นิทานอีสป เรื่อง “หมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ” ไทย-Eng

“หมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราว่าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ เราไม่มีทางเจตนาที่แท้จริงของใครก็ตาม และการช่วยเหลือต้องช่วยเหลือให้ถูกคน ถูกที่จริงๆ

นิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ

ในชนบทอันเงียบสงบ คนเลี้ยงแกะคนหนึ่งดูแลฝูงแกะของเขาอย่างขยันขันแข็ง เขาเป็นที่รู้จักจากสายตาที่ระแวดระวัง และความมุ่งมั่นที่จะดูแลแกะให้ปลอดภัยจากอันตรายใดๆ อยู่มาวันหนึ่ง หมาป่าผู้หิวโหยซึ่งถูกไล่ต้อนด้วยความหิวโหย เดินเข้ามาหาฝูงสัตว์ มองหาโอกาสที่จะได้อาหารง่ายๆ

In a peaceful countryside, a shepherd diligently tended to his flock of sheep. He was known for his watchful eye and his commitment to keeping the sheep safe from any harm. One day, a hungry wolf, driven by hunger, approached the flock, eyeing the opportunity for an easy meal.

เมื่อหมาป่าคืบคลานเข้ามาใกล้ เขาสังเกตเห็นคนเลี้ยงแกะที่ตื่นตัว และใส่ยืนเฝ้าอยู่ หมาป่าคิดแผนการอันชาญฉลาดที่จะหลอกคนเลี้ยงแกะ และจับแกะเพื่อไม่มีใครสังเกตเห็น

As the wolf crept closer, he noticed the alert and attentive shepherd standing guard. The wolf thought of a clever plan to deceive the shepherd and catch a sheep unnoticed.

เมื่อเข้าใกล้คนเลี้ยงแกะ หมาป่าแสดงสีหน้าน่าสงสารและอ้อนวอน เขาพูดว่า “ท่านผู้เลี้ยงแกะ ข้ากำลังหิวโหยและอ่อนแอ ขเ่ขอร้อง ได้โปรดให้อาหารจากฝูงแกะส่วนหนึ่งของท่านให้กับข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายแกะของคุณสักตัว”

Approaching the shepherd, the wolf put on a pitiful and pleading expression. He said, “Dear shepherd, I am famished and weak. I beg you, please give me some food from your flock. I promise I won’t harm any of your sheep.”

คนเลี้ยงแกะมีจิตใจเมตตา เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ทรมานของหมาป่า เขาคิดกับตัวเองว่า “บางทีสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารนี้อาจต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง”

The shepherd, with a kind heart, felt sympathy for the wolf’s apparent suffering. He thought to himself, “Perhaps this poor creature is genuinely in need of help.”

คนเลี้ยงแกะตกลงที่จะแบ่งปันอาหารกับหมาป่าด้วยความสงสาร เขาเลือกแกะจากฝูงอย่างระมัดระวังและมอบให้หมาป่า โดยเชื่อว่ามันกำลังช่วยเหลือวิญญาณที่สิ้นหวัง

Moved by compassion, the shepherd agreed to share some food with the wolf. He carefully selected a sheep from his flock and handed it to the wolf, believing that he was aiding a desperate soul.

ทันทีที่หมาป่ารับแกะไป ธรรมชาติที่แท้จริงของมันก็ปรากฏขึ้น เขากระโจนเข้าใส่สัตว์ที่ไม่มีที่พึ่งและกินมันอย่างตะกละตะกลาม คนเลี้ยงแกะเฝ้าดูด้วยความตกตะลึง และไม่เชื่อเมื่อหมาป่าเปิดเผยเจตนาที่แท้จริงของมันออกมา

As soon as the wolf received the sheep, his true nature emerged. He pounced on the defenseless animal, devouring it greedily. The shepherd watched in shock and disbelief as the wolf revealed his true intentions.

คนเลี้ยงแกะตระหนักว่าเขาถูกหลอกโดยหมาป่าเจ้าเล่ห์และชักใย เขาเสียใจในความไร้เดียงสาของเขาและสาบานว่าจะระมัดระวังมากขึ้นในอนาคต

The shepherd realized that he had been deceived by the cunning and manipulative wolf. He regretted his naivety and vowed to be more cautious in the future.

นิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ควรใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณเมื่อต้องเผชิญกับรูปลักษณ์ที่หลอกลวง เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่ขอความช่วยเหลือจะมีเจตนาดี”

และนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ

  • ไม่ใช่ทุกคนที่ดูเหมือนหมดหนทางหรือต้องการความช่วยเหลือที่สมควรได้รับความไว้วางใจและความช่วยเหลือจากเรา
  • สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังและระมัดระวังในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • รูปร่างหน้าตาสามารถหลอกลวงได้ และเราไม่ควรให้ความสงสารมาบดบังการตัดสินของเรา
  • ความไว้วางใจต้องได้รับจากการกระทำที่สม่ำเสมอและความตั้งใจจริง

“One should exercise caution and discernment when faced with deceptive appearances, as not everyone who seeks help has good intentions.”

The story teaches us several important lessons:

  • Not everyone who appears helpless or in need is deserving of our trust and assistance.
  • It is important to be discerning and cautious in our interactions with others.
  • Appearances can be deceiving, and we should not let our compassion cloud our judgment.
  • Trust must be earned through consistent actions and genuine intentions.

เป็นเครื่องเตือนใจให้ใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณในความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ของเรา เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการระมัดระวังผู้ที่อาจใช้ประโยชน์จากความเมตตาและความไว้วางใจของเรา เรื่องราวนี้กระตุ้นให้เราสร้างความสมดุลระหว่างความเห็นอกเห็นใจกับความฉลาดหลักแหลม เพื่อให้มั่นใจว่าเราให้ความช่วยเหลือและความไว้วางใจแก่ผู้ที่สมควรได้รับอย่างแท้จริง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “หมาป่ากับลูกแกะ” ไทย-Eng

“หมาป่ากับลูกแกะ” เป็นนิทานที่เตือนใจเกี่ยวกับอำนาจ การใช้อำนาจในทางที่ผิด และความไม่ยุติธรรม การใช้อำนาจในทางที่ผิดย่อมเกิดผลลัพธ์ที่น่าเศร้าเสมอ

นิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ

ในวันที่แดดอุ่น ลูกแกะที่กระหายน้ำตัวหนึ่งกำลังดื่มน้ำจากลำธารใสอย่างมีความสุข หมาป่าผู้หิวโหย มันเห็นโอกาสที่จะกินลูกแกะ หมาป่าเข้าหาลูกแกะด้วยเจตนาร้าย พร้อมที่จะฉวยโอกาสตอบสนองความหิวของมัน

On a warm sunny day, a thirsty lamb was happily drinking water from a clear stream. Unbeknownst to the lamb, a hungry wolf spotted her and saw an opportunity for a meal. The wolf approached the lamb with ill intentions, ready to seize the chance to satisfy his hunger.

เพื่อหาข้ออ้างในการโจมตี หมาป่าจึงตัดสินใจเผชิญหน้ากับลูกแกะและจับผิดมัน มันตะคอก “เจ้ากล้าดียังไงมาทำให้น้ำที่ข้าดื่มอยู่สกปรก! เจ้าต้องชดใช้สำหรับการดูหมิ่นของเจ้า!”

Looking for an excuse to attack, the wolf decided to confront the lamb and find fault with him. He barked, “How dare you dirty the water that I am drinking! You must pay for your disrespect!”

ลูกแกะผู้ไร้เดียงสาทั้งสับสนและหวาดกลัวตอบว่า “แต่ท่านครับ ผมอยู่ท้ายน้ำจากคุณ เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะทำให้น้ำที่คุณดื่มสกปรก”

Confused and frightened, the innocent lamb replied, “But sir, I am downstream from you. It is impossible for me to dirty the water you are drinking.”

หมาป่าเจ้าเล่ห์ยังคงกล่าวหาต่อไปโดยไม่มีใครขัดขวาง อ้างเท็จและยืนกรานในความผิดของลูกแกะ ลูกแกะอ้อนวอนหมาป่า พยายามอย่างมากที่จะหาเหตุผลกับเขาและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของมัน

Undeterred, the cunning wolf continued his accusations, making up false claims and insisting on the lamb’s guilt. The lamb pleaded with the wolf, desperately trying to reason with him and prove him innocence.

เมื่อหมาป่าเริ่มหงุดหงิดกับความไร้เดียงสาที่ไม่เปลี่ยนแปลงของลูกแกะ เขาก็ตระหนักว่าความพยายามที่จะพิสูจน์เจตนาร้ายของเขานั้นล้มเหลว ไม่สามารถหาเหตุผลที่เหมาะสมที่จะโจมตีลูกแกะได้ เขาคำรามว่า “ถ้าไม่ใช่เจ้า ก็คงจะเป็นพ่อของเจ้าในตอนนั้น!” เขากระโจนเข้าใส่ลูกแกะและปลิดชีวิตลูกแกะ

As the wolf grew frustrated by the lamb’s unwavering innocence, he realized that his attempts to justify his malicious intentions were failing. Unable to find a valid reason to attack the lamb, he snarled, “Well, if it wasn’t you, it must have been your father then!” With that, he pounced upon the lamb and ended him life.

นิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ผู้ที่มีเจตนาร้ายมักจะหาข้อแก้ตัวที่จะทำร้ายผู้อื่น แม้ว่าข้อแก้ตัวเหล่านั้นจะไม่มีมูลหรือไม่มีเหตุผลก็ตาม”

และนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ

  • ผู้ที่มีเจตนาร้ายมักจะหาข้อแก้ตัวเพื่อพิสูจน์การกระทำของตน
  • ผู้บริสุทธิ์บางครั้งถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม และต้องทนทุกข์กับผลที่ตามมา
  • ผู้มีอำนาจ อาจใช้อำนาจในทางที่ผิด และกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอ
  • การกระทำที่ไร้เหตุผลและไม่ยุติธรรมอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าเศร้า

“Those with malicious intent often find excuses to harm others, even when those excuses are unfounded or irrational.”

The story teaches us several important lessons:

  • Those with ill intentions will often find excuses to justify their actions.
  • The innocent are sometimes unjustly accused and suffer as a result.
  • The powerful may abuse their authority and oppress the weak.
  • Unreasonable and unjust actions can lead to tragic consequences.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเตือนใจเกี่ยวกับการใช้อำนาจในทางที่ผิด และความไม่ยุติธรรมของข้อกล่าวหาที่ไม่ยุติธรรม มันเตือนให้เราตั้งคำถามถึงแรงจูงใจของผู้มีอำนาจ ยืนหยัดเพื่อความจริงและความไร้เดียงสา และตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นที่ซุ่มซ่อนอยู่ในโลก เรื่องราวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความยุติธรรม ความยุติธรรม และการเห็นอกเห็นใจในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ต้นไม้กับคนตัดไม้” ไทย-Eng

“ต้นไม้กับคนตัดไม้” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราถึงความสำคัญของการเคารพและอนุรักษ์ธรรมชาติ การหาสมดุลระหว่างความต้องการของเรากับความต้องการของสิ่งแวดล้อม

นิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับคนตัดไม้

ในป่าทึบแห่งหนึ่งมีหมู่ไม้ยืนต้นอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ให้ร่มเงาที่พักพิงและที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ อยู่มาวันหนึ่ง มีช่างไม้คนหนึ่งเข้ามาในป่าพร้อมขวานอันแหลมคม พร้อมที่จะตัดต้นไม้เพื่อจุดประสงค์ของเขา

In a dense forest, there stood a community of trees that lived together harmoniously. They provided shade, shelter, and a habitat for various creatures. One day, a woodsman arrived in the forest with a sharp axe, ready to cut down trees for his purposes.

เมื่อต้นไม้เห็นช่างตัดไม้เข้ามาใกล้ ความกลัวก็แผ่ไปในหมู่พวกเขา พวกเขาตระหนักว่าการดำรงอยู่อย่างสงบของพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ด้วยความพยายามที่จะช่วยตัวเองให้รอด พวกเขาจึงจัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับแผน

As the trees saw the woodsman approaching, fear spread among them. They realized that their peaceful existence was at stake. In a desperate attempt to save themselves, they held a meeting to discuss a plan.

ต้นไม้ที่แก่ที่สุดและฉลาดที่สุดในหมู่พวกเขาพูดขึ้นโดยกล่าวว่า “เราต้องร่วมมือกันและวางแผนกลยุทธ์เพื่อป้องกันตนเอง เราไม่สามารถปล่อยให้ความกลัวมาแบ่งแยกเรา ถ้าเรายืนหยัดร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เราอาจจะพบวิธีที่จะเอาชนะภัยคุกคามนี้ได้”

The oldest and wisest tree among them spoke up, saying, “We must unite and devise a strategy to protect ourselves. We cannot let fear divide us. If we stand strong together, we may find a way to overcome this threat.”

ต้นไม้ตกลงและวางแผน พวกเขารู้ว่าร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับช่างตัดไม้ได้ แต่อาจทำให้พลังของเขาอ่อนลงโดยทำให้เกิดความล่าช้าและไม่สะดวก ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่ช่างตัดไม้เข้าใกล้ต้นไม้ ต้นไม้จะแกว่งไปมา ทำให้ยากสำหรับช่างไม้ที่จะเหวี่ยงขวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

The trees agreed and devised a plan. They knew they couldn’t physically fight the woodsman, but they could weaken his power by causing delays and inconvenience. So, whenever the woodsman approached a tree, the tree would sway and bend, making it difficult for the woodsman to swing his axe effectively.

คนตัดไม้เริ่มหงุดหงิดกับความยืดหยุ่นของต้นไม้ ทุกครั้งที่เขาพยายามตัดต้นไม้ ต้นไม้ก็ต่อต้านสุดกำลัง แม้จะมีความพยายาม แต่เขาก็ได้ความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อย

The woodsman grew frustrated by the trees’ resilience. Each time he tried to cut down a tree, it resisted with all its might. Despite his efforts, he made little progress.

เมื่อเห็นการต่อสู้ของช่างตัดไม้ ต้นโอ๊กแก่ต้นหนึ่งที่ฉลาด ก็บอกขึ้นว่า “ช่างตัดไม้ที่รัก เราเข้าใจดีว่าคุณต้องการไม้เพื่อจุดประสงค์ของคุณ แต่เราขอให้คุณเข้าใจเช่นกัน เราคือผู้พิทักษ์ป่าแห่งนี้ ให้ที่พักพิงและชีวิตแก่คนมากมาย สิ่งมีชีวิตต่างๆ หากคุณต้องเลือกต้นไม้ จงเลือกอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ป่ามีความสมดุลและยั่งยืน”

Seeing the woodsman’s struggle, a wise old oak tree called out, “Dear woodsman, we understand that you need wood for your purposes, but we ask for your understanding as well. We are the guardians of this forest, providing shelter and life to many creatures. If you must take a tree, choose wisely and ensure the forest’s balance and sustainability.”

ช่างทำไม้หยุดและไตร่ตรองด้วยสติปัญญาและความยืดหยุ่นของต้นไม้ ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความสมดุลของธรรมชาติและเคารพความกลมกลืนของผืนป่า เขาตัดสินใจเลือกต้นไม้อย่างระมัดระวัง ตัดเฉพาะต้นที่จำเป็นและรับประกันความยั่งยืนของป่า

Moved by the wisdom and resilience of the trees, the woodsman paused and reflected. He realized the importance of preserving nature’s balance and respecting the harmony of the forest. He decided to choose his trees carefully, only cutting down those that were necessary and ensuring the sustainability of the forest.

นิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับคนตัดไม้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความสามัคคี ความยืดหยุ่น และการร้องขอความเข้าใจสามารถนำไปสู่ความสามัคคีและการรักษาสมดุลของธรรมชาติได้”

และนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ

  • ความสามัคคีและความร่วมมือช่วยให้เราเอาชนะความท้าทายและภัยคุกคามได้
  • ความกลัวไม่ควรแบ่งแยกเรา แต่ควรกระตุ้นให้เราหาทางออกร่วมกัน
  • ความยืดหยุ่นและความอุตสาหะอาจทำให้พลังของผู้ที่ต้องการทำร้ายเราลดลง
  • ความสมดุลของความต้องการของเรากับความต้องการของสิ่งแวดล้อมส่งเสริมความยั่งยืนและความสามัคคี

“Unity, resilience, and a plea for understanding can lead to harmony and the preservation of nature’s balance.”

The story teaches us several important lessons:

  • Unity and cooperation can help us overcome challenges and threats.
  • Fear should not divide us but rather motivate us to find solutions together.
  • Resilience and perseverance can weaken the power of those who wish to harm us.
  • Balancing our needs with the needs of the environment promotes sustainability and harmony.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงความแข็งแกร่งที่อยู่ในความสามัคคีและพลังของการยืนหยัดร่วมกันเมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก เน้นความสำคัญของการเคารพและอนุรักษ์ธรรมชาติ การหาสมดุลระหว่างความต้องการของเรากับความต้องการของสิ่งแวดล้อม และการเลือกที่ส่งเสริมความยั่งยืนและความปรองดอง

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “นักเดินทางกับกระเป๋าสตางค์” ไทย-Eng

“นักเดินทางกับกระเป๋าสตางค์” นิทานอีสปที่สอนเราเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจ การไม่เห็นแก่ตัว และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่นมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว

นิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับกระเป๋าสตางค์

นักเดินทางสองคนกำลังเดินไปด้วยกันบนถนนที่ยาวและเต็มไปด้วยฝุ่น ระหว่างทางพวกเขาเจอกระเป๋าใบหนึ่งวางอยู่บนพื้น พวกเขาหยิบมันขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นและพบว่ามันเต็มไปด้วยเหรียญทองคำ ความตื่นเต้นท่วมท้นเมื่อพวกเขาตระหนักถึงโชคชะตาที่พวกเขาสะดุดพบเจอ

Two travelers were walking together on a long and dusty road. Along the way, they came across a purse lying on the ground. Curious, they picked it up and discovered that it was filled with gold coins. Excitement washed over them as they realized the fortune they had stumbled upon.

ขณะที่พวกเขาตรวจสอบกระเป๋าสตางค์ เกิดความขัดแย้งระหว่างสองนักเดินทาง แต่ละคนอ้างว่ากระเป๋าเงินเป็นของพวกเขาและยืนกรานที่จะเก็บไว้เพื่อตัวเอง และไม่สามารถหาข้อยุติได้ พวกเขาตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากผู้พิพากษาที่ฉลาดและเป็นกลาง

As they examined the purse, a disagreement arose between the travelers. Each one claimed that the purse belonged to them and insisted on keeping it for themselves. Unable to reach a resolution, they decided to seek the help of a wise and impartial judge.

นักเดินทางได้พบกับชายชราผู้ชาญฉลาดซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความยุติธรรม พวกเขายื่นเรื่องของพวกเขาให้เขาฟัง โดยอธิบายถึงข้อเรียกร้องที่แตกต่างกันในกระเป๋าเงิน ชายชราฟังอย่างตั้งใจและไตร่ตรองคำพูดของพวกเขา

The travelers came across a wise old man who was known for his fair judgment. They presented their case to him, explaining their differing claims to the purse. The old man listened attentively and pondered their words.

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายชราผู้ชาญฉลาดก็ยิ้มและพูดว่า “นักเดินทางที่รัก ดูเหมือนว่ากระเป๋าใบนี้ไม่ได้เป็นของคุณทั้งคู่ คุณบังเอิญพบมันโดยบังเอิญ และเจ้าของที่แท้จริงของมันอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างหน้านี้ ถนน แทนที่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิง ทำไมไม่ใช้มันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่ต้องการตลอดการเดินทางของคุณ”

After a moment of reflection, the wise old man smiled and said, “My dear travelers, it seems that this purse does not belong to either of you. You have found it by chance, and its true owner may be somewhere ahead on this very road. Instead of fighting over its contents, why not use it to help others in need along your journey?”

นักเดินทางต่างตกตะลึงกับสติปัญญาของชายชรา พวกเขาตระหนักว่าการทะเลาะกันเรื่องกระเป๋าเงินเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวและพวกเขาสามารถใช้มันเพื่อจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าได้ พวกเขาตกลงตามคำแนะนำของชายชราและตัดสินใจใช้เหรียญทองเพื่อช่วยเหลือผู้ที่โชคไม่ดีที่พวกเขาพบเจอ

The travelers were taken aback by the old man’s wisdom. They realized that their quarrel over the purse was selfish and that they could use it for a greater purpose. They agreed to the old man’s suggestion and decided to use the gold coins to assist those they encountered who were less fortunate.

ขณะที่พวกเขาเดินทางต่อไป พวกเขามีความสุขจากการให้และเห็นความขอบคุณ และความสุขที่มอบให้ผู้อื่น พวกเขาเรียนรู้ว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การครอบครอง แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตของผู้อื่น

As they continued their journey, they experienced the joy of giving and witnessed the gratitude and happiness it brought to others. They learned that true wealth lies not in possession, but in the ability to make a positive impact on the lives of others.

นิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับกระเป๋าสตางค์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในการครอบครอง แต่อยู่ในความสามารถในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตของผู้อื่น ผ่านการเสียสละและความเอื้ออาทร”

และนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ

  • การครอบครองสิ่งต่างๆ ไม่ควรเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง และความเห็นแก่ตัว
  • การแบ่งปันและความเอื้ออาทรนำมาซึ่งความสมหวังและความสุขมากกว่าการกักตุนทรัพย์สินเงินทอง
  • การช่วยเหลือผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นความพยายามอันสูงส่งและคุ้มค่า
  • ความมั่งคั่งที่แท้จริงวัดได้จากผลกระทบเชิงบวกที่เราสร้างในชีวิตของผู้อื่น

“True wealth is not in possession but in the ability to make a positive impact on the lives of others through selflessness and generosity.”

The story teaches us several important lessons:

  • Possessions should not be a cause of conflict and selfishness.
  • Sharing and generosity can bring greater fulfillment and happiness than hoarding wealth.
  • Helping others in need is a noble and rewarding endeavor.
  • True wealth is measured by the positive impact we make in the lives of others.

สรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สนับสนุนให้เราให้ความสำคัญกับความเห็นอกเห็นใจ การไม่เห็นแก่ตัว และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่นมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว มันเตือนเราถึงความสุขและความสมหวังที่พบได้จากการแบ่งปันทรัพยากรของเราและใช้มันเพื่อสร้างความแตกต่างในเชิงบวกในโลกรอบตัวเรา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “หนูเมืองและหนูชนบท” ไทย-Eng

“หนูเมืองและหนูชนบท” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราเกี่ยวกับความสุขของชีวิตที่มันเรียบง่าย กว่าที่เราคิด และการมีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยอาจไม่ใช่ความสุขจริงๆ เสมอไป

นิทานอีสปเรื่องหนูเมืองและหนูชนบท

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หนูเมืองและหนูบ้านนอกเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หนูเมืองได้เชิญหนูชนบทให้ไปเยี่ยมมันในเมืองที่พลุกพล่าน โดยสัญญาว่าจะมีชีวิตที่หรูหราและอุดมสมบูรณ์ ด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับชีวิตในเมือง หนูชนบทตกลงและไปกับเพื่อนของเขา

Once upon a time, a town mouse and a country mouse were good friends. The town mouse invited the country mouse to visit him in the bustling city, promising him a life of luxury and abundance. Curious about the city life, the country mouse agreed and went with his friend.

เมื่อมาถึงเมือง หนูชนบทรู้สึกทึ่งกับอาหารรสเลิศ สภาพแวดล้อมที่หรูหรา และอาหารที่ดูเหมือนมีกินไม่มีที่หมด พวกมันได้ลิ้มลองชีสเข้มข้น ขนมอบแสนอร่อย และอาหารรสเลิศต่างๆ อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้างานเลี้ยงของพวกมันก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงดังของเกวียนที่ผ่านไปมา และความเร่งรีบและวุ่นวายของชีวิตในเมือง

Upon arriving in the town, the country mouse was amazed by the fine dining, luxurious surroundings, and seemingly endless supply of food. They feasted on rich cheeses, delicious pastries, and various delicacies. However, their feast was soon interrupted by the loud noise of passing carts and the hustle and bustle of city life.

หนูชนบทรู้สึกหวาดกลัวและตื้นตันใจ จึงสารภาพกับหนูเมืองว่าเขาคิดถึงความสงบและเรียบง่ายของบ้านเกิดในชนบท หนูในเมืองเมื่อรู้ว่าเพื่อนไม่สบายใจ จึงแนะนำให้กันให้ทั้งสองกลับไปที่ชนบท

Frightened and overwhelmed, the country mouse confessed to the town mouse that he missed the peace and simplicity of his country home. The town mouse, realizing his friend’s discomfort, suggested that they return to the countryside.

กลับมาที่ชนบท หนูทั้งสองมีความสุขกับอาหารง่ายๆ ที่มีธัญพืช ผักสด และบรรยากาศที่เงียบสงบ แม้ว่าอาหารจะพอประมาณ แต่หนูบ้านนอกก็ชื่นชมความเงียบสงบและความปลอดภัยที่บ้านของมัน

Back in the country, the two mice enjoyed a simple meal of grains, fresh vegetables, and a peaceful atmosphere. Although the food was modest, the country mouse appreciated the tranquility and safety that his home provided.

นิทานอีสปเรื่องหนูเมืองและหนูบ้านนอก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ชีวิตที่เรียบง่ายด้วยความสงบและความปลอดภัย มักจะดีกว่าชีวิตที่หรูหราซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายและความไม่สบายใจ”

นิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ:

  • แต่ละคนมีความชอบ และขอบเขตความสะดวกสบายที่แตกต่างกัน
  • ความมั่งคั่งทางวัตถุ และความอุดมสมบูรณ์ไม่ได้รับประกันความสุข หรือความพึงพอใจเสมอไป
  • ความเรียบง่าย ความสงบ และความปลอดภัยมีค่ามากกว่าความหรูหราฟุ่มเฟือย
  • สิ่งสำคัญคือการชื่นชม และรู้สึกขอบคุณสำหรับสิ่งที่เรามีในชีวิตของเราเอง

“A simple life with peace and security is often preferable to a life of luxury filled with danger and discomfort.”

The story teaches us several important lessons:

  • Different individuals have different preferences and comfort zones.
  • Material wealth and abundance do not always guarantee happiness or contentment.
  • Simplicity, peace, and safety can be more valuable than luxury and extravagance.
  • It’s important to appreciate and be grateful for the things we have in our own lives.

สรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนใจเราให้เห็นคุณค่าและชื่นชมสถานการณ์ของตนเอง โดยตระหนักว่าสิ่งที่ดูน่าดึงดูดจากระยะไกลอาจไม่จำเป็นต้องนำความสุขที่แท้จริงมาให้เราเสมอไป กระตุ้นให้เราพบความพอใจและความสุขในความเรียบง่ายและความคุ้นเคยในชีวิตของเราเอง แทนที่จะแสวงหาสิ่งหรูหราฟุ่มเฟือยหรือหรูหราอยู่ตลอดเวลา

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “นกยูงกับนกกระเรียน” ไทย-Eng

“นกยูงกับนกกระเรียน” เป็นนิทานอีสปที่เตือนใจเราเกี่ยวกับความเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี และให้บทเรียนเกี่ยวกับความถ่อมตน ความมีน้ำใจ การเห็นคุณค่าของผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องนกยูงกับนกกระเรียน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกยูงผู้เย่อหยิ่งและสวยงามอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มันเป็นที่รู้จักจากขนนกที่สวยงามมีชีวิตชีวา และน่าหลงใหล ซึ่งมันแสดงให้ทุกคนที่ชื่นชมมันภูมิใจ อยู่มาวันหนึ่งนกกระเรียนที่เรียบง่าย เข้ามาหานกยูงที่สง่างาม

Once upon a time, a proud and beautiful peacock lived in a forest. He was known for his vibrant and mesmerizing feathers, which he would proudly display to anyone who admired him. One day, a simple and graceful crane approached the peacock.

นกกระเรียนประทับใจในรูปลักษณ์ที่สวยงามของนกยูง จึงแสดงความชื่นชม มันพูดว่า “โอ้ นกยูงผู้ยิ่งใหญ่ ขนของคุณช่างน่าทึ่งจริงๆ ฉันหวังว่าฉันจะมีขนนกที่สวยงามเช่นนี้” นกยูงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง มองลงไปที่นกกระเรียนและตอบว่า “ขนของข้าช่างน่าชมเสียจริง น่าเสียดายที่เจ้าไม่สง่างามเหมือนข้า”

The crane, impressed by the peacock’s stunning appearance, expressed him admiration. He said, “Oh, mighty peacock, your feathers are truly remarkable. I wish I had such splendid plumage.” The peacock, filled with arrogance, looked down upon the crane and replied, “Indeed, my feathers are a sight to behold. It’s a shame you are not as majestic as I am.”

นกกระเรียนรู้สึกเจ็บใจกับคำตอบของนกยูงแต่ก็ยังใจเย็นอยู่ มันกล่าวว่า “แม้ฉันอาจไม่มีขนนกหลากสีสันเหมือนคุณ แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณสำหรับคุณสมบัติพิเศษของตัวเอง ฉันสามารถบินได้สูงบนท้องฟ้าและเดินลุยน้ำอย่างสง่างามด้วยขายาวของฉัน เราต่างมีความงามและจุดแข็งของตัวเอง ”

The crane felt hurt by the peacock’s response but remained composed. He said, “While I may not have colorful feathers like you, I am grateful for my own unique qualities. I can fly high in the sky and gracefully wade through the water with my long legs. We each have our own beauty and strengths.”

เมื่อเวลาผ่านไป ความแห้งแล้งได้เข้ามาปกคลุมผืนป่า ทำให้พืชพันธุ์ที่เคยอุดมสมบูรณ์เหี่ยวเฉา นกยูงซึ่งมีขนยาวมากพยายามดิ้นรนหาอาหารและน้ำ นกกระเรียนที่มีจงอยปากเรียวยาวและขายาวสามารถหาอาหารเลี้ยงชีพได้ในบ่อน้ำตื้นและหนองน้ำ

As time went on, a drought hit the forest, causing the once lush and abundant vegetation to wither away. The peacock, with his grand feathers, struggled to find food and water. The crane, with he slender beak and long legs, was able to find sustenance in the shallow ponds and marshes.

เมื่อตระหนักถึงสถานการณ์ของมัน นกยูงจึงเข้าหานกกระเรียนอย่างนอบน้อม และขอความช่วยเหลือจากนกกระเรียน มันให้อาหารและน้ำแก่เขาอย่างสุภาพ นกยูงจึงได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับความอ่อนน้อมถ่อมตน และความสำคัญของการเห็นคุณค่าของผู้อื่น

Realizing his predicament, the peacock humbly approached the crane and asked for him help. He graciously offered him food and water, and the peacock learned a valuable lesson about humility and the importance of recognizing the worth in others.

นิทานอีสปเรื่องนกยูงกับนกกระเรียน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความงามที่แท้จริงไม่เพียงแต่อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุปนิสัยและความสามารถด้วย และสิ่งสำคัญคือต้องชื่นชมและเคารพคุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้อื่น”

และนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ

  • ความเย่อหยิ่งและความจองหองทำให้เรามองไม่เห็นความงามและคุณค่าของผู้อื่น
  • แต่ละคนมีคุณสมบัติและจุดแข็งเฉพาะตัวที่ควรค่าแก่การชื่นชม
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนช่วยให้เราเรียนรู้จากผู้อื่นและขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
  • ความงามภายนอกไม่ใช่ตัวชี้วัดคุณค่าหรือความสุขของคนๆ เดียว

“True beauty lies not only in appearance but also in one’s character and abilities, and it’s essential to appreciate and respect the unique qualities of others.”

The story teaches us several important lessons:

  • Arrogance and pride can blind us to the beauty and worth of others.
  • Each individual possesses unique qualities and strengths that should be appreciated.
  • Humility allows us to learn from others and seek help when needed.
  • External beauty is not the sole measure of one’s worth or happiness.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนใจเราให้ยอมรับความอ่อนน้อมถ่อมตน ชื่นชมคุณสมบัติที่หลากหลายในตัวเราและผู้อื่น และตระหนักว่าความงามที่แท้จริงนั้นนอกเหนือไปจากรูปลักษณ์ภายนอก สอนให้เราเห็นคุณค่าของคุณสมบัติภายในและปลูกฝังความรู้สึกชื่นชมและเคารพในคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละคน

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ชายชรากับความตาย” ไทย-Eng

“ชายชรากับความตาย” เป็นนิทานที่สอนให้รู้จักคุณค่าของชีวิต คุณค่าของเวลา และการอยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราควรจะเรียนรู้ก่อนสายเกินไป

นิทานอีสปเรื่องชายชรากับความตาย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายชราคนหนึ่งทำงานหนักมาทั้งชีวิตและพร้อมที่จะเกษียณ เขาปรารถนาการพักผ่อนอย่างสงบสุขและสมควรได้รับ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังเตรียมที่จะสนุกกับปีทองของเขา เขาก็ได้เผชิญหน้ากับความตาย

Once upon a time, an old man had worked hard his entire life and was ready to retire. He longed for a peaceful and well-deserved rest. However, as he was preparing to enjoy his golden years, he came face to face with Death.

ชายชราตกใจกลัวและวิงวอนต่อความตายโดยขอเวลามีชีวิตอยู่ต่อไป เขายอมสละทรัพย์สมบัติส่วนตัว และแม้กระทั่งทรัพย์สมบัติของครอบครัว เพื่อแลกกับอายุขัยอีกสองสามปี ความตายซึ่งสะเทือนใจจากความสิ้นหวังของชายชรา จึงตัดสินใจทำตามคำขอของเขา

The old man was frightened and pleaded with Death, asking for more time to live. He offered all his wealth, possessions, and even his family’s wealth in exchange for a few more years of life. Death, moved by the old man’s desperation, decided to grant his request.

ขณะที่ชายชราใช้ชีวิตต่อไป เขาตระหนักว่าปีที่เพิ่มขึ้นมานั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความสุข และความพึงพอใจ พวกเขากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความเศร้าโศก และความอ้างว้าง เขาเห็นคนที่เขารักเสียชีวิต ทรัพย์สมบัติของเขาร่อยหรอ และสุขภาพของเขาทรุดโทรมลง

As the old man continued his life, he realized that the additional years he had been given were not filled with joy and contentment. Instead, they were filled with pain, sorrow, and loneliness. He saw his loved ones pass away, his wealth dwindle, and his health deteriorate.

ชายชรารู้สึกถูกหลอกและถูกโกง เขาออกตามหาความตายอีกครั้งและถามว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เขาทนทุกข์ทรมานอีกหลายปี ความตายตอบว่า “ฉันทำตามคำขอของคุณ แต่จำไว้ ฉันไม่เคยสัญญาว่าจะมีความสุขหรือสมหวัง ฉันแค่ขยายเวลาของคุณบนโลก”

Feeling deceived and cheated, the old man sought out Death once again and asked why he had given him more years only to suffer. Death responded, “I granted your request, but remember, I never promised you happiness or fulfillment. I simply extended your time on Earth.”

ชายชราตระหนักว่าเขาโง่เขลาที่วิ่งไล่ตามเวลาโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของเวลานั้น เขาได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่าว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่ปริมาณ แต่เป็นคุณภาพชีวิตต่างหากที่สำคัญ

The old man realized that he had been foolish to chase after more time without considering the quality of that time. He learned the valuable lesson that it is not the quantity but the quality of life that truly matters.

นิทานอีสปเรื่องชายแก่กับความตาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“คุณภาพชีวิตมีความสำคัญมากกว่าปริมาณของปี และสิ่งสำคัญคือการใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด”

นิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ

  • การแสวงหาเวลาหรือทรัพย์สินทางวัตถุมากขึ้นไม่ได้รับประกันความสุขหรือความสมหวัง
  • สิ่งสำคัญคือต้องชื่นชมและใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด แทนที่จะโหยหาเพิ่มตลอดเวลา
  • คุณภาพชีวิตสำคัญกว่าอายุขัย
  • ความตายเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของชีวิต และมันเตือนใจให้เราเห็นคุณค่าและหวงแหนช่วงเวลาปัจจุบัน

“The quality of life is more important than the quantity of years, and it’s essential to make the most of the time we have.”

The story teaches us several important lessons:

  • The pursuit of more time or material possessions does not guarantee happiness or fulfillment.
  • It’s important to appreciate and make the most of the time we have, rather than constantly longing for more.
  • Quality of life is more significant than the length of life.
  • Death is a natural part of life, and it reminds us to value and cherish the present moment.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนใจให้เรามุ่งเน้นไปที่การใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและเติมเต็มมากกว่าถูกครอบงำด้วยความกลัวความตาย หรือการแสวงหาอะไรเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้จักพอ มันเป็นการสอนให้เราชื่นชมเวลาที่เรามีและใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยปลูกฝังความสุข ความรัก และจุดประสงค์

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “หนูกับพังพอน” ไทย-Eng

“หนูกับพังพอน” นิทานอีสปที่เตือนใจเราเกี่ยวกับการวางแผน ให้คิดรอบคอบก่อนลงมือทำเสมอ และการรู้จักและใช้สัญชาตญาณของเราให้เป็นประโยชน์

นิทานอีสปเรื่องหนูกับพังพอน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหนูกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยความกลัวพังพอน โดยพังพอนนั้นเป็นสัตว์นักล่าที่ดุร้ายและมักจะล่าหนูเป็นอาหาร ด้วยความสิ้นหวัง เหล่าหนูตัดสินใจจัดการประชุมเพื่อหารือว่าพวกมันจะป้องกันตัวเองจากพังพอนได้อย่างไร

Once upon a time, a group of mice lived in fear of the weasels. The weasels were fierce predators and would often hunt the mice for food. The mice, in their desperation, decided to hold a meeting to discuss how they could defend themselves against the weasels.

ในระหว่างการประชุม หนูผู้กล้าหาญคนหนึ่งเสนอว่าพวกมันควรติดกระดิ่งไว้ที่คอของพังพอนแต่ละตัว เสียงกระดิ่งจะเตือนหนูเมื่อใดก็ตามที่พังพอนเข้ามาใกล้ ทำให้พวกมันมีเวลามากพอที่จะซ่อนตัวและหลบหนี

During the meeting, one brave mouse suggested that they should put a bell around the neck of each weasel. The sound of the bells would alert the mice whenever the weasels were approaching, giving them enough time to hide and escape.

แผนนี้ดูเหมือนจะดี และพวกหนูก็ดีใจ พวกมันเชื่อว่าพวกมันพบวิธีแก้ปัญหาที่สมบูรณ์แบบแล้ว อย่างไรก็ตาม หนูที่แก่กว่าและฉลาดกว่าเตือนไม่ให้ตื่นเต้น และเตือนพวกมันถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

The plan seemed foolproof, and the mice rejoiced. They believed they had found the perfect solution to their problem. However, an older and wiser mouse cautioned against their excitement and warned them of the potential dangers.

หนุแก่อธิบายว่าแม้ว่าความคิดจะดูฉลาด แต่ก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน ถ้าพวกมันสามารถเอากระดิ่งไปใส่พังพอนตัวหนึ่งได้ พังพอนตัวอื่นๆ ก็จะรับรู้ถึงมัน จากนั้นพวกมันจะระมัดระวังมากขึ้น และล่าหนูอย่างลับๆ ล่อๆ ทำให้หนูหลบหนีได้ยากขึ้น

He explained that while the idea seemed clever, it also had its flaws. If they managed to put a bell on one weasel, the other weasels would become aware of it. They would then become more cautious and hunt the mice more stealthily, making it even harder for the mice to escape.

หนูแก่บอกให้หนูหาวิธีอื่น มันเตือนพวกเขาว่าความสามัคคี ความระมัดระวัง และการซ่อนตัวคือการป้องกันที่ดีที่สุดจากพังพอน โดยอาศัยความสามารถตามธรรมชาติ และการทำงานร่วมกัน พวกมันสามารถเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดได้

The wise mouse urged the mice to find a different approach. He reminded them that unity, caution, and staying hidden were their best defenses against the weasels. By relying on their natural abilities and working together, they could increase their chances of survival.

นิทานอีสปเรื่องหนูกับพังพอน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“บางครั้งวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดและเป็นธรรมชาติที่สุดก็มีประสิทธิภาพมากที่สุด และจำเป็นต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาที่อาจเกิดขึ้นจากแผนที่ซับซ้อน”

และนิทานเรื่องนี้ยังสอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ

  • บางครั้งวิธีแก้ปัญหาที่ดูเหมือนง่ายและรวดเร็วอาจส่งผลที่คาดไม่ถึง
  • สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและข้อเสียของแผนใดๆ ก่อนดำเนินการ
  • ความสามัคคีและความร่วมมือสามารถเผชิญกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการพึ่งพามาตรการภายนอก
  • สิ่งสำคัญคือต้องใช้ความสามารถตามธรรมชาติและสัญชาตญาณอย่างชาญฉลาดเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก

“Sometimes, the simplest and most natural solutions are the most effective, and it’s essential to consider the potential consequences of complicated plans.”

The story teaches us several important lessons:

  • Sometimes, what seems like a quick and easy solution may have unforeseen consequences.
  • It’s essential to consider the potential risks and drawbacks of any plan before implementing it.
  • Unity and cooperation can be more effective in facing challenges than relying on external measures.
  • It’s important to use our natural abilities and instincts wisely to navigate difficult situations.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้สอนเราถึงความสำคัญของการคิดเชิงวิพากษ์ การวางแผนอย่างรอบคอบ และการพึ่งพาความแข็งแกร่งและความสามัคคีของเราเองเพื่อเอาชนะความท้าทาย

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “ราชสีห์มีความรัก” ไทย-Eng

“ราชสีห์มีความรัก” เป็นนิทานอีสปที่เตือนใจเกี่ยวกับความรักเป็นอย่างดี การรู้จักความรัก และพลังของความรักทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ที่สอนใจเราให้ตระหนักถึงมัน

นิทานอีสปเรื่องราชสีห์มีความรัก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ตกหลุมรักหญิงสาวสวยคนหนึ่ง และตัดสินใจที่จะเปิดเผยความรู้สึกของมันกับเธอ มันปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ในตอนแรกเธอรู้สึกหวาดกลัว แต่สิงโตยืนยันว่ามันไม่ได้ทำร้ายเธอ และมันรักเธอ

Once upon a time, a mighty lion fell in love with a beautiful woman and decided to reveal his feelings to her. He disguised himself as a man and approached the woman. She was frightened at first, but the lion assured her that he meant her no harm and that he loved her.

ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกปลื้มใจ แต่ปฏิเสธงสิงโตไป โดยบอกว่าเธอหลงรักผู้ชายคนหนึ่งแล้ว สิงโตเสียใจมากแต่ตัดสินใจรอเธอเปลี่ยนใจ

The woman was flattered but refused the lion’s advances, saying that she was already in love with a man. The lion was heartbroken but decided to wait for her to change her mind.

วันหนึ่ง ราชสีห์เห็นหญิงนั้นเดินอยู่ในป่ากับคนรัก ราชสีห์โกรธแค้นจึงเข้าโจมตีชายคนนั้นและทำร้ายเขา ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกว้าวุ่นใจและขอร้องให้สิงโตไว้ชีวิตเธอ สิงโตไว้ชีวิตเธอ แต่รู้ตัวก็สายไปเสียแล้วที่ความหึงหวงทำให้เขาต้องกระทำการอันเลวร้าย

One day, the lion saw the woman walking in the forest with her lover. Enraged by jealousy, the lion attacked the man, hurting him. The woman was distraught and begged the lion to spare her life. The lion spared her but realized too late that his jealousy had caused him to commit a terrible act.

นิทานอีสปเรื่องสิงโตมีความรัก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความอิจฉาริษยาสามารถนำไปสู่การกระทำที่ทำลายล้างและน่าเสียใจ ซึ่งมักจะทำร้ายคนที่เราห่วงใย”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความอิจฉาริษยาและความเป็นเจ้าของสามารถนำไปสู่พฤติกรรมทำลายล้างได้ นอกจากนี้ยังแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ควรพยายามเป็นคนที่เราไม่ใช่ และการเคารพตัวเลือกของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ

  • ความหึงหวงและความเป็นเจ้าของสามารถนำไปสู่พฤติกรรมทำลายล้างได้
  • สิ่งสำคัญคือต้องเคารพตัวเลือกของผู้อื่น แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับพวกเขาก็ตาม
  • เราควรซื่อสัตย์ต่อตัวเองและไม่พยายามเป็นคนที่เราไม่ใช่
  • ความรักอาจทำให้เราทำสิ่งที่ไร้เหตุผลได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีสติและไม่ปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำเรา

“Jealousy can lead to destructive and regrettable actions, often hurting the very people we care about.”

The story teaches us that jealousy and possessiveness can lead to destructive behavior. It also shows us that we should not try to be someone we are not, and that it is important to respect the choices of others.

  • Jealousy and possessiveness can lead to destructive behavior.
  • It’s important to respect the choices of others, even if we disagree with them.
  • We should be true to ourselves and not try to be someone we are not.
  • Love can make us do irrational things, but it’s important to keep a clear head and not let our emotions get the best of us.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเตือนใจเกี่ยวกับอันตรายของความหึงหวงและความเป็นเจ้าของ สอนให้เราเคารพการเลือกของผู้อื่นและซื่อสัตย์ต่อตนเอง แม้ในเรื่องของหัวใจ

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children

นิทานอีสป เรื่อง “สุนัขจิ้งจอกกับนกกระสา” ไทย-Eng

“สุนัขจิ้งจอกกับนกกระสา” เป็นนิทานคลาสสิกที่สอนบทเรียนสำคัญของการปฏิบัติต่อผู้อื่นตามที่เราต้องการ ต้องการให้คนอื่นปฏิบัติกับเราแบบไหนเราต้องปฏิบัติแบบนั้นก่อน

นิทานอีสปเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับนกกระสา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชวนนกกระสามาทานอาหารเย็น แต่เมื่อนกกระสามาถึงก็พบว่าสุนัขจิ้งจอกเสิร์ฟซุปในจานแบนที่นกกระสาไม่สามารถดื่มได้ ในทางกลับกัน สุนัขจิ้งจอกไม่มีปัญหาในการซดซุปเลย

Once upon a time, a sly fox invited a stork over for dinner. But when the stork arrived, he found that the fox had served soup in a flat dish that the stork couldn’t drink from. The fox, on the other hand, had no trouble at all lapping up the soup.

นกกระสาทั้งหิวและผิดหวัง แต่มันไม่พูดอะไรอีกและเพียงชวนสุนัขจิ้งจอกไปทานอาหารเย็นในสัปดาห์ต่อมา เมื่อสุนัขจิ้งจอกมาถึง เขาพบว่านกกระสาเสิร์ฟซุปในเหยือกสูงแคบที่มีคอยาว ซึ่งนกกระสาสามารถดื่มได้อย่างง่ายดาย แต่สุนัขจิ้งจอกไม่สามารถดื่มน้ำได้เลย

The stork was hungry and disappointed, but he said nothing and simply invited the fox to dinner the following week. When the fox arrived, he found that the stork had served soup in a tall, narrow jar with a long neck, which the stork could easily drink from. But the fox couldn’t drink from it at all.

สุนัขจิ้งจอกรู้ตัวว่าเขาถูกหลอก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาปฏิบัติต่อนกกระสาอย่างไม่ยุติธรรม ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาพยายามปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่เขาปรารถนาให้ปฏิบัติต่อตนเอง

The fox realized that he had been tricked, but he had to admit that he had treated the stork unfairly. From that day on, he made an effort to treat others as he wished to be treated himself.

นิทานอีสปเรื่องหมาจิ้งจอกกับนกกระสา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ปฏิบัติต่อผู้อื่นตามที่คุณต้องการให้ปฏิบัติ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้จักเกรงใจและยุติธรรมในการติดต่อกับผู้อื่น มันเตือนเราว่าวิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอาจมีผลตามมา และการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไม่ยุติธรรมอาจนำไปสู่ผลเสียต่อตัวเราเอง

  • ปฏิบัติต่อผู้อื่นตามที่คุณต้องการได้รับการปฏิบัติ
  • การมีความยุติธรรมและคำนึงถึงผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ
  • วิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอาจส่งผลต่อตัวเราเอง
  • การหลอกลวงหรือหลอกลวงผู้อื่นไม่ใช่พฤติกรรมที่ยอมรับได้

“treat others as you would like to be treated.”

The story teaches us to be considerate and fair in our dealings with others. It reminds us that the way we treat others can have consequences, and that treating others unfairly can lead to negative consequences for ourselves.

  • Treat others as you wish to be treated.
  • Being fair and considerate in our dealings with others is important.
  • The way we treat others can have consequences for ourselves.
  • Tricking or deceiving others is not an acceptable way to behave.

โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวอมตะที่เตือนใจเราถึงความสำคัญของการปฏิบัติต่อผู้อื่นตามที่เราต้องการได้รับการปฏิบัติ มันสอนให้เรามีน้ำใจและยุติธรรมในการติดต่อกับผู้อื่นและหลีกเลี่ยงการหลอกลวงหรือหลอกลวงผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่นๆ

The Æsop for Children