“หมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ” เป็นนิทานอีสปที่สอนเราว่าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ เราไม่มีทางเจตนาที่แท้จริงของใครก็ตาม และการช่วยเหลือต้องช่วยเหลือให้ถูกคน ถูกที่จริงๆ
นิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ
ในชนบทอันเงียบสงบ คนเลี้ยงแกะคนหนึ่งดูแลฝูงแกะของเขาอย่างขยันขันแข็ง เขาเป็นที่รู้จักจากสายตาที่ระแวดระวัง และความมุ่งมั่นที่จะดูแลแกะให้ปลอดภัยจากอันตรายใดๆ อยู่มาวันหนึ่ง หมาป่าผู้หิวโหยซึ่งถูกไล่ต้อนด้วยความหิวโหย เดินเข้ามาหาฝูงสัตว์ มองหาโอกาสที่จะได้อาหารง่ายๆ
In a peaceful countryside, a shepherd diligently tended to his flock of sheep. He was known for his watchful eye and his commitment to keeping the sheep safe from any harm. One day, a hungry wolf, driven by hunger, approached the flock, eyeing the opportunity for an easy meal.
เมื่อหมาป่าคืบคลานเข้ามาใกล้ เขาสังเกตเห็นคนเลี้ยงแกะที่ตื่นตัว และใส่ยืนเฝ้าอยู่ หมาป่าคิดแผนการอันชาญฉลาดที่จะหลอกคนเลี้ยงแกะ และจับแกะเพื่อไม่มีใครสังเกตเห็น
As the wolf crept closer, he noticed the alert and attentive shepherd standing guard. The wolf thought of a clever plan to deceive the shepherd and catch a sheep unnoticed.
เมื่อเข้าใกล้คนเลี้ยงแกะ หมาป่าแสดงสีหน้าน่าสงสารและอ้อนวอน เขาพูดว่า “ท่านผู้เลี้ยงแกะ ข้ากำลังหิวโหยและอ่อนแอ ขเ่ขอร้อง ได้โปรดให้อาหารจากฝูงแกะส่วนหนึ่งของท่านให้กับข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายแกะของคุณสักตัว”
Approaching the shepherd, the wolf put on a pitiful and pleading expression. He said, “Dear shepherd, I am famished and weak. I beg you, please give me some food from your flock. I promise I won’t harm any of your sheep.”
คนเลี้ยงแกะมีจิตใจเมตตา เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ทรมานของหมาป่า เขาคิดกับตัวเองว่า “บางทีสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารนี้อาจต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง”
The shepherd, with a kind heart, felt sympathy for the wolf’s apparent suffering. He thought to himself, “Perhaps this poor creature is genuinely in need of help.”
คนเลี้ยงแกะตกลงที่จะแบ่งปันอาหารกับหมาป่าด้วยความสงสาร เขาเลือกแกะจากฝูงอย่างระมัดระวังและมอบให้หมาป่า โดยเชื่อว่ามันกำลังช่วยเหลือวิญญาณที่สิ้นหวัง
Moved by compassion, the shepherd agreed to share some food with the wolf. He carefully selected a sheep from his flock and handed it to the wolf, believing that he was aiding a desperate soul.
ทันทีที่หมาป่ารับแกะไป ธรรมชาติที่แท้จริงของมันก็ปรากฏขึ้น เขากระโจนเข้าใส่สัตว์ที่ไม่มีที่พึ่งและกินมันอย่างตะกละตะกลาม คนเลี้ยงแกะเฝ้าดูด้วยความตกตะลึง และไม่เชื่อเมื่อหมาป่าเปิดเผยเจตนาที่แท้จริงของมันออกมา
As soon as the wolf received the sheep, his true nature emerged. He pounced on the defenseless animal, devouring it greedily. The shepherd watched in shock and disbelief as the wolf revealed his true intentions.
คนเลี้ยงแกะตระหนักว่าเขาถูกหลอกโดยหมาป่าเจ้าเล่ห์และชักใย เขาเสียใจในความไร้เดียงสาของเขาและสาบานว่าจะระมัดระวังมากขึ้นในอนาคต
The shepherd realized that he had been deceived by the cunning and manipulative wolf. He regretted his naivety and vowed to be more cautious in the future.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ควรใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณเมื่อต้องเผชิญกับรูปลักษณ์ที่หลอกลวง เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่ขอความช่วยเหลือจะมีเจตนาดี”
และนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ
- ไม่ใช่ทุกคนที่ดูเหมือนหมดหนทางหรือต้องการความช่วยเหลือที่สมควรได้รับความไว้วางใจและความช่วยเหลือจากเรา
- สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังและระมัดระวังในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- รูปร่างหน้าตาสามารถหลอกลวงได้ และเราไม่ควรให้ความสงสารมาบดบังการตัดสินของเรา
- ความไว้วางใจต้องได้รับจากการกระทำที่สม่ำเสมอและความตั้งใจจริง
“One should exercise caution and discernment when faced with deceptive appearances, as not everyone who seeks help has good intentions.”
The story teaches us several important lessons:
- Not everyone who appears helpless or in need is deserving of our trust and assistance.
- It is important to be discerning and cautious in our interactions with others.
- Appearances can be deceiving, and we should not let our compassion cloud our judgment.
- Trust must be earned through consistent actions and genuine intentions.
เป็นเครื่องเตือนใจให้ใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณในความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ของเรา เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการระมัดระวังผู้ที่อาจใช้ประโยชน์จากความเมตตาและความไว้วางใจของเรา เรื่องราวนี้กระตุ้นให้เราสร้างความสมดุลระหว่างความเห็นอกเห็นใจกับความฉลาดหลักแหลม เพื่อให้มั่นใจว่าเราให้ความช่วยเหลือและความไว้วางใจแก่ผู้ที่สมควรได้รับอย่างแท้จริง