นิทานอีสป เรื่อง “เทพจูปิเตอร์กับลิงซุกซน” ไทย-Eng

“เทพจูปิเตอร์กับลิงซุกซน” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการโอบรับความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง การไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ทุกคนย่อมมีความพิเศษต่างกัน

นิทานอีสปเรื่องเทพจูปิเตอร์กับลิงซุกซน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนแห่งทวยเทพ เทพจูปิเตอร์ เป็นราชาแห่งทวยเทพทั้งปวง ได้จัดงานฉลองอันวิจิตรงดงามขึ้นในวังแห่งสรวงสวรรค์ สัตว์ทุกตัวได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานใหญ่ และแต่ละตัวจะได้รับของขวัญพิเศษเพื่อเป็นที่ระลึกถึงโอกาสนี้

Once upon a time, in the realm of the gods, Jupiter, the king of all gods, held a magnificent feast in the heavenly palace. All the animals were invited to attend the grand event, and each one was given a special gift to commemorate the occasion.

ในบรรดาแขกมีลิงที่ฉลาดและซุกซน เมื่องานเลี้ยงดำเนินไป ลิงไม่สามารถต้านทานนิสัยขี้เล่นของมันได้ และเริ่มเลียนแบบสัตว์อื่นๆ เขาเลียนแบบเสียงคำรามของสิงโต การบินของนกอินทรี และการเลื้อยของงู สัตว์อื่นๆ หัวเราะและพบว่าการแสดงตลกของลิง

Among the guests was a clever and mischievous monkey. As the feast progressed, the monkey couldn’t resist his playful nature and began to imitate the other animals. He copied the lion’s roar, the eagle’s flight, and the snake’s slither. The other animals laughed and found the monkey’s antics amusing.

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ลิงยังคงเลียนแบบทุกคน มันเริ่มรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง มันตระหนักว่ามันไม่มีความสามารถพิเศษเหมือนสัตว์อื่นๆ และเขาเริ่มรู้สึกอิจฉา

However, as the monkey continued to imitate everyone, he began to feel left out. He realized that he didn’t have any unique abilities like the other animals, and he started to feel envious.

เพื่อแก้ไขสถานการณ์ ลิงตัดสินใจเข้าใกล้เทพจูปิเตอร์และขอของขวัญพิเศษ มันกล่าวกับราชาแห่งทวยเทพว่า “โอ ท่านเทพจูปิเตอร์ ข้าได้สังเกตเห็นของขวัญอันน่าทึ่งที่คุณมอบให้กับสัตว์ทั้งหมด ข้าก็ปรารถนาที่จะมีพรสวรรค์พิเศษที่ทำให้ข้าแตกต่างจากสัตว์อื่นๆ”

To remedy the situation, the monkey decided to approach Jupiter and ask for a special gift. He said to the king of gods, “O Jupiter, I have observed the amazing gifts you bestowed upon all the animals. I, too, wish to have a unique talent that sets me apart from the rest.”

เทพจูปิเตอร์ยิ้มอย่างใจดีและตอบว่า “เจ้าลิง เจ้ามีพรสวรรค์ด้านความฉลาดและความเฉลียวฉลาดอยู่แล้ว ความเฉลียวฉลาดของเจ้าทำให้เจ้าสามารถเลียนแบบทักษะของผู้อื่นได้ และนั่นคือความสามารถพิเศษในตัวมันเอง”

Jupiter, with a kind smile, replied, “My dear monkey, you are already gifted with intelligence and wit. Your cleverness allows you to imitate the skills of others, and that is a special talent in itself.”

แต่ลิงไม่พอใจการตอบสนองของเทพจูปิเตอร์ เขาต้องการสิ่งที่พิเศษกว่านั้นเพื่อโอ้อวด ดังนั้นมันจึงยืนกรานว่า “ได้โปรด เทพจูปิเตอร์ ข้าขอให้คุณมอบของขวัญพิเศษที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดให้กับข้าได้”

But the monkey was not satisfied with Jupiter’s response. He wanted something more extraordinary to boast about. So, he insisted, “Please, dear Jupiter, I beg you to give me a unique gift that no other creature possesses.”

เทพจูปิเตอร์เห็นความมุ่งมั่นของลิงจึงยอมตามคำร้องขอ เขาล้วงมือเข้าไปในขุมสมบัติแล้วยื่นหางนกยูงหลากสีสันสวยงามให้กับลิง “เอาล่ะ” เทพจูปิเตอร์พูด “ข้าให้หางนกยูงแก่คุณ และเจ้าจะเป็นลิงตัวเดียวในโลกที่มีของขวัญเช่นนี้”

Jupiter, seeing the monkey’s determination, granted his request. He reached into his treasure trove and handed the monkey a beautiful and colorful peacock’s tail. “Here you go,” said Jupiter, “I give you the peacock’s tail, and you shall be the only monkey in the world to possess such a gift.”

ลิงดีใจและภูมิใจที่ได้สวมหางนกยูงตัวใหม่เดินนำหน้าสัตว์อื่นๆ อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาเดิน เขาก็ตระหนักว่าหางที่หนักและงดงามนั้นเป็นภาระมากกว่าการให้พร มันทำให้เขาสะดุดและไม่สามารถแกว่งผ่านต้นไม้ได้อย่างง่ายดายเหมือนเมื่อก่อน

The monkey was delighted and proudly wore his new peacock’s tail, parading in front of the other animals. However, as he walked, he realized that the heavy and magnificent tail was more of a burden than a blessing. It made him stumble, and he couldn’t swing through the trees as effortlessly as before.

ลิงรู้สึกอายและละอายใจจึงกลับไปหาดาวพฤหัสบดีและยอมรับความผิดพลาดของเขา “ข้าขอโทษ ท่านเทพจูปิเตอร์ผู้ฉลาด” ลิงพูด “ตอนนี้ข้าเข้าใจคุณค่าของความฉลาดของตัวเองแล้ว ข้าควรจะขอบคุณของขวัญที่ข้ามีอยู่แล้ว แทนที่จะโหยหาสิ่งอื่น”

Feeling embarrassed and ashamed, the monkey returned to Jupiter and admitted his mistake. “I apologize, wise Jupiter,” said the monkey, “I now understand the value of my own cleverness. I should have appreciated the gift I had instead of longing for something else.”

เทพจูปิเตอร์ให้อภัยเสมอ ยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล เจ้าลิง จำไว้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่การยอมรับและใช้ประโยชน์สูงสุดจากพรสวรรค์และความสามารถที่เจ้ามีอยู่แล้ว”

Jupiter, always forgiving, smiled and said, “Do not worry, my dear monkey. Remember that true happiness lies in embracing and making the most of the talents and abilities you already possess.”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ลิงก็ไม่อยากได้ของขวัญพิเศษจากผู้อื่นอีกต่อไป มันรวบรวมความเฉลียวฉลาดและไหวพริบของเขา ใช้มันเพื่อนำทางผ่านความท้าทายของชีวิต ดังนั้น มันจึงใช้ชีวิตอย่างสมถะและเติมเต็มชีวิต ทะนุถนอมของขวัญพิเศษจากเทพจูปิเตอร์

From that day on, the monkey no longer coveted the unique gifts of others. He embraced his intelligence and wit, using them to navigate through life’s challenges. And so, he lived a content and fulfilled life, cherishing his special gift from Jupiter.

นิทานอีสปเทพจูปิเตอร์กับลิงซุกซน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงชื่นชมและใช้ความสามารถและความสามารถเฉพาะตัวของคุณให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเป็นของขวัญที่ทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นๆ”

  • จงขอบคุณสำหรับความสามารถพิเศษของคุณ: พวกเราแต่ละคนมีพรสวรรค์และความสามารถเฉพาะตัว สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักและชื่นชมสิ่งที่ทำให้เราพิเศษ แทนที่จะโหยหาสิ่งที่คนอื่นมี
  • การเปรียบเทียบนำไปสู่ความไม่มีความสุข: เมื่อเราเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง เราอาจรู้สึกไม่คู่ควรและอิจฉา การเปิดรับจุดแข็งและพรสวรรค์ของเราเองสามารถนำไปสู่ความพึงพอใจและความมั่นใจในตนเอง
  • โอบรับความเป็นเอกลักษณ์ของคุณ: โอบกอดคุณสมบัติที่ทำให้คุณเป็นตัวคุณ เฉลิมฉลองความเป็นตัวของตัวเองและใช้ความสามารถของคุณอย่างเต็มศักยภาพ
  • ตั้งสติให้ดีว่าอยากได้อะไร: บางครั้งสิ่งที่เราปรารถนาอาจไม่เป็นประโยชน์อย่างที่คิด สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาผลของความปรารถนาของเราก่อนที่จะแสวงหาสิ่งใหม่

“Appreciate and make the most of your unique talents and abilities, as they are gifts that set you apart from others.”

  • Be grateful for your unique talents: Each one of us possesses unique talents and abilities. It’s essential to recognize and appreciate what makes us special instead of longing for what others have.
  • Comparison leads to unhappiness: When we constantly compare ourselves to others, we may feel inadequate and envious. Embracing our own strengths and talents can lead to contentment and self-confidence.
  • Embrace your uniqueness: Embrace the qualities that make you who you are. Celebrate your individuality and use your talents to their fullest potential.
  • Be mindful of what you wish for: Sometimes, the things we desire may not be as beneficial as we imagine. It’s crucial to consider the consequences of our wishes before seeking something new.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการพอใจกับพรสวรรค์และพรสวรรค์เฉพาะตัวของเรา มันเตือนเราว่าความสุขที่แท้จริงมาจากการเห็นคุณค่าและใช้ประโยชน์สูงสุดจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “นกนางแอ่นกับอีกา” ไทย-Eng

“นกนางแอ่นกับอีกา” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงนิสัยของคนเจ้าเล่ห์ นิทานเตือนใจเราเรื่องคนหลอกลวง คนฉวยโอกาส และการกระทำสำคัญกว่าพูดเสมอ

นิทานอีสปเรื่องนกนางแอ่นกับอีกา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นกนางแอ่นแสนสวยและอีกาเจ้าเล่ห์อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน นกนางแอ่นขึ้นชื่อในเรื่องการร้องเพลงที่ไพเราะและการโบยบินอย่างสง่างาม ในขณะที่อีกาฉลาดและเจ้าเล่ห์ ชอบหาโอกาสเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอ

Once upon a time, a beautiful swallow and a cunning crow lived in the same neighborhood. The swallow was known for its melodious singing and graceful flights, while the crow was clever and crafty, always seeking opportunities to take advantage of others.

วันหนึ่งมีแดดจัด ขณะที่นกนางแอ่นกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า มันเห็นอีกากระโดดไปมาบนพื้นดินด้วยท่าทางลำบากใจ นกนางแอ่นบินลงไปหาอีกาด้วยความอยากรู้อยากเห็นและถามว่า “สวัสดีเพื่อนรัก ดูเหมือนเจ้าจะมีปัญหาอะไรหรือ”

One sunny day, as the swallow was flying high in the sky, it spotted the crow hopping around on the ground, looking distressed. Curious, the swallow flew down to the crow and asked, “Hello, dear friend, what seems to be troubling you?”

อีกาถอนหายใจและตอบว่า “โอ้ นกนางแอ่น ข้าพบเนยแข็งแผ่นหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะเอื้อมไม่ถึง มันติดอยู่บนกิ่งไม้ที่สูงเกินไปสำหรับข้า”

The crow sighed and replied, “Oh, swallow, I have found a piece of cheese, but I cannot seem to reach it. It is stuck on a branch that is too high for me.”

นกนางแอ่นกระตือรือร้นที่จะช่วยพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าสามารถเข้าถึงเนยแข็งได้อย่างง่ายดายด้วยทักษะการบินของข้า ข้าจะเอามันลงมาให้เจ้าได้”

The swallow, eager to help, said, “Don’t worry, I can easily reach the cheese with my flying skills. I’ll bring it down for you.”

แต่ทันทีที่นกนางแอ่นบินขึ้นไปเอาเนยแข็ง อีกาจอมเจ้าเล่ห์ก็มีแผนอื่น อีกาพูดด้วยรอยยิ้มซุกซน “ขอบคุณสำหรับข้อเสนอที่ดี เจ้านกนางแอ่นที่รัก แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าคิดว่าข้าจะเก็บเนยแข็งไว้กินเอง”

But as soon as the swallow flew up to retrieve the cheese, the crafty crow had other plans. With a mischievous grin, the crow said, “Thank you for your kind offer, dear swallow, but I’ve changed my mind. I think I’ll keep the cheese for myself.”

นกนางแอ่นตกใจกับกลอุบายของอีกาและตอบว่า “แต่เจ้าบอกว่าเอื้อมไม่ถึง ข้าจึงเสนอจะช่วยเจ้านะ”

The swallow was taken aback by the crow’s deceitfulness and replied, “But you said you couldn’t reach it, and I offered to help you.”

อีกาหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “อา ก็ ข้าฉลาดพอที่จะหาทางออกของตัวเองได้”

The crow chuckled and said, “Ah, well, I am clever enough to find my own solutions.”

เมื่อรู้สึกผิดหวังและถูกหักหลัง นกนางแอ่นได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของอีกา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นกนางแอ่นก็ระมัดระวังตัวที่อยู่รอบๆ อีกาเจ้าเล่ห์และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย

Feeling disappointed and betrayed, the swallow learned a valuable lesson about the crow’s true nature. From that day on, the swallow was cautious around the cunning crow and kept a safe distance.

นิทานอีสปนกนางแอ่นกับอีกา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงระวังผู้ที่ฉวยโอกาสจากความเมตตาของคุณ และหลอกลวงคุณเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา”

  • ระวังคนหลอกลวง: นิทานเตือนใจให้ระวังคนเจ้าเล่ห์และหลอกลวง เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักถึงความตั้งใจจริงของพวกเขาและไม่ตกเป็นเหยื่อของกลอุบายของพวกเขา
  • การกระทำสำคัญกว่าคำพูด: การกระทำของอีกาเผยให้เห็นถึงนิสัยที่แท้จริงของมัน แม้ว่าคำพูดแรกของเขาจะดูเศร้าหมองก็ตาม มันสอนให้เราใส่ใจกับพฤติกรรมของผู้คนมากกว่าคำสัญญาของพวกเขา
  • ควรได้รับความไว้วางใจ: ความไว้วางใจเป็นสินค้าที่มีค่าที่ควรได้รับเมื่อเวลาผ่านไปจากการกระทำที่สม่ำเสมอและซื่อสัตย์ นกนางแอ่นไว้ใจอีกา แต่อุบายของอีกาทำลายความเชื่อใจนั้น
  • ระวังคนฉวยโอกาส: เรื่องราวเตือนใจเราให้ระวังคนฉวยโอกาสที่อาจฉวยโอกาสจากความเมตตาและความเอื้ออาทรของเรา

“Beware of those who take advantage of your kindness and deceive you for their gain.”

  • Be cautious of deceitful people: The story warns us to be cautious of those who are cunning and deceitful. It is important to be aware of their true intentions and not fall prey to their tricks.
  • Actions speak louder than words: The crow’s actions revealed his true character, despite his initial words of distress. It teaches us to pay attention to how people behave rather than just their promises.
  • Trust should be earned: Trust is a valuable commodity that should be earned over time through consistent and honest actions. The swallow trusted the crow, but the crow’s deceit shattered that trust.
  • Beware of opportunists: The story reminds us to be careful of opportunistic individuals who may take advantage of our kindness and generosity.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เราระมัดระวังบุคคลหลอกลวงและให้ถือว่าความไว้วางใจเป็นสิ่งที่ควรได้รับจากความซื่อสัตย์และความจริงใจ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้คำนึงถึงผู้ฉวยโอกาสที่อาจพยายามใช้ประโยชน์จากความปรารถนาดีของเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “หมาป่า แพะเด็ก และแม่แพะ” ไทย-Eng

“หมาป่า แพะเด็ก และแม่แพะ” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความรักของผู้เป็นแม่ที่มีต่อเรา และการรับฟังคนที่รักเรา เพราะคนที่รักเราจะแนะนำสิ่งดีๆ ให้กับเราเสมอ

นิทานอีสปเรื่องหมาป่า แพะเด็ก และแม่แพะ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หมาป่าผู้หิวโหยตัวหนึ่งออกตระเวนไปตามชนบทเพื่อหาอาหาร ขณะที่มันท่องไปในป่า มันพบแพะตัวน้อยและลูกๆ ของแม่แพะกำลังเล็มหญ้าอย่างสงบสุขในทุ่งหญ้า

Once upon a time, a hungry wolf was roaming the countryside in search of food. As he wandered through the forest, he came across a little goat and her kid grazing peacefully in a meadow.

นัยน์ตาของหมาป่าเป็นประกายด้วยความหิวโหย มันพุ่งเข้าหาลูกแพะตัวน้อยและลูกๆ ของแม่แพะด้วยเจตนาร้าย อย่างไรก็ตาม แม่แพะที่ฉลาดได้สังเกตเห็นหมาป่าจากระยะไกลและตระหนักถึงความตั้งใจของมันอย่างรวดเร็ว

The wolf’s eyes gleamed with hunger, and he approached the little goat and her kid with malicious intent. However, the wise mother goat noticed the wolf from afar and quickly realized his intentions.

เธอร้องบอกลูกว่า “เร็วเข้า ลูกเอ๋ย เราต้องหนี! หมาป่ากำลังมา หมายจะทำร้ายเรา!”

She called out to her kid, “Quick, my child, we must flee! The wolf is coming, and he means to harm us!”

อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยยังเด็กและไร้เดียงสา แทนที่จะฟังคำเตือนของแม่ มันกลับพูดว่า “ทำไมเราต้องวิ่ง แม่! หมาป่าแข็งแรง แต่ข้าไม่กลัว ให้มันมา!”

The kid, however, was young and naive, and instead of heeding his mother’s warning, he said, “Why should we run, Mother? The wolf is strong, but I am not afraid. Let him come!”

แม่แพะอ้อนวอนลูกว่า “เจ้าต้องฟังแม่นะ หมาป่าฉลาดแกมโกงและอันตราย เราต้องวิ่งหนีเพื่อความปลอดภัย”

The mother goat pleaded with her kid, “You must listen to me! The wolf is cunning and dangerous. We must run to safety.”

แต่เด็กปฏิเสธที่จะฟังและยืนหยัดโดยเชื่อว่าเขาสามารถเผชิญหน้ากับหมาป่าได้ด้วยตัวเขาเอง

But the kid refused to listen and stood his ground, believing he could face the wolf on his own.

เมื่อหมาป่าเข้ามาใกล้ มันก็ยิ้มเมื่อเห็นแพะเด็กผู้ท้าทาย “อา เจ้าน่าจะเป็นอาหารอร่อยอะไรเช่นนี้” เขาเย้ยหยัน

As the wolf approached, he grinned at the sight of the young, defiant kid. “Ah, what a tasty meal you will make,” he sneered.

ขณะที่หมาป่ากำลังจะตะครุบ แม่แพะก็ก้าวเข้ามาขวางหน้าลูกของมันและวางตัวอยู่ระหว่างมันกับนักล่า “ถ้าเจ้าต้องการจะกินลูกของข้า” นางพูดอย่างกล้าหาญ “เจ้าจะต้องผ่านข้าไปก่อน!”

Just as the wolf was about to pounce, the mother goat stepped in front of her kid, placing herself between him and the predator. “If you want to devour my child,” she said bravely, “you will have to go through me first!”

หมาป่ารู้สึกทึ่งกับความกล้าหาญของแม่แพะและความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะปกป้องลูกของมัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งโดยตระหนักว่าความรักของแม่เป็นพลังที่น่าเกรงขาม

The wolf was taken aback by the mother goat’s bravery and fierce determination to protect her kid. He hesitated for a moment, realizing that the mother’s love was a formidable force to reckon with.

เมื่อตระหนักว่าเขาไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งที่เป็นหนึ่งเดียวของแม่และลูกของมันได้ หมาป่าจึงแอบเข้าไปในป่า หิวโหยแต่ก็พ่ายแพ้

Realizing that he stood no chance against the united strength of the mother and her kid, the wolf slunk away into the forest, hungry but defeated.

เด็กมองแม่ด้วยความขอบคุณและสำนึกผิด “แม่พูดถูก แม่ควรจะฟังแม่และอย่าทำตัวโง่เขลาแบบนี้”

The kid looked at his mother with gratitude and remorse. “You were right, Mother. I should have listened to you and not been so foolish.”

แม่แพะยิ้มและลูบหัวลูกอย่างเอ็นดู “จำไว้ ลูกเอ๋ย สติปัญญาและความเข้มแข็งมาจากการฟังผู้ที่ห่วงใยเจ้าและเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขา”

The mother goat smiled and nuzzled her kid affectionately. “Remember, my child, wisdom and strength come from listening to those who care for you and learning from their experiences.”

นิทานอีสปหมาป่า แพะเด็ก และแม่แพะ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ปัญญามักเกิดจากการเอาใจใส่คำแนะนำของผู้ที่ห่วงใยคุณ และการเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขา”

  • คุณค่าของปัญญาและประสบการณ์: การที่แพะเด็กไม่ยอมฟังคำเตือนของแม่นำไปสู่อันตรายและหายนะที่ใกล้เข้ามา เรื่องราวเน้นความสำคัญของการให้คุณค่ากับภูมิปัญญาและประสบการณ์ของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ห่วงใยเรา
  • พลังแห่งความรักของแม่: ความรักอันแรงกล้าของแม่แพะและความมุ่งมั่นที่จะปกป้องลูกของมันแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของสัญชาตญาณความเป็นแม่ แสดงให้เห็นว่าความรักของแม่สามารถเป็นพลังในยามคับขันได้
  • ผลที่ตามมาของความเย่อหยิ่ง: ความเย่อหยิ่งของแพะเด็กและการปฏิเสธที่จะฟังแม่ของเขาทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย เรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนและอันตรายของการเพิกเฉยต่อคำแนะนำที่ชาญฉลาด
  • ความสามัคคีและความร่วมมือ: ความเต็มใจของแม่แพะที่จะยืนระหว่างหมาป่ากับลูกของมันแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความสามัคคีและความร่วมมือในการเผชิญกับความท้าทาย เมื่อรวมกันแล้ว พวกมันแข็งแกร่งกว่าไหวพริบของหมาป่า

“Wisdom often comes from heeding the advice of those who care for you and learning from their experiences.”

  • The value of wisdom and experience: The kid’s refusal to listen to his mother’s warning led to danger and near disaster. The story emphasizes the importance of valuing the wisdom and experience of others, especially those who care for us.
  • The power of maternal love: The mother goat’s fierce love and determination to protect her kid demonstrate the strength of maternal instincts. It shows that a mother’s love can be a powerful force in times of danger.
  • The consequences of arrogance: The kid’s arrogance and refusal to listen to his mother put him in harm’s way. The story teaches us the importance of humility and the perils of ignoring wise advice.
  • Unity and cooperation: The mother goat’s willingness to stand between the wolf and her kid shows the power of unity and cooperation in facing challenges. Together, they were stronger than the wolf’s cunning.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เราเห็นคุณค่าของปัญญา ฟังคำแนะนำของผู้ที่ห่วงใยเรา ชื่นชมพลังแห่งความรักและความสามัคคี และอ่อนน้อมถ่อมตนในการกระทำและการตัดสินใจของเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ลากับเงาตัวเอง” ไทย-Eng

“ลากับเงาตัวเอง” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการมีอยู่ของปัญหาก็เหมือนเงาติดตัวเรา เราต้องตระหนักรู้ในตัวเอง หาทางรับรู้และเข้าใจ และแก้ไขอย่างชาญฉลาด

นิทานอีสปเรื่องลากับเงาตัวเอง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลาตัวหนึ่งกำลังเดินไปตามถนนในวันที่แดดร้อนจัด แดดส่องจ้า ลาเริ่มร้อนและเหนื่อยมาก ขณะที่มันเดิน มันสังเกตเห็นเงาของมันยื่นออกมาข้างหน้าตัวมันเอง

Once upon a time, there was an ass who was walking down a road on a hot and sunny day. The sun was shining brightly, and the ass began to feel very hot and tired. As he walked, he noticed his shadow stretching out in front of him.

ลาคิดในใจว่า “ช่างดีเหลือเกินที่มีร่มเงาให้ข้าได้คลายร้อนจากแสงแดดแผดเผานี้” มันมองไปที่เงาของมันและมีความคิด “ถ้าข้าเดินเร็วขึ้น” มันคิด “เงาของข้าก็จะเคลื่อนที่เร็วขึ้นด้วย และข้าจะไปถึงร่มเร็วกว่ามาก”

The ass thought to himself, “How wonderful it would be to have some shade to cool me down from this scorching sun.” He looked at his shadow and had an idea. “If I walk faster,” he thought, “my shadow will move faster too, and I will reach the shade much sooner.”

รู้สึกตื่นเต้นกับแผนของมัน ลาเริ่มวิ่งเหยาะๆ แต่ไม่ว่ามันจะเดินเร็วแค่ไหน เงาของมันยังคงอยู่ตรงหน้ามัน ลาพยายามวิ่ง แต่เงาของมันยังคงอยู่ข้างหน้า มันวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เงาก็ยังคงแซงหน้ามันต่อไป

Feeling excited about his plan, the ass started to trot. But no matter how fast he walked, his shadow remained right in front of him. The ass tried to run, but his shadow still stayed ahead. He ran as fast as he could, but the shadow continued to outpace him.

ในที่สุดลาก็หยุดวิ่ง มันตระหนักว่าไม่ว่าจะพยายามไปเร็วแค่ไหน มันก็ไม่สามารถหนีจากเงาของมันได้ รู้สึกพ่ายแพ้ มันทรุดตัวลงใต้ต้นไม้เพื่อพักผ่อน

Exhausted and frustrated, the ass finally stopped running. He realized that no matter how fast he tried to go, he could not escape from his shadow. Feeling defeated, he plopped down under a tree to rest.

ขณะที่มันนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ลาก็คิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น “ข้าโง่มาก” มันพูดกับตัวเอง “ข้าสูญเสียพลังงานไปมากในการพยายามหนีจากเงาของข้า แต่มันเป็นไปไม่ได้”

As he sat in the shade of the tree, the ass thought about what had just happened. “I was so foolish,” he said to himself. “I wasted so much energy trying to escape from my shadow, but it was impossible.”

ลาได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าในวันนั้น มันเข้าใจว่าเขาไม่สามารถหนีจากตัวเองหรือปัญหาของเขาได้ เช่นเดียวกับเงาของมัน เงาจะอยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่ว่าเขาจะพยายามหนีเร็วแค่ไหนก็ตาม

The ass learned a valuable lesson that day. He understood that he could not run away from himself or his problems. Just like his shadow, they would always be there, no matter how fast he tried to escape.

นิทานอีสปลากับเงาตัวเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ปัญหาก็เหมือนเงา ถ้าไม่แก้ไขมันก็อยู่ติดตัวเราไปตลอด…”

  • การยอมรับตัวเอง: ความพยายามของลาที่จะเอาชนะเงาของมันเป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาของเราที่จะหลีกหนีจากปัญหาหรือแง่มุมของตัวเราที่เราไม่ชอบ เรื่องราวสอนเราถึงความสำคัญของการยอมรับว่าเราเป็นใครและเผชิญกับความท้าทายแทนการวิ่งหนี
  • การพยายามหลีกหนีจากตัวตนโดยเปล่าประโยชน์: การที่ลาพยายามหนีเงาของมันอย่างเปล่าประโยชน์แสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถหลีกหนีจากตัวตนที่แท้จริงของเราหรือผลของการกระทำของเรา
  • คำนึงถึงการกระทำของเรา: เรื่องราวเตือนใจเราให้คำนึงถึงทางเลือกและการกระทำของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้สร้าง “เงา” ของเราหรือผลที่ตามมาที่เราต้องเผชิญ
  • ยอมรับความจริง: แทนที่จะเสียพลังงานไปกับการพยายามปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความเป็นจริง จะเป็นการดีกว่าที่จะยอมรับความจริงและหาวิธีจัดการกับมันอย่างสร้างสรรค์

“Problems are like shadows. If we don’t fix it, it will stay with us forever…”

  • Accepting oneself: The ass’s attempt to outrun his shadow symbolizes our desire to escape from our problems or aspects of ourselves we don’t like. The story teaches us the importance of accepting who we are and facing our challenges instead of running away from them.
  • The futility of trying to escape from oneself: The ass’s futile attempts to outrun his shadow demonstrate that we cannot escape from our true selves or the consequences of our actions.
  • Being mindful of our actions: The story reminds us to be mindful of our choices and actions because they create our “shadows” or the consequences we must face.
  • Embracing reality: Instead of wasting energy trying to deny or avoid reality, it is better to embrace it and find ways to deal with it constructively.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการยอมรับตนเอง การเผชิญกับความท้าทาย และการมีสติสัมปชัญญะในการกระทำของเรา มันเตือนเราว่าการพยายามหลีกหนีจากตัวเองหรือปัญหาของเรานั้นไร้ประโยชน์ และการเติบโตและการแก้ปัญหาที่แท้จริงมาจากการโอบรับความเป็นจริงและจัดการกับมันอย่างมีความรับผิดชอบ

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “แมวกับหนูเฒ่า” ไทย-Eng

“แมวกับหนูเฒ่า” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงคุณค่าของคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเพื่อนจะไม่ให้พลาดซ้ำสอง เพราะผู้มีปัญญาย่อมไม่หลงกลเป็นครั้งที่สอง…

นิทานอีสปเรื่องแมวกับหนูเฒ่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในโรงนาแสนสบาย มีหนูเฒ่าและหนูวัยหนุ่มอาศัยอยู่ด้วยกัน พวกมันเป็นเพื่อนสนิทและดูแลซึ่งกันและกัน พวกมันมีชีวิตที่สุขสบายและสงบสุข มีอาหารกินมากมายและมีที่พักที่ปลอดภัย

Once upon a time, in a cozy barn, an old rat and a young rat lived together. They were close companions and looked out for each other. They had a comfortable and peaceful life, with plenty of food to eat and a safe place to rest.

อยู่มาวันหนึ่ง แมวซุกซนย้ายเข้าไปในโรงนา หนูแก่ที่ฉลาดและมีประสบการณ์ รับรู้ได้ทันทีถึงอันตรายที่แมวก่อขึ้น มันเตือนหนูวัยหนุ่มว่า “ระวังให้ดี เจ้าหนูน้อย แมวเจ้าเล่ห์และอาจเป็นอันตรายได้ เราต้องระวังและอย่าเข้าใกล้มันมากเกินไป”

One day, a mischievous cat moved into the barn. The old rat, wise and experienced, immediately sensed the danger the cat posed. He warned the young rat, “Be cautious, my dear friend. The cat is cunning and can be very dangerous. We must be careful and avoid getting too close to it.”

อย่างไรก็ตาม หนูวัยหนุ่มนั้นช่างสงสัยและไร้เดียงสา มันคิดว่าแมวตัวนี้ดูไม่มีพิษมีภัยและน่าขบขันแม้แต่น้อย มันไม่เข้าใจว่าทำไมหนูแก่จึงระมัดระวังและตัดสินใจที่จะเข้าใกล้แมวเพื่อเล่นกับมัน

The young rat, however, was curious and naive. He thought the cat seemed harmless and even a little amusing. He didn’t understand why the old rat was so cautious and decided to approach the cat to play.

เมื่อหนูตัวเล็กเข้าใกล้แมว ดวงตาของแมวก็หรี่ลง และมันก็กระโจนเข้าหาเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ หนูตัวเล็กพยายามหลบหนีโดยมีรอยข่วนเล็กน้อย แต่มันรู้สึกหวาดกลัวและตระหนักว่าหนูเฒ่านั้นพูดถูกต้องมาโดยตลอด

As the young rat got closer to the cat, the cat’s eyes narrowed, and it pounced on him with lightning speed. The young rat managed to escape with a few scratches, but he was frightened and realized the old rat had been right all along.

มันวิ่งกลับไปหาหนูตัวเก่าและพูดว่า “ท่านพูดถูก และข้าควรจะฟังท่าน แมวมันอันตราย และข้าโง่เขลาที่จะเข้าใกล้มัน”

Running back to the old rat, he said, “You were right, and I should have listened to you. The cat is dangerous, and I was foolish to approach it.”

หนูเฒ่าปลอบโยนเพื่อนตัวน้อยของมัน และพูดว่า “ไม่เป็นไร เราทุกคนทำผิดพลาดกันได้ แต่สิ่งสำคัญคือเจ้าได้เรียนรู้จากมัน เชื่อสัญชาตญาณของตัวเองเสมอ และระมัดระวังเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้ที่อาจเป็นภัยคุกคาม”

The old rat comforted his young friend and said, “It’s alright. We all make mistakes, but the important thing is that you learned from it. Always trust your instincts and be cautious around those who may pose a threat.”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หนูวัยหนุ่มก็เชื่อฟังคำแนะนำของหนูเฒ่าและระมัดระวังตัวมากขึ้น มันเข้าใจคุณค่าของประสบการณ์และภูมิปัญญา และชื่นชมคำแนะนำและการปกป้องจากหนูเฒ่า

From that day on, the young rat heeded the advice of the old rat and became more cautious. He understood the value of experience and wisdom and appreciated the guidance and protection the old rat offered.

เมื่อเวลาผ่านไป หนูวัยหนุ่มก็โตขึ้นและฉลาดขึ้น มันส่งต่อบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากหนูเฒ่าไปยังหนูรุ่นต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าพวกหนูรุ่นต่อไปจะระมัดระวังและฉลาดในการเลือกเช่นกัน

As time went on, the young rat grew older and wiser himself. He passed on the lessons he had learned from the old rat to the next generation, ensuring that they, too, would be cautious and wise in their choices.

นิทานอีสปแมวกับหนูเฒ่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ผู้มีปัญญาย่อมไม่หลงกลเป็นครั้งที่สอง…”

  • ฟังประสบการณ์: ความผิดพลาดของหนูเล็กในการเข้าใกล้แมวแม้ว่าหนูแก่จะเตือน สอนให้เราฟังคำแนะนำและประสบการณ์ของผู้ที่ฉลาดและมีความรู้มากกว่า
  • เชื่อสัญชาตญาณของคุณ: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเชื่อสัญชาตญาณของเราและระมัดระวังเมื่อเผชิญกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
  • การเรียนรู้จากความผิดพลาด: การทำผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่สิ่งที่สำคัญคือการเรียนรู้จากความผิดพลาดและไม่ทำซ้ำ
  • คุณค่าของการชี้นำ: ความสัมพันธ์ระหว่างหนูแก่กับหนูเล็กแสดงให้เห็นความสำคัญของการให้คำปรึกษาและการชี้แนะในชีวิต

“A wise person is not fooled a second time…”

  • Listen to the experience: the mistake of a young mouse in approaching a cat, despite the warning of an old mouse. Teach us to listen to the advice and experiences of those who are wiser and more knowledgeable.
  • Trust your instincts: The story emphasizes the importance of trusting our instincts and being cautious in the face of potential danger.
  • Learning from Mistakes: Making mistakes is a part of life. But the important thing is to learn from your mistakes and not repeat them.
  • The Value of Guidance: The relationship between an old mouse and a young mouse shows the importance of mentoring and guidance in life.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการเชื่อฟังคำแนะนำ เชื่อสัญชาตญาณของเรา เรียนรู้จากความผิดพลาด และชื่นชมภูมิปัญญาและคำแนะนำของผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “แม่นกจาบฝนกับลูกๆ ของเธอ” ไทย-Eng

“แม่นกจาบฝนกับลูกๆ ของเธอ” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความเสียสละของแม่ และความพยายาม กล้าหาญ ที่จะทำสิ่งใหม่ๆ โดยออกจากเขตสบายของเรา

นิทานอีสปเรื่องแม่นกจาบฝนกับลูกๆ ของเธอ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แม่นกจาบฝนสร้างรังในทุ่งข้าวสาลี เธอบุด้วยขนนุ่มอย่างระมัดระวังและทำให้ที่นี่เป็นบ้านที่ปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับลูกๆ ของเธอ ลูกนกภูมิใจในรังของมันและตื่นเต้นที่จะได้เลี้ยงลูกเล็กๆ ของมันที่นั่น

Once upon a time, a mother lark built her nest in a field of wheat. She carefully lined it with soft feathers and made it a safe and comfortable home for her young ones. The lark was proud of her nest and was excited to raise her little ones there.

วันเวลาผ่านไป ข้าวสาลีในทุ่งก็เริ่มสุก รวงก็สูงใหญ่เป็นสีทอง แม่นกจาบฝนรู้ว่าใกล้จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวสาลีแล้ว เธอจึงกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของรังและลูกๆ ของเธอ

As the days went by, the wheat in the field began to ripen, and the stalks grew tall and golden. The mother lark knew that it would soon be time for the wheat to be harvested, and she worried about the safety of her nest and her young ones.

วันหนึ่ง นกจาบฝนมีความคิด เธอรวบรวมลูกๆ ของเธอไว้รอบๆ แล้วพูดว่า “ลูกที่รัก ถึงเวลาแล้วที่เราจะออกจากรังของเรา ข้าวสาลีในทุ่งกำลังสุก และในไม่ช้าชาวนาก็จะมาเก็บเกี่ยว มันไม่ปลอดภัยสำหรับเรา ที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

One day, the mother lark had an idea. She gathered her young ones around her and said, “My dear children, the time has come for us to leave our nest. The wheat in the field is ripening, and soon the farmer will come to harvest it. It is not safe for us to stay here any longer.”

ลูกนกสับสนและหวาดกลัว “ว่าแต่แม่จะไปไหน?” พวกเขาถาม

The young larks were confused and afraid. “But where shall we go, Mother?” they asked.

แม่นกจาบฝนตอบว่า “เราจะบินไปยังที่ปลอดภัยกว่า ห่างไกลจากทุ่งนา มีป่าที่สวยงามอยู่ใกล้ๆ มีต้นไม้สูงใหญ่และใบไม้หนาทึบ ที่นั่น เราจะได้รับความคุ้มครองจากอันตราย”

The mother lark replied, “We will fly to a safer place, far away from the field. There is a beautiful forest nearby with tall trees and thick foliage. There, we will be protected from harm.”

ในตอนแรกลูกนกลังเลเพราะพวกมันไม่เคยบินมาก่อน แต่ด้วยคำแนะนำและการให้กำลังใจของแม่ พวกมันจึงกางปีกออกและบินไป

The young larks were hesitant at first, for they had never flown before. But with their mother’s guidance and encouragement, they spread their wings and took flight.

ขณะที่พวกเขาบินไปทางป่า แม่ปลาก็สังเกตเห็นว่าลูกอ่อนตัวหนึ่งกำลังล้าหลัง เธอบินกลับมาหาเขาและเห็นว่าเขาเหนื่อยและดิ้นรนที่จะตามให้ทัน

As they flew towards the forest, the mother lark noticed that one of her young ones was lagging behind. She flew back to him and saw that he had grown tired and was struggling to keep up.

“มาเถิด ลูกเอ๋ย เจ้าทำได้” แม่นกจาบฝนพูดอย่างปลอบประโลม “จงบินต่อไป อีกไม่นานเราจะปลอดภัยในป่า”

“Come, my child, you can do it,” the mother lark said soothingly. “Just keep flying, and soon we will be safe in the forest.”

แต่ลูกนกตอบว่า “ไปต่อไม่ได้แล้วแม่ หนูเหนื่อยแล้ว หนูอยากกลับรังของเราที่ทุ่งนา”

But the young lark replied, “I can’t go on, Mother. I’m too tired. I want to go back to our nest in the field.”

แม่นกจาบฝนตัดสินใจเลือกระหว่างความปรารถนาที่จะปกป้องลูกๆ ของเธอกับความเข้าใจของเธอที่ว่าพวกเขาจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า แต่เธอรู้ว่าการกลับไปที่รังจะทำให้พวกลูกๆ ของเธอทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย

The mother lark was torn between her desire to protect her young ones and her understanding that they needed to move to a safer place. But she knew that going back to the nest would put them all in danger.

แม่นกจาบฝนพูดด้วยหัวใจที่หนักอึ้งว่า “ลูกรัก แม่รู้ว่าลูกเหนื่อย แต่เราไม่สามารถกลับไปที่รังได้ มันไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ลูกต้องหาแรงที่จะบินต่อไปและไปให้ถึงป่าด้วยกัน”

With a heavy heart, the mother lark said, “My dear child, I know you are tired, but we cannot go back to the nest. It is not safe there anymore. You must find the strength to keep flying and reach the forest with us.”

นกจาบฝนน้อยได้ฟังคำของแม่ก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมด มันกระพือปีกและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ในที่สุดก็ร่วมกับแม่และพี่น้องของมันในความปลอดภัยของป่า

The young lark listened to his mother’s words and summoned all his strength. He flapped his wings and soared through the sky, finally joining his mother and siblings in the safety of the forest.

แม่นกจาบฝนรู้สึกโล่งใจและภูมิใจในตัวลูก เธอรู้ว่าเธอตัดสินใจถูกต้องแล้วที่จะออกจากรังและปกป้องพวกลูกๆ จากอันตราย

The mother lark was relieved and proud of her young ones. She knew that she had made the right decision to leave the nest and protect them from harm.

นิทานอีสปแม่นกจาบฝนกับลูกๆ ของเธอ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“บางครั้ง เพื่อปกป้องคนที่เราห่วงใย เราต้องตัดสินใจที่ยากลำบากและสนับสนุนให้พวกเขาเอาชนะความกลัวและข้อจำกัดของพวกเขา”

  • ปกป้องคนที่รัก: การกระทำของแม่นกจาบฝนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปกป้องคนที่รักจากอันตรายและเสียสละเพื่อความปลอดภัยของลูกๆ เธอ
  • ความกล้าหาญและความอุตสาหะ: เจ้านกจาบฝนตัวน้อยพยายามบินต่อไป แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของความกล้าหาญและความอุตสาหะ แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายและความเหน็ดเหนื่อย
  • การตัดสินใจที่ยากลำบาก: บางครั้งเราต้องตัดสินใจที่ยากลำบากเพื่อสิ่งที่ดีกว่า แม้ว่าจะไม่ง่ายก็ตาม
  • ความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแสวงหาความปลอดภัยและความมั่นคง แม้ว่าจะหมายถึงการละทิ้งสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยและสะดวกสบายก็ตาม

“Sometimes, in order to protect those we care about, we must make difficult decisions and encourage them to overcome their fears and limitations.”

  • Protecting loved ones: The mother lark’s actions demonstrate the importance of protecting loved ones from harm and making sacrifices for their safety.
  • Courage and perseverance: The young lark’s struggle to keep flying shows the value of courage and perseverance, even in the face of challenges and exhaustion.
  • Making difficult choices: Sometimes, we have to make tough decisions for the greater good, even if they are not easy.
  • Safety and security: The story emphasizes the importance of seeking safety and security, even if it means leaving behind familiar and comfortable surroundings.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ถึงความสำคัญของการปกป้องคนที่เรารัก การมีความกล้าหาญในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การตัดสินใจที่ยากลำบากเพื่อความปลอดภัย และการแสวงหาความปลอดภัยแม้ว่านั่นหมายถึงการออกจากเขตปลอดภัยของเราก็ตาม

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ผึ้ง ตัวต่อ และแตน” ไทย-Eng

“ผึ้ง ตัวต่อ และแตน” เป็นนิทานอีสปที่สอเราถึงคุณค่าของความสามัคคี ซึ่งสามารถทำให้เราชนะอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ได้ และยังสอนถึงผลของการกดขี่ข่มเหงผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องผึ้ง ตัวต่อ และแตน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทุ่งหญ้าที่มีชีวิตชีวา ผึ้งและตัวต่ออาศัยอยู่อย่างกลมกลืน ส่งกลิ่นหึ่งจากดอกหนึ่งไปยังอีกดอกหนึ่ง เก็บน้ำหวานและสร้างน้ำผึ้งแสนอร่อย พวกมันทำงานอย่างขยันขันแข็ง แต่ละตัวมีส่วนช่วยให้รังผึ้งเจริญรุ่งเรืองและอยู่ดีมีสุข

Once upon a time, in a vibrant meadow, the bees and wasps lived harmoniously, buzzing from flower to flower, collecting nectar and creating delicious honey. They worked diligently, each contributing to the hive’s prosperity and well-being.

วันหนึ่งแตนดุร้ายมาถึงทุ่งหญ้า มันประกาศด้วยเสียงอันน่ากลัวว่า “ข้าคือแมลงที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดในทุ่งหญ้าแห่งนี้ จากนี้ไป ผึ้งและตัวต่อทั้งหมดจะต้องปรนนิบัติของข้า!”

One day, a fierce hornet arrived in the meadow. With a menacing buzz, it declared, “I am the strongest and most powerful insect in this meadow. From now on, all the bees and wasps shall serve me!”

ผึ้งและตัวต่อตกใจกับความเย่อหยิ่งและความต้องการของแตน พวกมันให้คุณค่ากับอิสรภาพและความเป็นอิสระของตน และไม่เต็มใจที่จะยอมจำนนต่อกฎของแตน

The bees and wasps were taken aback by the hornet’s arrogance and demands. They valued their freedom and autonomy and were not willing to submit to the hornet’s rule.

แตนซึ่งถูกกระตุ้นด้วยความโกรธและความเย่อหยิ่งเริ่มขู่ผึ้งและตัวต่อ ต่อยและโจมตีพวกมันหากพวกมันกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของมัน ในไม่ช้าทุ่งหญ้าก็กลายเป็นสถานที่แห่งความกลัวและการกดขี่

The hornet, fueled by anger and pride, began to terrorize the bees and wasps, stinging and attacking them if they dared to defy its commands. The meadow soon became a place of fear and oppression.

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่แตนบินอยู่เหนือรังผึ้ง ผึ้งแก่ที่ฉลาดก็ก้าวไปข้างหน้า “แตนผู้ยิ่งใหญ่” ผึ้งพูดด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน “เราเคารพในความแข็งแกร่งของคุณ แต่โปรดเข้าใจว่ารังของเราเติบโตได้ด้วยความสามัคคีและความร่วมมือ หากเราทุกคนทำงานร่วมกัน ทุ่งหญ้าของเราจะเป็นสถานที่แห่งความสามัคคีและความอุดมสมบูรณ์สำหรับทุกคน”

One day, as the hornet hovered above the hive, a wise old bee stepped forward. “Mighty hornet,” said the bee with humility, “we respect your strength, but please understand that our hive thrives through unity and cooperation. If we all work together, our meadow can be a place of harmony and abundance for everyone.”

แตนเย้ยหยันคำพูดของผึ้งและตอบว่า “ความร่วมมือมีไว้สำหรับผู้อ่อนแอ ข้าเป็นผู้ปกครองที่นี่ และพวกเจ้าจะต้องเชื่อฟัง!”

The hornet scoffed at the bee’s words and replied, “Cooperation is for the weak. I am the ruler here, and you will obey!”

แต่ผึ้งผู้ฉลาดยืนกรานว่า “ในความสามัคคีย่อมมีพละกำลัง เราสามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่และปกป้องทุ่งหญ้าของเราจากอันตรายได้”

But the wise bee persisted, “In unity, there is strength. Together, we can achieve great things and protect our meadow from harm.”

เมื่อแตนยังคงข่มเหงผึ้งและตัวต่อ ความคับข้องใจและความไม่พอใจของพวกมันก็เพิ่มมากขึ้น พวกเขารู้ว่าต้องหาทางปลดปล่อยตัวเองจากทรราชของแตน

As the hornet continued to oppress the bees and wasps, their frustration and discontent grew. They knew they had to find a way to free themselves from the hornet’s tyranny.

คืนหนึ่ง ขณะที่แตนนอนหลับ ผึ้งและตัวต่อวางแผนหลบหนีอย่างระมัดระวัง พวกมันทำงานอย่างเงียบๆ รวมกลุ่มกันและวางแผนกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด

One night, as the hornet slept, the bees and wasps carefully planned their escape. They worked silently, organizing themselves into groups and devising a clever strategy.

เมื่อถึงรุ่งเช้า ผึ้งและตัวต่อก็นำแผนของพวกมันไปปฏิบัติ พวกมันโจมตีรังแตนด้วยความแม่นยำและมุ่งมั่น โดยใช้กำลังที่รวมกันเพื่อเอาชนะแตน

When morning arrived, the bees and wasps put their plan into action. They attacked the hornet’s nest with precision and determination, using their collective strength to overpower the hornet.

เมื่อรังของแตนพังทลาย แมลงที่เคยอ้างตัวว่าแข็งแกร่งที่สุดก็พ่ายแพ้และรู้ถึงความต่ำต้อยของมันเอง

As the hornet’s nest crumbled, the insect that once claimed to be the strongest was now defeated and humbled.

ผึ้งและตัวต่อยึดทุ่งหญ้าของพวกมันคืน และความรู้สึกสงบสุขและความสามัคคีก็กลับคืนมา พวกมันตระหนักว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การครอบงำและการรุกราน แต่อยู่ที่ความสามัคคีและความร่วมมือ

The bees and wasps had reclaimed their meadow, and a sense of peace and harmony returned. They realized that true strength lies not in domination and aggression but in unity and cooperation.

นิทานอีสปผึ้ง ตัวต่อ และแตน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความแข็งแกร่งที่แท้จริงพบได้ในความสามัคคีและความร่วมมือ ไม่ใช่ในการปกครองและความก้าวร้าว”

  • สามัคคีคือพลัง: เรื่องราวแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความสามัคคีและความร่วมมือ เมื่อผึ้งและตัวต่อทำงานร่วมกัน พวกมันสามารถเอาชนะทรราชของแตนและคืนความสามัคคีให้กับทุ่งหญ้าของพวกมันได้
  • ความเป็นผู้นำผ่านสติปัญญาและความเข้าใจ: ผึ้งเฒ่าผู้ชาญฉลาดแสดงให้เห็นว่าความเป็นผู้นำที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับการเอาใจใส่ ความเข้าใจ และการค้นหาจุดร่วม แทนที่จะปกครองด้วยกำลังและความกลัว
  • การกดขี่นำไปสู่ความไม่พอใจ: กฎที่กดขี่ของแตนทำให้เกิดความกลัวและความไม่พอใจในหมู่ผึ้งและตัวต่อ ทำให้พวกเขามุ่งมั่นที่จะหลุดพ้นจากการควบคุมของมัน
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเคารพ: ความอ่อนน้อมถ่อมตนของผึ้งแสนรู้และความเคารพต่อความแข็งแกร่งของแตนเปิดประตูสู่การเจรจาและความร่วมมือแม้ในยามเผชิญกับความทุกข์ยาก

“True strength is found in unity and cooperation, not in domination and aggression.”

  • Unity is strength: The story illustrates the power of unity and cooperation. When the bees and wasps worked together, they were able to overcome the hornet’s tyranny and restore harmony to their meadow.
  • Leadership through wisdom and understanding: The wise old bee showed that true leadership involves empathy, understanding, and finding common ground, rather than ruling through force and fear.
  • Oppression leads to discontent: The hornet’s oppressive rule caused fear and discontent among the bees and wasps, leading to their determination to break free from its control.
  • Humility and respect: The wise bee’s humility and respect for the hornet’s strength opened the door to dialogue and cooperation, even in the face of adversity.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของความสามัคคี ความเป็นผู้นำที่ชาญฉลาด และผลเสียของการกดขี่ เป็นการเตือนเราว่าการทำงานร่วมกันด้วยความเคารพและความเข้าใจสามารถนำไปสู่ชุมชนที่กลมเกลียวและเจริญรุ่งเรืองได้

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “คนเลี้ยงแกะหนุ่มกับราชสีห์” ไทย-Eng

“คนเลี้ยงแกะหนุ่มกับราชสีห์” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงคุณค่าของความเมตตากรุณา ความเห็นอกเห็นใจจะให้สิ่งที่ดีเรากลับมา และการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน

นิทานอีสปเรื่องคนเลี้ยงแกะหนุ่มกับราชสีห์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมชายป่าทึบ เขาใช้เวลาทั้งวันดูแลฝูงแกะ พาพวกมันออกไปกินหญ้าในทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม และปกป้องพวกมันจากอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่

Once upon a time, a young shepherd lived in a village nestled at the edge of a dense forest. He spent his days tending to his flock of sheep, leading them to graze in the lush meadows and guarding them from any lurking danger.

บ่ายวันหนึ่งที่แดดจ้า ในขณะที่ฝูงแกะกำลังเล็มหญ้าอย่างสงบ ราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากส่วนลึกของป่า คนเลี้ยงแกะหนุ่มตกใจเมื่อเห็นนักล่าที่ดุร้ายตัวสั่นด้วยความกลัว เขารู้ว่าชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง

One sunny afternoon, while the sheep were peacefully grazing, a mighty lion emerged from the depths of the forest. The young shepherd, startled by the sight of the fierce predator, trembled with fear. He knew that his life was in grave danger.

อย่างไรก็ตาม ราชสีห์ทำให้คนเลี้ยงแกะประหลาดใจด้วยการพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบและสง่างาม “อย่ากลัวเลย คนเลี้ยงแกะหนุ่ม” ราชสีห์พูด “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายเจ้า อันที่จริง ข้ามีเรื่องจะขอให้เจ้าช่วย”

However, the lion surprised the shepherd by speaking in a calm and dignified voice. “Fear not, young shepherd,” said the lion. “I am not here to harm you. In fact, I have a favor to ask of you.”

คนเลี้ยงแกะรู้สึกงุนงงแต่สนใจ จึงเข้าไปใกล้ราชสีห์อย่างระมัดระวัง “ท่านจะขอความช่วยเหลืออะไรจากข้าได้บ้าง” เขาถามโดยยังคงรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากสิ่งมีชีวิตที่น่าเกรงขาม

Baffled but intrigued, the shepherd cautiously approached the lion. “What favor could you possibly seek from me?” he asked, still keeping a safe distance from the formidable creature.

ราชสีห์อธิบายว่า “เจ้าเห็นไหม ข้าแก่และอ่อนแอ การล่าอาหารกลายเป็นเรื่องยากสำหรับข้า ข้าอยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบและสุขสบาย ข้าได้ยินมาว่ามนุษย์ในหมู่บ้านนี้ ใจดีและเห็นอกเห็นใจ ข้าขอให้เจ้าแบ่งปันอาหารเพื่อที่ข้าจะได้อยู่รอด”

The lion explained, “You see, I am old and weak, and hunting for food has become increasingly difficult for me. I wish to live out the rest of my days in peace and comfort. I have heard that the humans in this village are kind-hearted and compassionate. I beseech you to allow me to share in the food from your flock so that I may survive.”

คนเลี้ยงแกะหนุ่มลังเล เลือกไม่ถูกระหว่างความกลัวราชสีห์กับความปรารถนาที่จะช่วยสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความช่วยเหลือ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตระหนักว่าการแสดงความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาสามารถสร้างความแตกต่างในชีวิตของราชสีห์ได้

The young shepherd hesitated, torn between his fear of the lion and his desire to help a creature in need. After a moment of contemplation, he realized that showing compassion and mercy could make a difference in the lion’s life.

“เป็นการดี” คนเลี้ยงแกะพูด “ข้าจะให้อาหารบางส่วนแก่ท่าน แต่ท่านต้องสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายฝูงแกะของข้า เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นการดำรงชีวิตและเป็นความรับผิดชอบของข้า”

“Very well,” said the shepherd, “I shall give you some of the sheep’s food. But you must promise not to harm any of my flock, for they are my livelihood and my responsibility.”

ราชสีห์ตกลงตามเงื่อนไขของผู้เลี้ยงแกะอย่างจริงจัง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ราชสีห์กับคนเลี้ยงแกะก็อยู่ร่วมกันอย่างคาดไม่ถึง คนเลี้ยงแกะแบ่งปันอาหารส่วนหนึ่งของแกะกับราชสีห์ ผู้ซึ่งในทางกลับกันก็ปกป้องแกะจากนักล่าตัวอื่นที่กล้าเข้าใกล้ทุ่งหญ้า

The lion solemnly agreed to the shepherd’s condition. From that day on, the lion and the shepherd lived in an unexpected harmony. The shepherd shared a portion of the sheep’s food with the lion, who, in turn, protected the sheep from any other predators that dared to approach the meadows.

เวลาผ่านไปหลายเดือน ความแข็งแรงของราชสีห์ก็ดีขึ้น และมันก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนเลี้ยงแกะอีกต่อไป ขอบคุณความเมตตาของคนเลี้ยงแกะ ราชสีห์ตัดสินใจออกจากทุ่งหญ้าและกลับไปที่ส่วนลึกของป่า ซึ่งมันสามารถหาอาหารได้ด้วยตัวเอง

As the months passed, the lion’s strength improved, and he no longer needed the shepherd’s assistance. Grateful for the shepherd’s kindness, the lion decided to leave the meadows and return to the depths of the forest, where he could find food on his own.

ก่อนจากกัน ราชสีห์มองคนเลี้ยงแกะด้วยแววตาขอบคุณและพูดว่า “พ่อหนุ่ม เจ้าแสดงให้ข้าเห็นว่าแม้แต่สัตว์ที่ดุร้ายที่สุดก็สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ด้วยความเมตตาและความเข้าใจ ขอให้หัวใจของเจ้าได้รับพรด้วยความเมตตาเช่นเดียวกับที่เจ้าได้แสดงให้ข้าเห็น ”

Before parting ways, the lion looked at the shepherd with gratitude in his eyes and said, “Young man, you have shown me that even the fiercest of creatures can be tamed with kindness and understanding. May your heart be blessed with the same compassion that you have shown me.”

คนเลี้ยงแกะอำลาราชสีห์ด้วยรู้ว่าวันนั้นเขาได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่า

The shepherd bid farewell to the lion, knowing that he had learned a valuable lesson that day.

นิทานอีสปคนเลี้ยงแกะหนุ่มกับราชสีห์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาสามารถสัมผัสได้แม้กระทั่งหัวใจที่ดุร้ายที่สุดและนำไปสู่ความสามัคคีที่ไม่คาดคิด”

  • ความเห็นอกเห็นใจและความเมตตา: การแสดงความเมตตาของผู้เลี้ยงแกะที่มีต่อราชสีห์แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความเมตตาในการเชื่อมช่องว่างและสร้างมิตรภาพที่คาดไม่ถึง
  • เอาชนะความกลัว: แม้จะกลัวในตอนแรก แต่คนเลี้ยงแกะหนุ่มก็เลือกที่จะมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกและหาจุดร่วมกับราชสีห์
  • ความเคารพซึ่งกันและกัน: ราชสีห์กับคนเลี้ยงแกะหนุ่มพัฒนาความเคารพซึ่งกันและกัน เข้าใจความต้องการและขอบเขตของกันและกัน
  • มิตรภาพที่ไม่คาดคิด: เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่ามิตรภาพที่ไม่คาดคิดสามารถเบ่งบานได้อย่างไรเมื่อเราเข้าหาผู้อื่นด้วยใจที่เปิดกว้างและเต็มใจที่จะเข้าใจและช่วยเหลือ

“Compassion and kindness can touch even the fiercest hearts and lead to unexpected harmony.”

  • Compassion and kindness: The shepherd’s act of compassion towards the lion demonstrates the power of kindness in bridging gaps and building unexpected friendships.
  • Overcoming fear: Despite his initial fear, the young shepherd chose to look beyond appearances and find common ground with the lion.
  • Mutual respect: The lion and the shepherd developed a mutual respect for one another, understanding each other’s needs and boundaries.
  • Unexpected friendships: The story illustrates how unexpected friendships can blossom when we approach others with an open heart and a willingness to understand and help.

โดยรวมสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการแสดงความเห็นอกเห็นใจ การเอาชนะความกลัว การส่งเสริมความเคารพซึ่งกันและกัน และการยอมรับมิตรภาพที่คาดไม่ถึง เป็นการเตือนใจเราว่าการแสดงความเมตตาสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีทั้งในชีวิตของเราและชีวิตของผู้อื่นที่อยู่รอบตัวเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “เหล่าสัตว์ป่ากับโรคระบาด” ไทย-Eng

“เหล่าสัตว์ป่ากับโรคระบาด” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความอันตรายของโรคระบาด และเหนือสิ่งใดยังสอนเราถึงความสามามัคคีในพวกพ้องคือพลังที่สุดยอดพลังหนึ่งของโลกใบนี้

นิทานอีสปเรื่องเหล่าสัตว์ป่ากับโรคระบาด

กาลครั้งหนึ่ง โรคระบาดได้แพร่ระบาดไปทั่วอาณาจักรสัตว์ สัตว์ทุกชนิดล้มป่วยและล้มหายตายจากไป ทำให้เกิดความกลัวและความตื่นตระหนกในหมู่พวกเขา ด้วยความสิ้นหวัง สัตว์เหล่านี้ตัดสินใจจัดประชุมพื่อหาทางแก้ไขโรคระบาดร้ายแรง

Once upon a time, a deadly plague swept through the animal kingdom. Animals of all kinds were falling ill and perishing, causing great fear and panic among them. In their desperation, the animals decided to hold a council to find a solution to the devastating plague.

สัตว์แต่ละตัวแนะนำวิธีการรักษาและข้อควรระวังที่แตกต่างกันเพื่อป้องกันตัวเองจากโรค บางตัวแนะนำให้อยู่ให้ห่างจากสัตว์อื่น ในขณะที่บางตัวเสนอให้แยกตัวที่ป่วยออกจากกัน แม้จะมีความพยายามของพวกเขา โรคระบาดยังคงแพร่กระจาย และสัตว์จำนวนมากต้องยอมจำนนต่อพิษร้ายแรงของมัน

As they gathered, each animal suggested different remedies and precautions to protect themselves from the disease. Some suggested staying away from other animals, while others proposed isolating the sick ones. Despite their efforts, the plague continued to spread, and more animals succumbed to its deadly grasp.

ท่ามกลางความโกลาหล นกฮูกชราผู้ชาญฉลาดก้าวไปข้างหน้าและปราศรัยกับที่ประชุม “สิ่งมีชีวิตทั้งหลายของข้า” นกฮูกชราพูด “ข้าสังเกตสถานการณ์อย่างระมัดระวัง โรคระบาดนี้ส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน ไม่ว่าเราจะมีขนาดหรือกำลังเท่าใดก็ตาม เราทุกคนล้วนอ่อนแอต่อความโกรธของมัน”

In the midst of the chaos, a wise old owl stepped forward and addressed the assembly. “My fellow creatures,” said the old owl, “I have been observing the situation carefully. The plague affects all of us, regardless of our size or strength. We are all vulnerable to its wrath.”

สัตว์อื่นๆ ตั้งใจฟังคำพูดของนกฮูกชราที่ฉลาด เขากล่าวต่อว่า “เราต้องเข้าใจว่าโรคระบาดนี้ไม่ได้เลือกปฏิบัติ แทนที่จะโทษกันหรือพยายามแยกตัวเองออกจากกัน เราต้องสามัคคีกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เราจะพบพลังในความเป็นหนึ่งเดียวร่วมกัน”

The other animals listened intently to the wise old owl’s words. He continued, “We must understand that this plague does not discriminate. Instead of blaming one another or trying to isolate ourselves, we must unite and support each other. Together, we can find strength in our unity.”

สัตว์ต่างๆ ไตร่ตรองคำพูดของนกฮูกชราและตระหนักถึงความจริงในข้อความของเขา พวกเขาตัดสินใจที่จะละทิ้งความแตกต่างและทำงานร่วมกันเพื่อต่อสู้กับโรคระบาด

The animals pondered the old owl’s words and realized the truth in his message. They decided to put aside their differences and work together to combat the plague.

เหล่าสัตว์ได้จัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยตัวแทนจากทุกสายพันธุ์ คณะกรรมการได้จัดตั้งพื้นที่กักกันผู้ป่วย กำหนดมาตรการควบคุมการแพร่กระจาย และให้การดูแลและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ

They formed a committee that consisted of representatives from all species. The committee set up quarantine areas for the sick, established measures to contain the spread, and provided care and support to those who were affected.

เมื่อสัตว์ทั้งหลายทำงานร่วมกัน พวกเขาสังเกตเห็นว่าการแพร่กระจายของโรคระบาดลดลงทีละน้อย ความสามัคคีและความพยายามร่วมกันของพวกเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากกว่ามาตรการใดๆ ที่พวกเขาเคยทำมาก่อนหน้านี้

As the animals worked together, they noticed a gradual decline in the spread of the plague. Their unity and collective efforts proved to be more effective than any individual measures they had previously taken.

ต่อ​มา โรค​ระบาด​ก็​สงบ​ลง และ​อาณาจักร​สัตว์​ก็​เริ่ม​ฟื้น​ขึ้น สัตว์เหล่านี้ตระหนักถึงความสำคัญของความสามัคคีและความแข็งแกร่งที่พวกเขาพบในการยืนหยัดร่วมกันในช่วงเวลาที่ท้าทาย

In time, the plague subsided, and the animal kingdom began to recover. The animals recognized the significance of their unity and the strength they found in standing together during the challenging times.

คำพูดของหนูเฒ่าผู้ชาญฉลาดกลายเป็นบทเรียนอันทรงพลังสำหรับทุกคน พวกเขาเรียนรู้ว่าในยามวิกฤต ความสามัคคีและความร่วมมือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเอาชนะความทุกข์ยาก เหล่าสัตว์ต่างตระหนักดีว่าการละทิ้งความแตกต่างและทำงานร่วมกัน พวกเขาสามารถเผชิญกับความท้าทายใดๆ ด้วยความกล้าหาญและความยืดหยุ่น

The wise old owl’s words became a powerful lesson for all. They learned that in times of crisis, unity and cooperation are essential for overcoming adversity. The animals realized that by putting aside their differences and working together, they could face any challenge with courage and resilience.

นิทานอีสปเหล่าสัตว์ป่ากับโรคระบาด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ในช่วงเวลาวิกฤต ความสามัคคีและความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญในการเอาชนะความยากลำบากและค้นหาความเข้มแข็งในการยืนหยัดร่วมกัน”

  • ความสามัคคีคือพลัง: ประสบการณ์ของสัตว์กับโรคระบาดแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความสามัคคีและความร่วมมือในการเอาชนะความท้าทาย
  • การสนับสนุนและความเห็นอกเห็นใจ: แทนที่จะกล่าวโทษผู้อื่น สัตว์เหล่านี้เลือกที่จะสนับสนุนและดูแลกันและกัน แสดงความเห็นอกเห็นใจและเห็นอกเห็นใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
  • เผชิญความทุกข์ยากด้วยกัน: เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรวมตัวกันและเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากในฐานะแนวร่วม
  • การเรียนรู้จากผู้อื่น: ความรู้และคำแนะนำของหนูชราผู้ชาญฉลาดแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการฟังและการเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์และความรู้

“In times of crisis, unity and cooperation are essential for overcoming adversity and finding strength in standing together.”

  • Unity is strength: The animals’ experience with the plague illustrates the power of unity and cooperation in overcoming challenges.
  • Support and compassion: Instead of blaming others, the animals chose to support and care for one another, showing compassion and empathy during difficult times.
  • Facing adversity together: The story emphasizes the importance of coming together and facing adversity as a united front.
  • Learning from others: The wise old mouse’s wisdom and guidance showcase the importance of listening and learning from those with experience and knowledge.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงคุณค่าของความสามัคคี การสนับสนุน และความเห็นอกเห็นใจในยามวิกฤต มันเตือนเราว่าการทำงานร่วมกันและการยืนหยัดเป็นหนึ่งสามารถช่วยให้เราเอาชนะความท้าทายที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตได้

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “กวาง แกะ และหมาป่า” ไทย-Eng

“กวาง แกะ และหมาป่า” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงการรับรู้ถึงมิตรภาพ ไม่ใช่ทุกคนจะหวังดีกับเรา และยังเตือนใจเราเกี่ยวกับการเลือกเพื่อนต้องดูให้ดี

นิทานอีสปเรื่องกวาง แกะ และหมาป่า

กาลครั้งหนึ่ง กวางตัวผู้ผู้สง่างาม แกะผู้อ่อนโยน และหมาป่าเจ้าเล่ห์อาศัยอยู่ด้วยกันในป่าทึบ กวางเป็นที่รู้จักในเรื่องความสง่างามและความเร็ว แกะเพราะนิสัยอ่อนโยน และหมาป่าเพราะเล่ห์เหลี่ยมของมัน

Once upon a time, a stag, a sheep, and a wolf lived together in a dense forest. They had formed an unlikely friendship and agreed to look out for each other.

วันหนึ่ง ขณะที่พวกมันกำลังเล็มหญ้าด้วยกันในทุ่งหญ้าอันเงียบสงบ หมาป่าเริ่มรู้สึกหิว มันมองแกะด้วยแววตาโลภและวางแผนที่จะตอบสนองความหิวของมัน

One day, as they were grazing together in a peaceful meadow, the wolf began to feel hungry. He eyed the sheep with a greedy glint in his eyes and hatched a plan to satisfy his hunger.

หมาป่าเข้าใกล้แกะด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วพูดว่า “แกะที่รัก เพื่อนของข้า กวางตัวนี้บอกข้าเกี่ยวกับทุ่งหญ้าเขียวขจีที่อยู่อีกฟากหนึ่งของป่า เขาพูดถึงหญ้าที่หอมหวานที่สุดและลำธารที่ใสที่สุด เจ้าต้องการไหม มาร่วมงานฉลองอันน่ายินดีนี้กับข้าไหม”

Approaching the sheep with a deceitful smile, the wolf said, “Dear sheep, our friend, the stag, told me about a lush meadow on the other side of the forest. He spoke of the sweetest grass and the clearest stream. Would you like to join me and share this delightful feast?”

ฝูงแกะที่ไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของหมาป่ารู้สึกตื่นเต้นที่มีโอกาสได้รับอาหารมากมาย มันจึงตกลงอย่างกระตือรือร้นและตามหมาป่าเข้าไปในใจกลางป่า

The sheep, unaware of the wolf’s true intentions, was excited by the prospect of a bountiful meal. He eagerly agreed and followed the wolf into the heart of the forest.

ขณะที่พวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในป่า แกะก็เริ่มไม่สบายใจ มันสังเกตเห็นกวางหายไปและเริ่มรู้สึกถึงอันตราย มันหยุดแล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน กวางเพื่อนของเราอยู่ที่ไหน เขาควรจะอยู่กับเราไม่ใช่หรือ”

As they ventured deeper into the woods, the sheep became uneasy. He noticed the absence of the stag and began to sense danger. He stopped and said, “Wait, where is our friend, the stag? Shouldn’t he be with us?”

หมาป่าตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “โอ้ กวางตัดสินใจเลือกเส้นทางอื่นไปยังทุ่งหญ้า เขาบอกว่าจะพบเราที่นั่นในภายหลัง”

With a sly grin, the wolf replied, “Oh, the stag decided to take a different path to the meadow. He said he would meet us there later.”

เมื่อพวกมันเข้าใกล้จุดที่เงียบสงบในป่า สีหน้าที่แท้จริงของหมาป่าก็ถูกเปิดเผย มันพุ่งเข้าใส่แกะ พร้อมที่จะเป็นอาหารมื้อต่อไปของมัน แกะร้องขอความช่วยเหลือโดยตระหนักว่ามมันตกหลุมพรางของหมาป่า

As they approached a secluded spot in the forest, the wolf’s true colors were revealed. He lunged at the sheep, ready to make his next meal. The sheep cried out for help, realizing that he had fallen into the wolf’s trap.

ในเวลาไม่นาน กวางที่สัมผัสได้ถึงอันตรายก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ด้วยกีบที่แข็งแรงและเขากวางที่แหลมคม มันต่อสู้กับหมาป่าอย่างดุเดือด ช่วยแกะให้พ้นจากอันตราย

Just in the nick of time, the stag, who had sensed the danger, appeared with lightning speed. With his strong hooves and sharp antlers, he fiercely fought off the wolf, rescuing the sheep from harm’s way.

หมาป่าผู้พ่ายแพ้และละอายใจ หลบเข้าไปในเงามืดของป่า

The wolf, defeated and ashamed, slinked away into the shadows of the forest.

กวางหันไปหาแกะและพูดว่า “เพื่อนรัก อย่าเชื่อคำพูดของหมาป่าเจ้าเล่ห์ มันพยายามหลอกลวงและทำร้ายผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังและแยกแยะ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เสนอมิตรภาพ มีเจตนาดีกับเรา”

The stag turned to the sheep and said, “My dear friend, never trust the words of a cunning wolf. He seeks to deceive and harm others for his own gain. It is essential to be cautious and discerning, for not all who offer friendship have good intentions.”

ขอบคุณความกล้าหาญและความเฉลียวฉลาดของกวาง แกะจึงขอบคุณกวางที่ช่วยชีวิตมัน

Grateful for the stag’s bravery and wisdom, the sheep thanked him for saving her life.

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา กวาง แกะ และหมาป่าก็ยังคงระมัดระวังซึ่งกันและกัน กวางและแกะใกล้ชิดกันมากขึ้น เข้าใจถึงคุณค่าของมิตรภาพที่แท้จริงและความไว้เนื้อเชื่อใจกัน

From that day forward, the stag, the sheep, and the wolf remained cautious of one another. The stag and the sheep grew even closer, understanding the value of true friendship and trust.

นิทานอีสปกวาง แกะ และหมาป่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงระวังผู้ที่หลอกลวงและทรยศต่อความไว้วางใจของคุณเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และรักษามิตรภาพที่แท้จริงบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์และความภักดี”

  • ระวังการหลอกลวง: นิทานเตือนให้เราระวังผู้ที่อาจหลอกลวงเราด้วยคำสัญญาหรือคำเยินยอที่ผิดๆ ไม่ใช่ทุกคนที่ดูเป็นมิตรจะมีเจตนาดี
  • ไว้วางใจเพื่อนแท้: ความภักดีและความกล้าหาญของกวางในการช่วยแกะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการยืนหยัดเคียงข้างเพื่อนแท้ในยามต้องการ
  • การระแวดระวัง: ไม่ใช่ทุกคนจะหวังดีกับเรา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตื่นตัวและระมัดระวังในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีความสนใจสูงสุดของเราสามารถช่วยเราหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เป็นอันตรายได้
  • ความสามัคคีคือพลัง: กวางและแกะสามารถเอาชนะแผนการหลอกลวงของหมาป่าได้ เรื่องราวสอนให้เรารู้ถึงพลังแห่งความสามัคคีและการที่เพื่อนแท้สามารถช่วยเหลือกันในยามยากได้

“Beware of those who deceive and betray your trust for their own gain, and cherish true friendships based on honesty and loyalty.”

  • Beware of deception: The tale reminds us to be wary of those who may deceive us with false promises or flattery. Not everyone who appears friendly has good intentions.
  • Trust true friends: The stag’s loyalty and bravery in rescuing the sheep underscore the importance of standing by true friends in times of need.
  • Stay vigilant: Not everyone will wish us well, it’s crucial to stay alert and discerning in our interactions with others. Understanding that not everyone may have our best interests at heart can help us avoid dangerous situations.
  • Unity is strength: Together, the stag and the sheep were able to overcome the wolf’s deceitful plot. The story teaches us the power of unity and how true friends can support each other in difficult times.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการระวังการหลอกลวง ไว้วางใจเพื่อนแท้ ตื่นตัว และค้นหาความแข็งแกร่งในความสามัคคี

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children