาจปรากฏขึ้นในสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย
  • การคิดอย่างรวดเร็วสามารถช่วยชีวิตได้: การแทรกแซงอย่างทันท่วงทีของนกอินทรีเพื่อกระชากเขาพิษจากมือของหนุ่มบ้านนอก แล้วบินหนีไปช่วยป้องกันหายนะที่อาจเกิดขึ้นได้ สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการระแวดระวังและดำเนินการอย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับภัยคุกคามที่ไม่คาดคิด
  • การกระทำมีผลตามมา: การกระทำของอสรพิษต่ออินทรี เป็นสิ่งเตือนใจว่าการกระทำของเรา ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ สามารถส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ตัวเราเท่านั้นแต่รวมถึงคนรอบข้างด้วย

“One good turn deserves another, and kindness is often rewarded.”

  • Acts of kindness can have unintended consequences: The Countryman’s act of compassion and bravery in saving the Eagle from the Serpent’s grip was commendable. However, the Serpent’s malicious nature led to an unexpected consequence, as it retaliated by poisoning the Countryman’s drinking horn. This reminds us that our good deeds may not always lead to favorable outcomes, and it’s essential to be cautious of potential repercussions.
  • Sometimes, helping others comes with risks: The Countryman’s intervention to help the Eagle came with a degree of danger. While he managed to save the Eagle, he also exposed himself to harm by dealing with a venomous Serpent. This highlights the reality that offering assistance to others, especially in dire situations, may involve personal risks, and one should approach such situations thoughtfully.
  • Beware of hidden dangers: The poisoning of the drinking horn shows that dangers can lurk in unexpected places. Even a seemingly ordinary item like a drinking horn can become a lethal threat if tainted with poison. This serves as a reminder to remain vigilant and cautious in life, as unforeseen dangers may be present in seemingly harmless situations.
  • Quick thinking can save the day: The Eagle’s timely intervention to snatch the poisoned horn from the Countryman’s hands and fly it away prevented a potential disaster. This underscores the importance of being vigilant and acting swiftly when faced with unexpected threats.
  • Actions have consequences: The Serpent’s act of poisoning the horn had lasting consequences. It is a reminder that our actions, whether positive or negative, can have far-reaching effects, impacting not just ourselves but also those around us.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเรื่องความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความเมตตา ความจำเป็นในการระแวดระวังเมื่อเผชิญกับอันตรายที่ซ่อนอยู่ และความสำคัญของการเข้าใจว่าการกระทำมีผลที่ตามมา กระตุ้นให้เรามีสติในการเลือกของเราและรับมือกับสถานการณ์ด้วยความเห็นอกเห็นใจและความระมัดระวัง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “จิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับปูฉลาด” ไทย-Eng

“จิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับปูฉลาด” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการใช้ความฉลาดและความถนัดของตนเองเพื่อความได้เปรียบในสถานการณ์ต่างๆ และกันยอมรับในจุดแข็งจุดอ่อนของเรา

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับปูฉลาด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สุนัขจิ้งจอกแสนรู้กับปูแสนรู้อาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำ วันหนึ่งสุนัขจิ้งจอกชวนปูไปรับประทานอาหารด้วยกันที่ถ้ำสุนัขจิ้งจอก ปูยินดีตอบรับคำเชิญและออกเดินทางไปยังบ้านของสุนัขจิ้งจอก

Once upon a time, a clever fox and a wise crab lived near a river. One day, the fox invited the crab to have a meal together at the fox’s den. The crab gladly accepted the invitation, and they set out for the fox’s home.

ขณะที่พวกเขาเดินไปด้วยกัน สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์วางแผนหลอกปูและทำให้มันดูโง่ เมื่อไปถึงถ้ำสุนัขจิ้งจอก สุนัขจิ้งจอกก็เตรียมอาหารอย่างฟุ่มเฟือย แต่อาหารทั้งหมดวางอยู่บนหินเรียบ

As they walked together, the fox, being cunning, plotted to trick the crab and make a fool of him. When they reached the fox’s den, the fox prepared a lavish feast, but all the food was placed on a flat, smooth rock.

สุนัขจิ้งจอกซึ่งมีอุ้งเท้าที่ว่องไวสามารถหยิบอาหารและเพลิดเพลินกับอาหารได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ปูเดินไปด้านข้างอย่างเงอะงะและกรงเล็บที่บอบบาง พยายามที่จะกินอะไรจากพื้นเรียบ

The fox, with his nimble paws, could easily pick up the food and enjoy the meal. However, the crab, with his clumsy sideways walk and delicate claws, struggled to eat anything from the flat surface.

ขณะที่ปูพยายามจะกิน สุนัขจิ้งจอกก็แสยะยิ้มและเย้ยหยัน “โอ้ เจ้าปูที่รัก เจ้าซุ่มซ่ามจัง! ดูสิว่าเจ้ากินลำบากแค่ไหนในขณะที่ข้าเพลิดเพลินกับงานฉลองอันโอชะนี้อย่างง่ายดาย”

As the crab tried to eat, the fox smirked and mocked, “Oh dear crab, you are so clumsy! Look at how you struggle to eat while I enjoy this delicious feast with ease.”

ปูฉลาดไม่ถูกหลอกง่ายๆ มันยังคงสงบนิ่งและตอบว่า “เจ้าจิ้งจอกที่รัก มันเป็นความจริงที่ข้าพบว่ามันยากที่จะกินอาหารจากพื้นเรียบนี้ อย่างไรก็ตาม ข้าชำนาญในการเคลื่อนตัวในน้ำ ให้เราไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วเราจะได้ทานอาหารด้วยกัน”

The wise crab was not easily deceived. He remained calm and replied, “Dear fox, it is true that I find it difficult to eat from this flat surface. However, I am skilled at moving in water. Let us go to the riverbank, and there we can enjoy a meal together.”

สุนัขจิ้งจอกกระหายที่จะพิสูจน์ความเหนือกว่าของมัน จึงตกลงตามคำแนะนำของปูและตามเขาไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อพวกเขามาถึงน้ำ ปูก็เคลื่อนตัวลงไปในแม่น้ำอย่างรวดเร็วและเริ่มจับปลาแสนอร่อย ในขณะที่สุนัขจิ้งจอกทำได้เพียงเฝ้ามองจากฝั่งเท่านั้น

The fox, eager to prove his superiority, agreed to the crab’s suggestion and followed him to the riverbank. As they reached the water, the crab swiftly moved into the river and started catching delicious fish, while the fox could only watch from the shore.

เมื่อตระหนักถึงความผิดพลาดของตน สุนัขจิ้งจอกก็รู้สึกละอายใจในความเย่อหยิ่งของตน มันประเมินสติปัญญาและความสามารถของปูต่ำไป ด้วยความฉลาดของปูจึงพลิกสถานการณ์ให้ได้เปรียบและเอาชนะสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ได้

Realizing his mistake, the fox felt ashamed of his arrogance. He had underestimated the crab’s wisdom and abilities. The crab, being wise, had turned the situation to his advantage and outsmarted the cunning fox.

นิทานอีสปจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับปูฉลาด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“สติปัญญาและความสามารถในการปรับตัวสามารถเอาชนะความฉลาดแกมโกงและความเย่อหยิ่งเมื่อเผชิญกับความท้าทาย”

  • ปัญญาเหนือความเย่อหยิ่ง: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของปัญญาและความเฉลียวฉลาดเหนือความเย่อหยิ่งและความจองหอง ความเย่อหยิ่งของสุนัขจิ้งจอกทำให้มันประเมินปูต่ำไป ในขณะที่ความเฉลียวฉลาดของปูทำให้มันสามารถพลิกสถานการณ์ได้
  • การใช้จุดแข็ง: ปูแสดงให้เห็นว่าการใช้จุดแข็งและทักษะของตนเป็นสิ่งสำคัญในการเอาชนะความท้าทาย ในขณะที่เขาต่อสู้บนบก เขาเก่งในน้ำ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัว
  • หลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่งและการเยาะเย้ย: เรื่องราวนี้เตือนให้ระวังความเย่อหยิ่งและการเยาะเย้ยผู้อื่น เนื่องจากอาจนำไปสู่การประเมินความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไปและส่งผลให้เกิดความอับอาย
  • เคารพในความแตกต่าง: แต่ละคนมีความสามารถและจุดแข็งเฉพาะตัว เรื่องราวนี้เตือนใจให้เราเคารพและชื่นชมความแตกต่างของผู้อื่น แทนที่จะดูแคลนหรือประเมินพวกเขาต่ำเกินไป

“Wisdom and adaptability can outshine cunning and arrogance in the face of challenges.”

  • Wisdom over arrogance: The story highlights the importance of wisdom and intelligence over arrogance and pride. The fox’s arrogance led him to underestimate the crab, while the crab’s wisdom allowed him to turn the situation in his favor.
  • Using one’s strengths: The crab demonstrated that utilizing one’s strengths and skills is essential to overcoming challenges. While he struggled on land, he excelled in water, showing the importance of adaptability.
  • Avoiding arrogance and mockery: The story warns against arrogance and mocking others, as it can lead to underestimating their capabilities and result in embarrassment.
  • Respecting differences: Each individual has unique abilities and strengths. The story reminds us to respect and appreciate the differences in others instead of belittling or underestimating them.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับคุณค่าของปัญญา ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการใช้จุดแข็งของเราเพื่อเอาชนะความท้าทาย มันเตือนไม่ให้เกิดความเย่อหยิ่งและเตือนให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพและคำนึงถึงผู้อื่น โดยประเมินความสามารถและคุณสมบัติเฉพาะตัวของพวกเขา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “คนตัดไม้กับเทพารักษ์” ไทย-Eng

“คนตัดไม้กับเทพารักษ์” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความซื่อสัตย์เป็นสิ่งหนึ่งที่ดีสุดในชีวิตของคนเรา ความซื่อสัตย์นั้นให้คุณค่าดีๆ หลายอย่างแก่เรา

นิทานอีสปเรื่องคนตัดไม้กับเทพารักษ์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายตัดไม้ยากจนคนหนึ่งกำลังตัดไม้ใกล้แม่น้ำ ขวานหลุดจากมือและตกลงไปในน้ำ คนตัดไม้เสียใจมากเพราะขวานเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดและเป็นหนทางเดียวในการดำรงชีพของเขา เขานั่งอยู่ริมตลิ่ง รู้สึกหมดหนทางและสิ้นหวัง

Once upon a time, a poor woodman was cutting wood near a river when his axe slipped from his hand and fell into the water. The woodman was devastated as the axe was his most valuable possession and his only means of livelihood. He sat by the riverbank, feeling helpless and hopeless.

ขณะที่เขาเสียใจกับการสูญเสีย เทพารักษ์ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ส่งสารของทวยเทพก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา เมอร์คิวรี่ถามคนตัดไม้ว่ามีปัญหาอะไรกับเขา และคนทำไม้ก็อธิบายว่าเขาทิ้งขวานลงแม่น้ำ และตอนนี้เขาไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้

As he lamented his loss, the god Mercury, known as the messenger of the gods, appeared before him. Mercury asked the woodman what was troubling him, and the woodman explained that he had dropped his axe into the river, and now he could not work to support his family.

ด้วยชะตากรรมของช่างตัดไม้ เทพารักษ์พุ่งลงไปในแม่น้ำและโผล่ออกมาพร้อมขวานทองคำในมือของเขา เขาถามคนตัดไม้ว่า “นี่คือขวานของเจ้าหรือเปล่า”

Moved by the woodman’s plight, Mercury dived into the river and emerged with a golden axe in his hand. He asked the woodman, “Is this your axe?”

คนตัดไม้มองดูขวานสีทองที่ส่องประกายแล้วตอบว่า “ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ขวานของข้า ของข้าเป็นขวานเหล็กธรรมดา”

The woodman looked at the shining golden axe and replied, “No, that is not my axe. Mine was a simple iron one.”

เมอร์คิวรี่ผงกศีรษะและดำดิ่งลงไปในแม่น้ำอีกครั้ง คราวนี้กลับมาพร้อมกับขวานเงิน เขาถามคนตัดไม้อีกครั้งว่า “นี่ใช่ขวานของเจ้าหรือเปล่า”

Mercury nodded and dived into the river again, this time returning with a silver axe. Once again, he asked the woodman, “Is this your axe?”

คนตัดไม้ตอบว่า “ไม่ นั่นไม่ใช่ขวานของข้าเหมือนกัน ของข้าก็เป็นขวานเหล็กธรรมดา”

Again, the woodman replied, “No, that is not my axe either. Mine was just a plain iron axe.”

เทพารักษ์ยิ้มและพุ่งลงไปในแม่น้ำเป็นครั้งที่สาม คราวนี้เขานำขวานเหล็กที่หายไปของช่างตัดไม้กลับมา คนตัดไม้ดีใจและอุทานว่า “ใช่แล้ว นั่นคือขวานของข้า ขอบคุณเทพารักษ์ผู้ใจดี!”

Mercury smiled and dived into the river for the third time. This time, he brought back the woodman’s lost iron axe. The woodman was overjoyed and exclaimed, “Yes, that is my axe! Thank you, kind god!”

ด้วยความประทับใจในความซื่อสัตย์และความซื่อสัตย์ของช่างตัดไม้ เทพารักษ์ไม่เพียงแต่คืนขวานที่หายไปของช่างตัดไม้เท่านั้น แต่ยังมอบขวานทองคำและเงินให้แก่เขาเพื่อเป็นรางวัลสำหรับความสัตย์จริงของเขาด้วย

Impressed by the woodman’s honesty and integrity, Mercury not only returned the woodman’s lost axe but also gifted him the golden and silver axes as rewards for his truthfulness.

คนตัดไม้ขอบคุณเทพารักษ์ และกลับบ้านพร้อมขวานของเขาเองและขวานอีกสองอัน เขาเล่าเรื่องนี้ให้ครอบครัวฟัง พวกเขาทึ่งในความซื่อสัตย์ของเขาและรางวัลที่เขาได้รับอย่างไม่คาดฝัน

The woodman thanked Mercury and returned home with his own axe and the two additional axes. He shared the story with his family, and they were amazed by his honesty and the unexpected rewards he received.

นิทานอีสปคนตัดไม้กับเทพารักษ์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติที่มีคุณค่าที่สามารถนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ไม่คาดคิดได้”

  • ความซื่อสัตย์และความซื่อตรง: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์และความจริง แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งล่อใจหรือความทุกข์ยากก็ตาม ความซื่อตรงของช่างตัดไม้ในการยอมรับความจริงเกี่ยวกับขวานที่หายไปทำให้เขาได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า
  • สิ่งของที่ครอบครองเทียบกับความซื่อสัตย์: คนตัดไม้ให้ความสำคัญกับคุณค่าของขวานเหล็กอันต่ำต้อยของเขาเอง มากกว่าเสน่ห์ของขวานทองคำและเงิน ตอกย้ำบทเรียนว่าการมีทรัพย์สินทางวัตถุไม่ควรลดทอนความซื่อสัตย์ของเรา
  • รางวัลที่ไม่คาดคิดของความซื่อสัตย์: เรื่องราวแสดงให้เห็นว่าความซื่อสัตย์และความซื่อสัตย์สามารถนำไปสู่รางวัลและพรที่คาดไม่ถึง ด้วยความสัตย์จริง คนตัดไม้ไม่เพียงได้รับขวานที่หายไปเท่านั้น แต่ยังได้รับขวานที่มีค่าเพิ่มเติมเป็นรางวัลอีกด้วย
  • การแทรกแซงจากสวรรค์: การปรากฏตัวของเทพารักษ์เป็นสัญลักษณ์ของแนวคิดที่ว่าความซื่อสัตย์ได้รับการยอมรับและได้รับรางวัล แม้กระทั่งจากอำนาจที่สูงกว่า

“Honesty and integrity are valuable qualities that can bring unexpected rewards.”

  • Honesty and integrity: The story highlights the importance of being honest and truthful, even when faced with temptation or adversity. The woodman’s integrity in admitting the truth about his lost axe earned him the god’s favor.
  • Material possessions vs. honesty: The woodman’s focus on the value of his own humble iron axe, rather than the allure of the golden and silver axes, underscores the lesson that material possessions should not compromise our honesty.
  • Unexpected rewards of honesty: The story shows that honesty and integrity can lead to unexpected rewards and blessings. By being truthful, the woodman received not only his lost axe but also additional valuable axes as a reward.
  • Divine intervention: The presence of Mercury, the god, symbolizes the concept that honesty is recognized and rewarded, even by higher powers.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับพลังของความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์ และคุณค่าของการคงไว้ซึ่งความจริงใจต่อตนเองแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก สิ่งนี้เตือนเราว่าความซื่อสัตย์ไม่ได้เป็นเพียงคุณธรรมเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปสู่รางวัลและพรที่คาดไม่ถึงได้อีกด้วย

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ชายฟุ่มเฟือยกับนกนางแอ่น” ไทย-Eng

“ชายฟุ่มเฟือยกับนกนางแอ่น” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความอันตรายจากการฟุ่มเฟือย และการแสวงหาความสุขจากสิ่งภายนอก และสอนเราถึงการแสวงหาความสุขที่แท้จริง

นิทานอีสปเรื่องชายฟุ่มเฟือยกับนกนางแอ่น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับมรดกก้อนโต เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องการใช้จ่ายอย่างบ้าระห่ำและการใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือย เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องการออมเงินหรือการวางแผนสำหรับอนาคต เขาเลือกที่จะดื่มด่ำกับของฟุ่มเฟือยและปาร์ตี้ฟุ่มเฟือย

Once upon a time, there was a young man who had a large inheritance. He was known for his reckless spending and extravagant lifestyle. He cared little about saving money or planning for the future, preferring to indulge in luxuries and lavish parties.

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เขาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายทรัพย์สมบัติของเขาในงานเลี้ยงอื่นๆ ฟุ่มเฟือย เขาสังเกตเห็นนกนางแอ่นเกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ นกนางแอ่นดูมีชีวิตชีวาและพึงพอใจ แม้ว่ามันจะไม่มีสมบัติหรือทรัพย์สมบัติใดๆ

One day, as the spendthrift was squandering his wealth on yet another extravagant feast, he noticed a swallow perched on a nearby tree. The swallow looked lively and content, even though it had no possessions or wealth.

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงเข้าไปหานกนางแอ่นแล้วพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงดูมีความสุขจัง ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเลย ข้ามีทรัพย์สินมากมายในโลกนี้ แต่ข้าไม่พบความยินดีหรือความพอใจเลย”

Curious, the spendthrift approached the swallow and said, “Why do you look so happy when you have nothing? I have all the riches in the world, and yet I find no joy or satisfaction.”

นกนางแอ่นตอบว่า “พ่อหนุ่มที่รัก ความสุขไม่ได้มาจากวัตถุสิ่งของหรือความมั่งคั่ง ความพอใจที่แท้จริงอยู่ที่การได้ชื่นชมกับความสุขที่เรียบง่ายของชีวิต เช่น ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ ความงามของธรรมชาติ และมิตรภาพของคนที่รัก ฉันอาจไม่มีทรัพย์สมบัติ แต่ฉันมีอิสระที่จะท่องไปบนท้องฟ้าและเพลิดเพลินกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลก”

The swallow replied, “Dear young man, happiness does not come from material possessions or wealth. True contentment lies in appreciating the simple joys of life, such as the warmth of the sun, the beauty of nature, and the companionship of loved ones. I may have no wealth, but I am free to roam the skies and enjoy the wonders of the world.”

เขาก็ผงะเพราะภูมิปัญญาของคำพูดของนกนางแอ่น เขาเริ่มคิดถึงวิถีชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อของเขาและตระหนักว่าแม้เขาจะร่ำรวยแค่ไหน แต่เขาก็ยังรู้สึกว่างเปล่าและไม่สมหวัง เขาอิจฉาธรรมชาติที่ไร้กังวลและความสุขง่ายๆ ของนกนางแอ่น

The spendthrift was taken aback by the wisdom of the swallow’s words. He started to reflect on his extravagant lifestyle and realized that despite all his riches, he felt empty and unfulfilled. He envied the swallow’s carefree nature and simple pleasures.

จากวันนั้นเป็นต้นมา คนประหยัดก็ตัดสินใจเปลี่ยนวิถี เขาเริ่มเห็นความสำคัญของการออมเงินและใช้ชีวิตตามวิถีทางของเขา เขาเลิกใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไปกับสิ่งฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น และเริ่มชื่นชมกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต

From that day on, the spendthrift decided to change his ways. He began to value the importance of saving money and living within his means. He stopped squandering his wealth on unnecessary luxuries and started to appreciate the little joys in life.

เมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เขาฉลาดขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และพบความสุขอย่างแท้จริงในความเรียบง่ายของชีวิต เขาเรียนรู้ว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้วัดจากทรัพย์สินที่เรามี แต่วัดจากประสบการณ์อันยาวนานและความพอใจที่เรารู้สึกในใจ

With time, the spendthrift’s life transformed. He became wiser, more responsible, and found genuine happiness in the simplicity of life. He learned that true wealth is not measured by the possessions we have but by the richness of our experiences and the contentment we feel in our hearts.

นิทานอีสปชายฟุ่มเฟือยกับนกนางแอ่น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความสุขพบได้จากการชื่นชมความสุขและประสบการณ์ที่เรียบง่ายของชีวิต ไม่ใช่การแสวงหาความมั่งคั่งและความฟุ่มเฟือยหรูหรา”

  • การแสวงหาความสุขที่แท้จริง: นิทานสอนเราว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการครอบครองวัตถุหรือการใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือย มันอยู่ที่การหาความพอใจในความสุขอันเรียบง่ายของชีวิต
  • อันตรายจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย: การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของคนสุรุ่ยสุร่ายทำให้เกิดความรู้สึกว่างเปล่าและไม่พอใจ เรื่องราวนี้เตือนถึงการใช้ชีวิตเกินกำลังของเราและการใช้ทรัพยากรอย่างสุรุ่ยสุร่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น
  • ชื่นชมกับความสุขที่เรียบง่าย: นกนางแอ่นพึงพอใจกับชีวิตที่เรียบง่ายของมัน กระตุ้นให้เราชื่นชมความงามของธรรมชาติ ความรักของครอบครัวและเพื่อนฝูง และอิสระที่จะเพลิดเพลินกับความสุขที่เรียบง่ายของชีวิต
  • คุณค่าของภูมิปัญญาและการไตร่ตรอง: การเปลี่ยนแปลงของการใช้จ่ายอย่างประหยัดมาจากการไตร่ตรองถึงชีวิตของเขาและภูมิปัญญาที่นกนางแอ่นใช้ร่วมกัน เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากประสบการณ์ของเราและการแสวงหาภูมิปัญญาจากแหล่งที่คาดไม่ถึง

“Happiness is found in appreciating life’s simple joys and experiences, not in the pursuit of extravagant wealth and luxury.”

  • The pursuit of true happiness: The story teaches us that genuine happiness does not come from material possessions or extravagant lifestyles. It lies in finding contentment in the simple joys of life.
  • The dangers of reckless spending: The spendthrift’s reckless spending led to a feeling of emptiness and dissatisfaction. The story warns against living beyond our means and squandering resources on unnecessary things.
  • Appreciating the simple pleasures: The swallow’s contentment with its simple life encourages us to appreciate the beauty of nature, the love of family and friends, and the freedom to enjoy life’s simple pleasures.
  • The value of wisdom and reflection: The spendthrift’s transformation came from reflecting on his life and the wisdom shared by the swallow. The story highlights the importance of learning from our experiences and seeking wisdom from unexpected sources.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของการค้นหาความพึงพอใจในชีวิต อันตรายของวัตถุนิยมที่มากเกินไป และคุณค่าของการใช้ชีวิตอย่างมีสติและชื่นชมความสุขที่เรียบง่ายที่อยู่รอบตัวเราทุกวัน มันเตือนเราว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การครอบครองแต่อยู่ในประสบการณ์ที่มากมายของเราและความสุขที่เราพบในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “คนเลี้ยงแพะกับแพะป่า” ไทย-Eng

“คนเลี้ยงแพะกับแพะป่า” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และความอันตรายของความอิจฉาที่ปราถนาสิ่งต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา

นิทานอีสปเรื่องคนเลี้ยงแพะกับแพะป่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายเลี้ยงแกะคนหนึ่งพาแพะไปกินหญ้าบนภูเขา วันหนึ่งขณะที่เขาออกไปกับฝูงแกะของเขา เขาสังเกตเห็นฝูงแพะป่ากินหญ้าบนหน้าผาสูงชัน ไกลเกินกว่าที่เขาเอื้อมถึง แพะป่าเหล่านี้มีเขาที่สง่างามและดูทรงพลังและสง่างามกว่าแพะของเขาเองมาก

Once upon a time, a goatherd used to take his goats to graze in the mountains. One day, while he was out with his flock, he noticed a group of wild goats grazing on a steep cliff, far beyond his reach. These wild goats had majestic horns and looked more powerful and magnificent than his own goats.

คนเลี้ยงแพะรู้สึกอิจฉาและอยากได้แพะที่น่าประทับใจเช่นนี้ จึงคิดแผนที่จะจับพวกมัน เขาคิดในใจว่า “ถ้าข้าสามารถล่อแพะป่าเหล่านี้ให้ลงมาจากหน้าผาได้ ข้าจะเพิ่มพวกมันเข้าฝูงของข้าเอง”

Feeling envious and desiring to have such impressive goats, the goatherd thought of a plan to capture them. He thought to himself, “If I can somehow entice these wild goats to come down from the cliff, I can add them to my own herd.”

คนเลี้ยงแพะเริ่มเป่าขลุ่ยและขับขานบทเพลงอันไพเราะ ฝูงแพะป่ารู้สึกทึ่งกับเสียงดนตรีอันไพเราะ จึงขยับเข้าไปใกล้เพื่อฟัง คนเลี้ยงแพะยังคงเล่นต่อไป ล่อแพะป่าลงมาจากหน้าผาสูงชันและห่างจากจุดกินหญ้าที่ปลอดภัยของพวกมัน

The goatherd started playing his flute and producing melodious tunes. The wild goats, intrigued by the beautiful music, began to move closer to listen. The goatherd continued to play, luring the wild goats down the steep cliff and away from their safe grazing spot.

เมื่อแพะป่าเข้ามาใกล้ คนเลี้ยงแพะก็ปิดตาข่ายรอบตัวอย่างรวดเร็ว จับแพะทั้งฝูงไว้ได้ เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความสำเร็จของเขา และคิดว่าตอนนี้เขาเป็นเจ้าของแพะป่าที่สวยงามแล้ว

As the wild goats approached, the goatherd swiftly closed his net around them, capturing the whole group. He was overjoyed with his success, thinking he now owned the magnificent wild goats.

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเข้าไปใกล้แพะที่จับได้ เขาสังเกตเห็นว่าพวกมันไม่ใช่อย่างที่เขาจินตนาการไว้ แพะป่าดุร้าย ไม่เชื่องและควบคุมได้ยาก พวกเขาพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดจากตาข่าย ก่อความวุ่นวายและทำร้ายตัวเองในกระบวนการนี้

However, as he approached the captured goats, he noticed that they were not as he had imagined. The wild goats were fierce, untamed, and difficult to control. They struggled and fought to break free from the net, causing chaos and injuring themselves in the process.

เมื่อตระหนักถึงความผิดพลาด คนเลี้ยงแพะจึงรู้สึกเสียใจกับความโลภและความริษยา เขาตระหนักว่าการพยายามครอบครองบางสิ่งที่ดุร้ายและไม่เชื่องนั้นมาพร้อมกับผลลัพธ์และอันตรายที่คาดไม่ถึง

Realizing his mistake, the goatherd regretted his greed and envy. He realized that trying to possess something that was wild and untamed came with unexpected consequences and dangers.

ในที่สุดคนเลี้ยงแกะก็ตัดสินใจปล่อยแพะป่ากลับคืนสู่ภูเขา เขายอมรับว่าแพะของเขาเองแม้จะไม่ใหญ่โตเท่าแพะป่า แต่ก็เชื่องและควบคุมได้ เขาเรียนรู้ที่จะชื่นชมและพอใจกับสิ่งที่เขามีอยู่แล้ว

In the end, the goatherd decided to release the wild goats back into the mountains. He acknowledged that his own goats, though not as grand as the wild goats, were tame and manageable. He learned to appreciate and be content with what he already had.

นิทานอีสปคนเลี้ยงแพะกับแพะป่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความโลภและความอิจฉาสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ และสิ่งสำคัญคือต้องเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ มากกว่าการไล่ตามสิ่งที่ดูดีกว่า”

  • อันตรายของความอิจฉาริษยาและความโลภ: ความอิจฉาของแพะป่าทำให้เขาตัดสินใจหุนหันพลันแล่นโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
  • พอใจในสิ่งที่เรามี: นิทานเตือนใจเราให้พอใจกับทรัพย์สินที่เรามีและไม่อิจฉาริษยาผู้อื่น สิ่งที่ดูน่าดึงดูดจากระยะไกลอาจไม่เหมาะกับเรา
  • ทำให้เชื่องในป่า: แพะป่าเป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาหรือความทะเยอทะยานที่ไม่เชื่อง เรื่องราวสอนให้เราระมัดระวังเมื่อพยายามครอบครองหรือควบคุมบางสิ่งที่ดุร้ายและไม่เชื่อง เพราะอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดได้
  • ความกตัญญูกตเวทีต่อสิ่งที่เรามี: คนเลี้ยงแพะเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าแพะของตัวเอง รู้จักความคุ้นเคยและง่ายต่อการจัดการ

“Greed and envy can lead to undesired consequences, and it’s important to value what one has rather than chasing what appears better.”

  • The dangers of envy and greed: The goatherd’s envy of the wild goats led him to make impulsive decisions without considering the consequences.
  • Contentment with what we have: The story reminds us to be content with our possessions and not to be envious of others. What may seem attractive from afar might not be suitable for us.
  • Taming the wild: The wild goats symbolize untamed desires or ambitions. The story teaches us to be cautious when trying to possess or control something that is wild and untamed, as it can lead to unintended consequences.
  • Gratitude for what we have: The goatherd learned to appreciate the value of his own goats and the familiarity and ease of handling them.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับอันตรายของความอิจฉาริษยาและความโลภ ความสำคัญของความพึงพอใจ และความจำเป็นที่จะต้องรู้จักและเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เป็นการเน้นความสำคัญของการมีสติรู้เท่าทันกิเลสและเข้าใจว่าบางครั้งสิ่งที่เราปรารถนาอาจไม่เหมาะหรือเป็นประโยชน์อย่างที่เราคิดไว้แต่แรก

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “กวางผู้สง่างามป่วย” ไทย-Eng

“กวางผู้สง่างามป่วย” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการปกปิดความอ่อนแอของเรา มีแต่แย่กับแย่ ความอ่อนแอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และอย่าลังเลที่จะรับความเชื่อเหลือจากผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องกวางผู้สง่างามป่วย

กาลครั้งหนึ่ง ณ ป่าทึบ มีกวางผาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ เขาแข็งแรง ว่องไว และเป็นที่ชื่นชมของสัตว์อื่นๆ อย่างไรก็ตาม วันหนึ่ง กวางล้มป่วยหนัก ร่างกายที่เคยภูมิใจและทรงพลังของมันเริ่มอ่อนแอ และมันไม่สามารถวิ่งผ่านป่าได้อย่างสง่างามอีกต่อไป

Once upon a time, in a dense forest, there lived a majestic stag. He was strong, swift, and admired by all the other animals. However, one day, the stag fell seriously ill. His once proud and powerful body became weak, and he could no longer run gracefully through the forest.

กวางตัวนี้รู้สึกอ่อนแอและหมดหนทางจึงตัดสินใจถอยไปยังจุดที่เงียบสงบเพื่อซ่อนความอ่อนแอจากสัตว์ตัวอื่น มันไม่ต้องการให้พวกเขาเห็นมันในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ เพราะมันกลัวว่าพวกเขาจะสูญเสียความเคารพในตัวมัน

Feeling vulnerable and helpless, the stag decided to retreat to a quiet and secluded spot to hide his weakness from the other animals. He didn’t want them to see him in such a pitiful state, as he feared they would lose respect for him.

เมื่อวันเวลาผ่านไป อาการของกวางก็แย่ลงเรื่อยๆ และอ่อนแอลงเรื่อยๆ แม้ว่ามันจะพยายามซ่อน แต่สัตว์กลุ่มหนึ่งก็ค้นพบที่ซ่อนของมัน พวกเขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับอาการป่วยของกวางจึงมาดูว่าจริงหรือไม่

As the days passed, the stag’s condition worsened, and he grew weaker and weaker. Despite his efforts to hide, a group of animals discovered his hiding place. They had heard rumors about the stag’s illness and came to see if it was true.

บรรดาสัตว์ต่างๆ เข้าหากวางป่วยด้วยความห่วงใยและสงสาร นกเค้าแมวแก่แสนรู้ซึ่งอยู่ในหมู่พวกมันพูดกับกวางอย่างอ่อนโยนว่า “เพื่อนรัก เราได้ยินข่าวว่าเจ้าป่วยแล้ว และเราอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือเจ้า การซ่อนความเจ็บป่วยของคุณไม่ได้ช่วยให้มันหายไป ให้เรานำอาหารบำรุงร่างกายมาให้เจ้าและดูแลเจ้า”

The animals approached the sick stag with concern and compassion. The wise old owl, who was among them, spoke gently to the stag, “Dear friend, we have heard of your illness, and we are here to help you. Hiding your sickness won’t make it go away. Let us bring you some nourishing food and take care of you.”

กวางรู้สึกประทับใจในความใจดีและความเข้าใจของสัตว์ตัวอื่น มันตระหนักว่าการซ่อนความเจ็บป่วยของเขาทำให้มันต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เงียบๆ และมันยอมรับความช่วยเหลือจากพวกสัตว์อื่นๆ อย่างสุดซึ้ง

The stag was moved by the kindness and understanding shown by the other animals. He realized that hiding his sickness had only made him suffer in silence, and he accepted their help gratefully.

ภายใต้การดูแลและช่วยเหลือของสัตว์อื่นๆ กวางก็เริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ด้วยเวลาและการบำรุงเลี้ยง มันจึงฟื้นคืนพละกำลัง และเขากวางที่เคยภาคภูมิใจของเขาก็ตั้งตระหง่านอีกครั้ง

Under the care and support of the other animals, the stag slowly began to recover. With time and nourishment, he regained his strength, and his once-proud antlers stood tall once again.

เมื่อกวางนึกถึงประสบการณ์ของมัน มันได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่า มันเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติที่จะแสดงความเปราะบางและขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น การพยายามซ่อนความอ่อนแอและการดิ้นรนจากผู้อื่นมีแต่จะนำไปสู่ความโดดเดี่ยวและความทุกข์ยากยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังอยู่ในความสามารถในการแสวงหาการสนับสนุนและแสดงความเปราะบาง

As the stag reflected on his experience, he learned a valuable lesson. He understood that it is okay to show vulnerability and ask for help when needed. Trying to hide weaknesses and struggles from others only leads to isolation and further suffering. True strength lies not only in physical prowess but also in the ability to seek support and show vulnerability.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา กวางก็กลายเป็นที่รู้จักในด้านความฉลาดและความอ่อนน้อมถ่อมตน มันสอนสัตว์อื่นๆ ถึงความสำคัญของความสามัคคี ความเห็นอกเห็นใจ และความเข้มแข็งที่มาจากการสนับสนุนซึ่งกันและกันในยามที่ต้องการ

From that day on, the stag became known for his wisdom and humility. He taught the other animals the importance of unity, compassion, and the strength that comes from supporting each other in times of need.

นิทานอีสปกวางผู้สง่างามป่วย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความแข็งแกร่งที่แท้จริงรวมถึงความกล้าหาญที่จะแสดงความอ่อนแอและขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น ความสามัคคีและความเห็นอกเห็นใจเป็นพลังที่ทรงพลังสำหรับการเยียวยาและการสนับสนุน”

  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก: เรื่องราวนี้สอนเราถึงความสำคัญของการคงไว้ซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตนและใจดีแม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายหรือความอ่อนแอก็ตาม
  • คุณค่าของความเห็นอกเห็นใจและความเห็นอกเห็นใจ: การที่กวางเผชิญหน้ากับสัตว์อื่นๆ แสดงให้เราเห็นถึงความสำคัญของการแสดงความเห็นอกเห็นใจและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นในยามที่พวกเขาต้องการ
  • พลังแห่งความเปราะบาง: ความเปราะบางของกวางทำให้มันเข้าถึงได้และทำให้ผู้อื่นเชื่อมต่อกับมันในระดับที่ลึกขึ้น
  • ค้นหาความเข้มแข็งในความสามัคคีและการสนับสนุน: แสดงให้เห็นว่าความสามัคคีและการสนับสนุนจากผู้อื่นสามารถช่วยให้เราเอาชนะความยากลำบากและความทุกข์ยากได้อย่างไร

“True strength includes the courage to show vulnerability and seek help when needed, and unity and compassion are powerful forces for healing and support.”

  • Humility in the face of adversity: The story teaches us the importance of remaining humble and kind even when faced with challenges or weakness.
  • The value of compassion and empathy: The stag’s encounter with the other animals shows us the significance of showing compassion and empathy towards others in their times of need.
  • The power of vulnerability: The stag’s vulnerability made him approachable and allowed others to connect with him on a deeper level.
  • Finding strength in unity and support: Demonstrates how unity and support from others can help us overcome difficulties and adversity.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเห็นอกเห็นใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเข้มแข็งที่มาจากการสนับสนุนและดูแลซึ่งกันและกัน มันเตือนเราว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีที่เราปฏิบัติต่อและสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เปราะบาง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “วัวกระทิงกับกบ” ไทย-Eng

“วัวกระทิงกับกบ” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงอำนาจของการทำลายของผู้มีอำนาจ ถ้ามีฝ่ายใดแพ้ คนรับเคราะห์ย่อมเป็นผู้อ่อนแอลำดับถัดมาเสมอๆ

นิทานอีสปเรื่องวัวกระทิงกับกบ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระทิงผู้แข็งแกร่งสองตัวอยู่ในทุ่งซึ่งเป็นคู่แข่งกัน พวกมันมักจะปะทะกันต่อสู้เพื่ออำนาจและดินแดน การต่อสู้ของพวกมันดุเดือดและดังกึกก้องไปทั่วสระน้ำใกล้ๆ ซึ่งมีกบตัวเล็กๆ อาศัยอยู่

Once upon a time, there were two powerful bulls in a field who were rivals. They often clashed horns, fighting for dominance and territory. Their battles were fierce and loud, echoing throughout the nearby pond where a tiny frog lived.

กบรู้สึกกระวนกระวายและหวาดกลัวเพราะกระทิงสู้กันตลอดเวลา อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อทนความวุ่นวายต่อไปไม่ไหว กบจึงตัดสินใจเข้าไปหาวัวและพูดกับพวกมัน

The frog was disturbed and frightened by the constant fighting of the bulls. One day, unable to bear the turmoil any longer, the frog decided to approach the bulls and speak to them.

“กระทิงที่รัก” กบพูดด้วยเสียงสั่น “การต่อสู้ของพวกเจ้าทำให้ข้าและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งหมดในบ่อนี้ทุกข์ใจมาก การแก่งแย่งชิงดีและความก้าวร้าวของพวกเจ้าสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวและความวิตกกังวล ได้โปรด คุณหาวิธียุติความขัดแย้งของคุณอย่างสันติไม่ได้หรือ”

“Dear bulls,” the frog said with a trembling voice, “your fighting is causing great distress to me and all the other creatures in this pond. Your rivalry and aggression have created a climate of fear and anxiety. Please, can’t you find a way to settle your differences peacefully?”

กระทิงหยุดการต่อสู้และมองดูกบตัวน้อย วัวตัวหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “ทำไมเราต้องฟังสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญอย่างเจ้าด้วย เราแข็งแกร่งและทรงพลัง และการต่อสู้ของเราตัดสินว่าใครแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา”

The bulls paused their fight and looked down at the little frog. One of the bulls, with a disdainful tone, replied, “Why should we listen to a small, insignificant creature like you? We are strong and mighty, and our battles determine who is the most powerful among us.”

อย่างไรก็ตาม กระทิงอีกตัวใช้เวลาพิจารณาคำพูดของกบอยู่ครู่หนึ่ง มันตระหนักว่าการต่อสู้อย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่รบกวนกบเท่านั้น แต่ยังสร้างความตึงเครียดและไม่สบายใจไปทั่วทั้งสนามด้วย

The other bull, however, took a moment to consider the frog’s words. He realized that the constant fighting was not only disturbing the frog but also creating tension and unease in the entire field.

วัวตัวที่สองรู้สึกถึงสติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจ “พูดถูก เจ้ากบน้อย การต่อสู้ของเราไม่เพียงก่อให้เกิดอันตรายต่อเจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้อื่นด้วย ให้เราหาทางแก้ไขความขัดแย้งของเราอย่างสันติ”

Feeling a sense of wisdom and compassion, the second bull said, “You are right, little frog. Our fighting has caused harm not only to you but also to others. Let us find a way to resolve our conflicts peacefully.”

กระทิงทั้งสองตกลงที่จะหยุดการแข่งขันอย่างต่อเนื่องและตัดสินใจที่จะแบ่งปันสนามและทรัพยากรแทน พวกเขาพบสันติภาพโดยเคารพขอบเขตของกันและกันและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

The two bulls agreed to stop their constant rivalry and instead, decided to share the field and resources. They found peace by respecting each other’s boundaries and learning to coexist peacefully.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วัวกระทิงก็กลายเป็นที่รู้จักในด้านความเฉลียวฉลาดของพวกมัน และกลายเป็นตัวอย่างให้กับสัตว์อื่นๆ ในทุ่ง กบตัวน้อยก็เช่นกัน กลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งความเมตตาและผลกระทบเชิงบวกที่เสียงเล็กๆ สามารถมีได้

From that day on, the fighting bulls became known for their wisdom and became an example to other animals in the field. The little frog, too, became a symbol of the power of kindness and the positive impact that a small voice can have.

นิทานอีสปวัวกระทิงกับกบ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“เมื่อผู้ยิ่งใหญ่พ่ายแพ้ ผู้อ่อนแอต้องรับเคราะห์แทน… และเสียงเล็กๆ บางครั้งก็มีโอกาสยิ่งใหญ่ได้ แต่ใช่ว่าโอากสนั้นจะเกิดขึ้นได้ง่ายเสมอไป…”

  • ผลที่ตามมาจากความก้าวร้าว: เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นผลด้านลบของการรุกรานและการชิงดีชิงเด่นอย่างต่อเนื่อง มันทำลายความสงบและสร้างความกลัวและความวิตกกังวลให้กับผู้อื่น
  • พลังของความเห็นอกเห็นใจและความเห็นอกเห็นใจ: ความสามารถของวัวตัวที่สองในการเห็นอกเห็นใจกบและพิจารณาผลกระทบของการกระทำของพวกเขาที่มีต่อผู้อื่น แสดงให้เห็นถึงพลังของความเห็นอกเห็นใจและความเห็นอกเห็นใจในการหาทางออกอย่างสันติ
  • ความสำคัญของการฟัง: เรื่องราวเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการรับฟังข้อกังวลและมุมมองของผู้อื่น แม้ว่าพวกเขาจะดูเล็กน้อยหรือไม่มีนัยสำคัญก็ตาม ภูมิปัญญาอันมีค่าอาจมาจากแหล่งที่คาดไม่ถึง
  • จุดแข็งของการหาทางออกอย่างสันติ: ด้วยการเลือกที่จะแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ วัวกระทิงได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ปรองดองและได้รับความเคารพจากผู้อื่น

“When the mighty are defeated The weak must suffer instead… and a small voice Sometimes there can be great opportunities. But that opportunity doesn’t always come easily…”

  • The consequences of aggression: The story illustrates the negative consequences of constant aggression and rivalry. It disrupts peace and creates fear and anxiety for others.
  • The power of empathy and compassion: The second bull’s ability to empathize with the frog and consider the impact of their actions on others demonstrates the power of empathy and compassion in finding peaceful solutions.
  • The importance of listening: The story highlights the significance of listening to the concerns and perspectives of others, even if they seem small or insignificant. Valuable wisdom can come from unexpected sources.
  • The strength of finding peaceful resolutions: By choosing to resolve their conflicts peacefully, the bulls created a harmonious environment and earned the respect of others.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับผลกระทบของการกระทำของเราที่มีต่อผู้อื่น คุณค่าของความเห็นอกเห็นใจและความเห็นอกเห็นใจ ความสำคัญของการรับฟังมุมมองที่แตกต่างกัน และจุดแข็งของการค้นหาวิธีแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ มันกระตุ้นให้เราแสวงหาความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันแทนที่จะใช้การต่อสู้และการรุกรานอย่างต่อเนื่อง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “หม้อสองใบ” ไทย-Eng

“หม้อสองใบ” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงคุณค่าของบุคคลไม่อาจกำหนดได้เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่มันอยู่ภายในด้วย และจุดประสงค์กับการให้คุณค่าแก่ผู้อื่นและตนเอง

นิทานอีสปเรื่องหม้อสองใบ

กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีหม้ออยู่สองใบ ใบหนึ่งทำด้วยทองเหลืองและอีกใบทำด้วยดินเหนียว หม้อทั้งสองถูกใช้ตักน้ำจากบ่อน้ำในหมู่บ้านทุกวัน

Once upon a time, in a small village, there were two pots. One was made of brass, and the other was made of clay. Both pots were used to fetch water from the village well every day.

หม้อทองเหลืองภูมิใจในรูปลักษณ์ที่แวววาว และเชื่อว่ามันเหนือกว่าหม้อดินธรรมดาๆ มาก มันมักจะโอ้อวดว่า “ข้าสวยและแข็งแรงไม่เหมือนเจ้า หม้อดินธรรมดาๆ เปราะบาง ผู้คนชื่นชมข้าและมองว่าข้ามีค่า”

The brass pot was proud of its shiny appearance and believed it was far superior to the humble clay pot. It would often boast, “I am so beautiful and strong, unlike you, plain and fragile clay pot. People admire me and consider me valuable.”

หม้อดินที่ดูเรียบง่ายและอ่อนน้อมถ่อมตนจะตอบอย่างใจเย็นว่า “ใช่ หม้อทองเหลืองที่รัก เจ้าช่างงดงามและแข็งแกร่งจริงๆ แต่อย่าลืมว่า เราทั้งสองมีจุดประสงค์เดียวกันคือขนน้ำจากบ่อน้ำไปยังหมู่บ้าน รูปลักษณ์ของเราอาจ ต่างกันแต่หน้าที่ของเรายังเหมือนเดิม”

The clay pot, being simple and humble, would respond calmly, “Yes, dear brass pot, you are indeed beautiful and strong. But remember, we both serve the same purpose – to carry water from the well to the village. Our appearances may differ, but our function remains the same.”

วันหนึ่งขณะที่พวกเขากำลังเดินกลับจากบ่อน้ำ หม้อทองเหลืองก็สังเกตเห็นรอยร้าวเล็กๆ ในหม้อดิน มันพูดเย้ยหยันว่า “โอ้ ดูรอยร้าวในร่างกายของเจ้าสิ เจ้าอ่อนแอและมีข้อบกพร่องมาก เจ้าแบกน้ำด้วยความไม่สมบูรณ์เช่นนี้ได้อย่างไร”

One day, as they were walking back from the well, the brass pot noticed a small crack in the clay pot. Mockingly, it said, “Oh, look at that crack in your body! You are so weak and flawed. How can you carry water with such imperfections?”

หม้อดินไม่สะทกสะท้านต่อคำเย้ยหยันตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ใช่ ข้ามีรอยร้าวแต่ไม่ใช่ตำหนิ มันช่วยให้น้ำไหลไปตามทาง หล่อเลี้ยงโลกและทำให้ดอกไม้บาน ร่างกายที่สมบูรณ์แบบของคุณเก็บทุกสิ่งไว้ น้ำไม่บุบสลาย แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อจุดประสงค์อื่น”

The clay pot, unfazed by the taunts, replied gently, “Yes, I have a crack, but it is not a flaw. It allows water to trickle along the way, nourishing the earth and making flowers bloom. Your perfect body keeps all the water intact, but it doesn’t serve any other purpose.”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หม้อทองเหลืองก็เงียบลง ตระหนักถึงภูมิปัญญาในคำพูดของหม้อดินเหนียว

Upon hearing this, the brass pot fell silent, realizing the wisdom in the clay pot’s words.

เมื่อวันเวลาผ่านไป หม้อทองเหลืองยิ่งถูกกลืนกินด้วยความเย่อหยิ่ง ในขณะที่หม้อดินเหนียวยังคงอ่อนน้อมถ่อมตนและรู้สึกขอบคุณต่อจุดประสงค์ของมัน

As days passed, the brass pot became more and more consumed by its pride, while the clay pot remained humble and grateful for its purpose.

วันหนึ่งขณะที่พวกเขากำลังออกจากบ่อน้ำอีกครั้ง ความเย่อหยิ่งของหม้อทองเหลืองทำให้มันเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น และพยายามอวดความงามของมันให้ชาวบ้านเห็น อย่างไรก็ตาม เส้นทางเต็มไปด้วยก้อนกรวดและหิน ทำให้หม้อทองเหลืองลื่นและตกลงไป

One day, as they were again on their way from the well, the brass pot’s arrogance led it to take a different path, trying to show off its beauty to the villagers. However, the path was filled with pebbles and rocks, causing the brass pot to slip and fall.

เมื่อกระแทกพื้น ตัวของหม้อทองเหลืองก็บุบและมีรอยขีดข่วน ทำให้มันผิดรูป รู้สึกอับอายและไร้ประโยชน์

As it hit the ground, the brass pot’s body got dented and scratched, leaving it deformed. It felt humiliated and useless.

หม้อดินเผารีบวิ่งไปด้านข้างและพูดว่า “เพื่อนรัก ข้าขอโทษที่เห็นคุณบาดเจ็บ ข้าจะช่วยคุณกลับไปที่บ่อน้ำ”

The clay pot rushed to its side and said, “Dear friend, I’m sorry to see you hurt. Let me help you back to the well.”

หม้อทองเหลืองซึ่งตอนนี้ถ่อมตัวแล้วตอบว่า “ขอบคุณ เจ้าหม้อดินเหนียวที่รัก สำหรับความกรุณาของเจ้า เจ้าพูดถูกมาตลอด รูปร่างหน้าตาไม่สำคัญเท่าจุดประสงค์และการบริการ”

The brass pot, now humbled, replied, “Thank you, dear clay pot, for your kindness. You were right all along – appearances do not matter as much as purpose and service.”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หม้อทองเหลืองก็เรียนรู้ที่จะให้ความสำคัญกับสติปัญญาและความอ่อนน้อมถ่อมตนของหม้อดินเผา พวกเขาทั้งสองยังคงรับใช้หมู่บ้านต่อไป ขนน้ำจากบ่อน้ำด้วยกัน และไม่มีใครตัดสินหม้อทองเหลืองจากรอยบุบและรอยขีดข่วนอีกต่อไป

From that day on, the brass pot learned to value the clay pot’s wisdom and humility. They both continued to serve the village, carrying water together from the well, and no one judged the brass pot by its dents and scratches anymore.

นิทานอีสปหม้อสองใบ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความอ่อนน้อมถ่อมตนและจุดมุ่งหมายมีค่ามากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกและความภาคภูมิใจ”

  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนเหนือความเย่อหยิ่ง: เรื่องราวสอนเราถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนเหนือความเย่อหยิ่ง หม้อดิเหนียวนแม้จะมีรูปลักษณ์ที่เรียบง่าย แต่ยังคงอ่อนน้อมถ่อมตนและชาญฉลาด ในขณะที่ความทะนงตนของหม้อทองเหลืองนำไปสู่ความพินาศ
  • ชื่นชมความแตกต่าง: หม้อแต่ละใบมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว และเรื่องราวเตือนใจให้เราชื่นชมและให้คุณค่ากับความแตกต่างของผู้อื่น
  • จุดประสงค์และการบริการ: เรื่องราวเน้นความสำคัญของการเข้าใจจุดประสงค์ของเราและรับใช้ผู้อื่นด้วยความสามารถเฉพาะตัวของเรา โดยไม่คำนึงถึงรูปลักษณ์ภายนอก
  • เรียนรู้จากความผิดพลาด: หม้อทองเหลืองเรียนรู้จากความผิดพลาดและตระหนักถึงคุณค่าของความอ่อนน้อมถ่อมตนและความกตัญญูกตเวที

“Humility and purpose are more valuable than appearance and pride.”

  • Humility over pride: The story teaches us the importance of humility over pride. The clay pot, despite its simple appearance, remained humble and wise, while the brass pot’s pride led to its downfall.
  • Appreciating differences: Each pot had its unique qualities, and the story reminds us to appreciate and value the differences in others.
  • Purpose and service: The story highlights the significance of understanding our purpose and serving others with our unique abilities, regardless of appearances.
  • Learning from mistakes: The brass pot learned from its mistake and realized the value of humility and gratitude.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญูกตเวที และการเข้าใจเป้าหมายในชีวิตของเรา มันเตือนเราว่าคุณค่าที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่อยู่ที่วิธีที่เรารับใช้และมีส่วนสร้างประโยชน์ให้กับโลกรอบตัวเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ชาวนากับลูกชายของเขา” ไทย-Eng

“ชาวนากับลูกชายของเขา” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงคุณค่าของการทำงานหนัก และผลสำเร็จที่จะตามมา ผลดีของความสามามัคคีของคนในความครัว และสมบัติล้ำค่าอาจไม่ใช่เงินทองเสมอไป

นิทานอีสปเรื่องชาวนากับลูกชายของเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาที่ฉลาดและขยันขันแข็งคนหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ ชาวนาอายุมากแล้วและรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องส่งต่อความรู้และความรับผิดชอบในฟาร์มให้กับลูกชาย เขาต้องการให้พวกเขาเรียนรู้คุณค่าของการทำงานหนัก ความสามัคคี และความสำคัญของการทำงานร่วมกัน

Once upon a time, there lived a wise and hardworking farmer who owned a vast piece of land. The farmer was getting old and felt it was time to pass on his knowledge and the farm’s responsibilities to his sons. He wanted them to learn the value of hard work, unity, and the importance of working together.

วันหนึ่ง ชาวนารวบรวมลูกชายทั้งสามของเขาและพูดว่า “ลูกรัก พ่อแก่แล้ว และถึงเวลาที่พ่อจะส่งต่อฟาร์มให้พวกเจ้า อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พ่อจะทำอย่างนั้น พ่อต้องการให้คุณเรียนรู้บทเรียนที่มีค่า พ่อซ่อนสมบัติไว้ที่ไหนสักแห่งบนแผ่นดินนี้ พ่อจะไม่บอกพวกเจ้าว่าคือที่ใด แต่พ่อจะให้เบาะแสแก่เจ้าแต่ละคน ไปค้นหามัน และเมื่อพบแล้วกลับมาแบ่งปันมันอย่างเท่าเทียมกัน”

One day, the farmer gathered his three sons and said, “My dear sons, I have grown old, and it’s time for me to pass on the farm to you. However, before I do that, I want you to learn a valuable lesson. I have hidden a treasure somewhere on this land. I won’t tell you where it is, but I will give each of you a clue. Go, search for it, and when you have found it, come back and share it equally.”

ด้วยความตื่นเต้นกับโอกาสที่จะพบสมบัติ ลูกชายทั้งสามจึงออกเดินทางตามหา แต่ละคนได้รับเบาะแสที่แตกต่างกันจากพ่อของพวกเขา และพวกเขาก็เริ่มมองหาพื้นที่ต่างๆ ของฟาร์ม

Excited about the prospect of finding the treasure, the three sons set out on their search. Each one received a different clue from their father, and they started looking in different areas of the farm.

ลูกชายคนโตผู้แข็งแกร่งและมั่นใจ คิดว่าเบาะแสของเขานำไปสู่ทุ่งที่อุดมสมบูรณ์ เขาทำงานหนักไถและปลูกเพื่อหวังที่จะขุดสมบัติ

The eldest son, who was strong and confident, thought his clue led to the fertile fields. He worked hard, plowing and planting, hoping to unearth the treasure.

ลูกชายคนที่สองซึ่งฉลาดและช่างสังเกต เชื่อว่าเบาะแสของเขาชี้ไปที่สวนผลไม้ เขาค้นหาต้นไม้และรวบรวมผลไม้อย่างขยันขันแข็งโดยคิดว่าสมบัติอาจซ่อนอยู่ที่นั่น

The second son, who was intelligent and observant, believed his clue pointed to the orchard. He diligently searched the trees and gathered the fruits, thinking the treasure might be hidden there.

ลูกชายคนเล็กผู้อ่อนน้อมถ่อมตนและอดทน ได้รับเบาะแสที่ดูเหมือนจะนำไปสู่บ่อน้ำเก่าและถูกลืมในฟาร์ม เขาตัดสินใจทำความสะอาดบ่อน้ำ โดยเชื่อว่าสมบัติอาจซ่อนอยู่ที่ส่วนลึกของบ่อน้ำ

The youngest son, who was humble and patient, received a clue that seemed to lead to an old and forgotten well on the farm. He decided to clean the well, believing the treasure might be hidden at its depths.

หลังจากทำงานหนักและค้นหามาหลายวัน ลูกชายทั้งสามคนก็กลับไปหาพ่อพร้อมกับผลจากความพยายามของพวกเขา ลูกชายคนโตมอบกระเช้าผลไม้ ลูกชายคนที่สองโชว์ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ และลูกชายคนเล็กพูดถึงบ่อน้ำที่สะอาดและได้รับการบูรณะใหม่

After days of hard work and searching, the three sons returned to their father with the results of their efforts. The eldest son presented baskets of fruits, the second son showcased a bountiful harvest, and the youngest son told of the clean, restored well.

ชาวนายิ้มและพูดว่า “ลูกรัก ลูกทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง และแต่ละคนก็พบสมบัติที่แตกต่างกัน สมบัติที่แท้จริงไม่ใช่หีบทองคำ แต่เป็นบทเรียนที่ลูกได้เรียนรู้จากความพยายาม”

The farmer smiled and said, “My dear sons, you have all worked diligently, and each of you has found a different treasure. The true treasure is not a chest of gold but the lessons you have learned through your efforts.”

เขากล่าวต่อว่า “ลูกชายคนโต คุณแสดงความเข้มแข็งและความทุ่มเทในการทำงาน ลูกชายคนที่สอง ความฉลาดและความมีไหวพริบของคุณน่ายกย่อง และลูกชายคนเล็ก ความอดทนและความอ่อนน้อมถ่อมตนของคุณในการฟื้นฟูบ่อน้ำเป็นคุณสมบัติที่มีค่า เมื่อรวมกันแล้ว คุณสมบัติเหล่านี้คือสมบัติที่แท้จริงที่จะค้ำจุนฟาร์มแห่งนี้และครอบครัวของเราไปชั่วลูกชั่วหลาน”

He continued, “The eldest son, you have shown strength and dedication in your work. The second son, your intelligence and resourcefulness are commendable. And the youngest son, your patience and humility in restoring the well are valuable traits. Together, these qualities are the real treasure that will sustain this farm and our family for generations.”

ลูกชายทั้งสองตระหนักถึงภูมิปัญญาจากคำพูดของพ่อและน้อมรับบทเรียนที่เขาสอนพวกเขา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน แต่ละคนต่างใช้จุดแข็งที่มีเอกลักษณ์ของตนเองเพื่อความสำเร็จของฟาร์ม ความสามัคคีและความร่วมมือของพวกเขานำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและความสุขในชีวิตของพวกเขา

The sons realized the wisdom of their father’s words and embraced the lesson he had taught them. From that day on, they worked together harmoniously, each contributing their unique strengths to the success of the farm. Their unity and cooperation brought prosperity and happiness to their lives.

นิทานอีสปชาวนากับลูกชายของเขา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“สมบัติที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ความร่ำรวย แต่อยู่ที่คุณธรรมของการทำงานหนัก ความสามัคคี และบทเรียนที่ได้รับระหว่างทาง”

  • คุณค่าของการทำงานหนัก: เรื่องราวเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานหนักและความทุ่มเทในการบรรลุความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรือง
  • การยอมรับจุดแข็งของแต่ละคน: ลูกชายแต่ละคนมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และเรื่องราวก็สอนให้เรารู้จักและยอมรับในจุดแข็งเฉพาะตัวของแต่ละคน
  • ความสามัคคีและความร่วมมือ: บทเรียนของชาวนาเน้นความสำคัญของความสามัคคีและความร่วมมือภายในครอบครัวหรือชุมชน การทำงานร่วมกันเพื่อไปสู่เป้าหมายร่วมกันสามารถนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความอดทน: ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความอดทนของลูกชายคนสุดท้องในการฟื้นฟูบ่อน้ำทำให้เรานึกถึงคุณงามความดีของการถ่อมตัวและอดทนในความพยายามของเรา

“The true treasure lies not in riches but in the virtues of hard work, unity, and the lessons learned along the way.”

  • The value of hard work: The story highlights the importance of hard work and dedication in achieving success and prosperity.
  • Embracing individual strengths: Each son had different qualities, and the story teaches us to recognize and embrace the unique strengths of each individual.
  • Unity and cooperation: The farmer’s lesson emphasizes the significance of unity and cooperation within a family or community. Working together towards a common goal can lead to greater achievements.
  • Humility and patience: The youngest son’s humility and patience in restoring the well remind us of the virtues of being humble and persevering in our efforts.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนอันมีค่าเกี่ยวกับการทำงานหนัก ความสามัคคี ความร่วมมือ และการยอมรับในจุดแข็งของแต่ละคน มันแสดงให้เห็นว่าสมบัติที่แท้จริงในชีวิตไม่ใช่สมบัติทางวัตถุ แต่เป็นคุณธรรมที่เราปลูกฝังในตัวเราและวิธีที่เราใช้มันเพื่อช่วยเหลือโลกรอบตัวเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children