สุภาษิตคำพังเพยกัดก้อนเกลือกิน ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กัดก้อนเกลือกิน

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกัดก้อนเกลือกิน

ที่มาของสำนวน การเปรียบเปรยการกินเกลือถึงคนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น แสนลำบาก ยากจนข้นแค้น ถึงขนาดต้องกัดก้อนเกลือกินกับข้าว แทนกับข้าว คนที่ไม่มีเงินทอง เพียงพอที่จะซื้ออาหาร กินข้าวโรยเกลือแทนอาหาร เพื่อประทังชีวิต

สรุปความหมายของสำนวนคือ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ การใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น อดทุกข์ได้ยาก อดมื้อกินมื้อ ไม่มีความสุขสบาย

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกัดก้อนเกลือกิน

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกัดก้อนเกลือกิน

  • กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เราสองคนเคยลำบากกันมาก่อน อยู่แบบกัดก้อนเกลือกิน อดมื้อกินมื้อ แต่เพราะความรัก ความเข้าใจ ทำให้เรามีกำลังใจในการต่อสู้กับอุปสรรค์ต่างๆนาๆ
  • แม่พูดกับลูกสาวว่าถ้าลูกแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ ก็คงหนีไม่พ้นต้องกัดก้อนเกลือกิน ทำไมไม่แต่งงานกับคนที่รวยกว่านี้
  • สมัยนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่อยากจะมาลำบาก กัดก้อนเกลือกินอยู่กับคนจนๆอย่างผมหรอก
  • ต้องยอมรับเลยว่าผู้หญิง สมัยนี้ชอบผู้ชายรวย เพื่อนชีวิตที่ดี ปลอดภัย ใครจะอยากกัดก้อนเกลือกิน ไม่มีอีกแล้ว
  • ถ้ายังโหยหาความรัก แต่มีกินมีใช้ไม่เคยขาด ก็ไม่แปลกที่จะยอมกัดก้อนเกลือกินอยู่กันได้ เพราะรู้ว่ายังไงๆ ก็ไม่อดตาย แต่ถ้าใครยังอดมื้อกินมื้ออยู่ คงไม่มีใครอยากเอากระดูกอีกพวงมาแขวนคอหรอก ในโลกความเป็นจริง คนที่ขยัน มัธยัสถ์ รู้จักหา รู้จักเก็บ ฯลฯ คนอย่างนี้เค้าไม่ต้องกัดก้อนเกลือกินอยู่แล้ว แม้อาจจะไม่ได้รวยล้นฟ้า คู่ชีวิต ไม่ต้องหารวยก็ได้ แต่อย่างน้อย ต้องไม่ต่างกันเกินไป

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกลมเป็นลูกมะนาว ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กลมเป็นลูกมะนาว

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยกลมเป็นลูกมะนาว

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงเนื่องจากมะนาวมีผลกลมเกลี้ยง กลิ้งไปมาได้ง่าย จึงใช้เปรียบกับคนที่กะล่อนมากจนตามไม่ทัน พูดหรือทำอะไรที่ไปได้คล่องรอบตัว ที่เป็นการโกหก ตลบแตลง ปลิ้นปล้อน เหมือนลูกมะนาวที่กลิ้งได้เร็ว เวลากลิ้งบนพื้นตามจับยาก เพราะผลกลมเกลี้ยง

สรุปความของสำนวนหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ หลบหลีกไปได้ คล่องจนจับไม่ติด หรือคนที่หลบหลีกได้คล่อง ไหลไปเรื่อย (ใช้ในทางไม่ดี)

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกลมเป็นลูกมะนาว

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกลมเป็นลูกมะนาว

  • ถึงแม้ว่าสมชายจะมีหน้าที่การงานและฐานะตลอดจนหน้าตาดี แต่แม่ของสุดาก็ยังเป็นห่วงในพฤติกรรมของสมชายที่เข้ามาจีบลูกสาวของตน พร้อมกับเตือนสุดาอยู่เสมอว่าผู้ชายคนนี้กะล่อน กลมกลิ้งเป็นลูกมะนาว ไม่จริงใจ ถึงแม้ว่าลูกจะฉลาดแต่ก็คงจะตามเขาไม่ทันแน่นอน
  • เธออย่าไปให้ความสนิทสนมกับคนอย่างปิติมาก คนกะล่อน เจ้าชู้ กลมเป็นลูกมะนาวแบบนั้น ระวังจะถูกหลอกเอาง่ายๆ แล้วจะมาเสียใจทีหลังนะ
  • ก่อนจะคบกับใครให้ดูนิสัยใจคอให้ดีๆ บางคนทำตัวกลมเป็นลูกมะนาว ความคิดยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะทำให้เราเจ็บช้ำหัวใจเปล่าๆ โดยเอาความรักไปให้คนที่ไม่เห็นค่า จงเลือกให้ดี
  • ทำไมตัวกลมเป็นลูกมะนาวเชียวนะ อย่าพลาดให้ฉันจับได้แล้วกัน ไม่อย่างนั้นคุณเดือดร้อนแน่ วันนี้คุณอาจรอด วันหน้าไม่แน่
  • สังคมทุกวันนี้คนมากหน้าหลายตา บางคนเป็นคนดี บางคนก็ไวเหมือนกลมเป็นลูกมะนาว โกหกไปเรื่อย แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ เลยได้ใจกันใหญ่

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

ความหมายสุภาษิตคำพังเพยกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

ที่มาของสำนวน ประโยคนี้มาจากเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา โดยความหมายคือกระเบื้องซึ่งมีน้ำหนักมาก ปรกติจะจมน้ำ กลับลอยน้ำได้ เปรียบเหมือนคนชั่วที่เฟื่องฟู คือได้ดี และเป็นแบบอย่างให้คนชั่วอื่นๆ ทำชั่วตาม ส่วนลูกน้ำเต้าแห้งซึ่งปรกติลอยน้ำได้ กลับจมน้ำลงไป เปรียบได้กับคนดีที่กลับตกต่ำ นอกจากไม่เป็นที่สนใจของสังคมแล้ว ยังถูกคนชั่วรังแกเอา

สรุปความของสำนวนหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ยุคที่มีความวิปริตผิดปกติ คนชั่วจะได้ดี เป็นใหญ่ เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสังคม แต่คนดีกลับตกต่ำลง ถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้ายป้ายสีแต่ทำอะไรไม่ได้

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

  • ปัจจุบันคนชั่ว คนทำผิดกฏหมายเต็มไปหมด คนมีอำนาจก็ใช้ในทางที่ผิด แต่ตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรได้ หรือว่าเราจะเข้าสู่ยุดกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจมแล้วจริงๆ
  • ช่วงปีหลังๆนี้ประเทศไทยเปลี่ยนไปมากโดยส่วนใหญ่จะไปในทางไม่ดี เช่นข่าวฆ่ากัน ชิงทรัพย์ ทุจริต ฯลฯ จนมีวันหนึ่งพ่อได้พูดกับผมว่าสงสัยจะเป็นยุคของกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
  • “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน” คำพยากรณ์แต่โบราณนานมานี้ น่าจะบอกว่ายุคมืดจะมาถึง คือยุคที่คนดีจะถูกเหยียบย่ำ คนชั่วจะได้รับยกย่อง ซึ่งต้องเป็นผลของกรรม ที่ได้ทำกันมา ทั้งกรรมชั่ว และทั้งกรรมดี กรรมที่เอื้อมมือมาถึงแล้ว
  • คนที่เราคิดว่าเป็นผู้ดีในปัจจุบัน อาจจะเป็นแค่ขี้ครอกที่ครองอำนาจมายาวนานก็ได้ นี่แหละนักการเมือง กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
  • แม้ว่าบ้านเมืองเราเหมือนกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม เราทุกคนพึงหลีกให้พ้นการเป็นมือแห่งกรรมชั่ว ที่จะเหยียบย่ำคนดี และหลีกให้พ้นจากการเป็นมือแห่งกรรมดี ที่จะยกย่องคนชั่ว เพราะจะเป็นการร่วมสร้างบ้านเมืองของตนให้สิ้นความงดงาม ที่จะเกิดจากกำลังใจของคนดี ที่จะเกิดจากกำลังความสามารถของคนดี บ้าน เมืองจะเต็มไปด้วยความเลวร้ายที่เกิดจากกำลังใจของคนชั่ว ที่จะเกิดจากกำลังความสามารถของคนชั่ว พึงรอบคอบในการดูให้รู้จริง ว่าใครดี ใครชั่ว รอบคอบ ในการฟังเสียงบอกเล่า จึงจะช่วยประเทศชาติให้สวัสดีได้ และช่วยตนให้พ้นบาปได้

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกระต่ายแหย่เสือ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กระต่ายแหย่เสือ

ความหมายสุภาษิตคำพังเพยกระต่ายแหย่เสือ

ที่มาของสำนวน มาจากนิทานเรื่องกระต่ายแหย่เสือ โดยเรื่องมีอยู่ว่า มีเสือตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ กระต่ายตัวหนึ่งเดินผ่านมา เห็นเสือกำลังนอนหลับ อยู่นึกโกรธว่าเสือชอบจับกระต่ายกินนักจึงถอนต้นหญ้าเอามาแหย่จมูกเสือ เสือตกใจตื่นขึ้นเห็น กระต่าย จึงบอกว่า “ อย่าเล่นน่า” และเสือก็หลับต่อไป กระต่ายก็ถอนต้นหญ้าแหย่จมูกเสือ อีก เสือโกรธมากจึงบอกว่า“เหม่! เดี๋ยวข้าจับกินเสียหรอก กระต่ายเห็นเสือโกรธเช่นนั้นก็วิ่งหนี เสือก็ไล่ตามกระต่าย กระต่ายวิ่งไปเจอขี้ควายเข้ากองหนึ่ง คิดอุบายที่จะแกล้ง เสือ จึงหาดอกไม้มาปักรอบๆ กองขี้ควาย แล้วนั่งลงเอากิ่ง ไม้โบกไล่แมลงวัน ปากก็บ่นพึมพำว่า “ข้าวเหนียวเปียกพระอินทร์ ใครมากินพระอินทร์จะ แช่ง” เสือวิ่งตามพบ กระต่ายแกล้ง เป็นไม่เห็น มือปัดแมลงวัน ปากพึมพำว่า “ข้าวเหนียว เปียกพระอินทร์ ใครมากินพระอินทร์จะแช่ง” เสือเห็นกระต่าย ดังนั้นก็สงสัยจึงถามว่า “ทำ อะไรน่ะ” “ ก็คอยปัดแมลงวันไม่ให้มาตอมข้าวเหนียวเปียกของพระอินทร์นี่ไงล่ะ ” กระต่ายตอบ และชี้ให้ดูกองขี้ควายซึ่งมีดอกไม้คลุมอยู่เต็ม เสือมองดูดอกไม้ แล้วพูดว่า “น่ากินดีนี่ ขอ ลองกินสักคำเถอะ” กระต่ายตอบว่า “ไม่ได้ถ้ากินพระอินทร์ก็จะแช่งนะ ” เสือลังเล แต่ความอยากกินมีมากกว่า “ก็อย่าให้พระอินทร์รู้สิ ขอสักคำเดียวเท่านั้น” “ไม่ได้” กระต่าย ตอบเสียงแข็ง และแกล้งพึมพำว่า “ข้าวเหนียวเปียกพระอินทร์ ใครมากินพระอินทร์จะแช่ง” เสืออยากกินมากขึ้น “เถอะน่า ขอกินคำเดียวเท่านั้น เราเป็นเพื่อนกันนะ”

กระต่ายแกล้งทำ เป็นอิดเอื้อน ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ตามใจ กินก็กิน แต่ต้องให้ข้าวิ่งไปไกลๆ ก่อนนะ เดี๋ยวพระ อินทร์มาพบเข้าข้าก็จะแย่” กระต่ายพูด เสือพยักหน้าตกลง กระต่ายจึงวิ่งหนีไปสุดแรงของมัน เมื่อไปไกลพอที่เห็นว่าเสือจะตามมาไม่ทันง่ายๆ จึงตะโกนบอกว่า “กินเถอะขืนนั่งอยู่ที่นี่ พระอินทร์มาพบเข้า ว่าข้าปล่อยให้แกกินข้าวเหนียวเปียกของท่าน ข้าก็แย่ ” “ตกลง” เสือว่า เสือขย้ำกองดอกไม้เข้าเต็มที่ ขี้ควายเลอะเต็มหน้า ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เสือรู้สึกโกรธมาก “ไอ้กระต่ายหลอกลวง ข้าจะต้องจับมันกินเสียให้ได้” เสือนึก

จากนั้นจึงวิ่งไล่ตามกระต่ายไป โดยเร็ว ข้างฝ่ายกระต่ายวิ่งมาได้พักหนึ่งก็เห็นรังผึ้ง ก็เกิดความคิดที่จะแกล้งเสืออีก จึงหาไม้ ท่อนหนึ่งมาถือ พร้อมกับนั่งลงบ่นพึมพำ ว่า “เสียงฆ้องของพระอินทร์ ใครได้ยินจะเป็นสุขนัก” เสือไล่ตามมาทัน เห็นกระต่ายนั่งถือท่อนไม้ หลับตา และนั่งบ่นพึมพำ อยู่ก็สงสัยนัก จึงถามว่า “ทำอะไรน่ะ ” “ เฝ้าฆ้องพระอินทร์น่ะสิ ” กระต่ายตอบ “ฆ้องพระอินทร์ดียังไง” เสือสงสัย “อ๋อ ก็มีเสียเพราะที่สุดละ ใครได้ยินเข้า จะเป็นสุขมากทีเดียว” กระต่ายตอบ เสือได้ยินดังนั้น ก็เกิดอยากฟังเสียงฆ้องขึ้นมาทันที “ช่วยตีให้ฟังสักทีเถอะน่า” “ ไม่ได้ ๆ พระอินทร์ท่านสั่งไว้ ไม่ให้ใครตีฆ้องนี้เป็นอันขาด ข้าจึงต้องมาคอยเฝ้าอยู่ไงล่ะ ” “เถอะน่า ข้าตีเองก็ได้” กระต่ายแกล้งทำเป็นอิดเอื้อน ในที่สุดก็บอกว่า “ตามใจ แต่ต้องให้ข้าวิ่งไปให้ไกลเสียก่อนนะ ขืนนั่งอยู่ที่นี่ พระอินทร์มาพบเข้า ว่าข้าปล่อยให้แกตีฆ้องของท่าน ข้าก็แย่” “ตกลง วิ่งไป เร็วๆ เข้าสิ” “ต้องให้ข้าบอกว่า ตีเถอะ ก่อนนะ จึงค่อยตี” เสือพยักหน้า

กระต่ายรีบวิ่ง ออกไปโดยเร็วที่สุด เมื่อไปได้ไกลพอเห็นว่าเสือจะตามไม่ทันแล้ว กระต่ายก็ตะโกนบอกว่า “ตีเถอะ” เสือยกท่อนไม้ขึ้นฟาดตูมลงไปที่รังผึ้ง รังผึ้งแตกกระจาย ฝูงผึ้งกรูเข้าเล่นงานเสือ ต่อยหน้าตาเสือบวมหมด เสือรู้สึกโกรธยิ่งนัก “ไอ้กระต่ายหลอกลวง ข้าจะต้องจับมันกินเสีย ให้ได้” เสือนึก จากนั้นจึงวิ่งไล่ตามกระต่ายไปโดยเร็ว กระต่ายวิ่งไป วิ่งไป นึกในใจว่า ทีนี้เสือ คงจะเจ็บไม่น้อย สมน้ำหน้าอยากจับพวกกระต่ายกินเก่งนัก แต่เสือก็คงโกรธมากเหมือนกัน กระต่ายคิด เราจะต้องรีบหนีไปให้พ้น พอดีกระต่ายวิ่งมาถึงริมแม่น้ำ จะข้ามไปก็ไม่ได้ ขืนคอย อยู่ ประเดี๋ยวเสือก็จะตามมาทัน

กระต่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกอุบายขึ้นมาได้ จึงร้องตะโกนลงไป ที่แม่น้ำ ว่า “จระเข้ทั้งหลาย เร็วๆ เข้า พระอินทร์รับสั่งให้หา” จระเข้ได้ยินเข้าก็ตกใจกลัว พากันรีบลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ กระต่ายบอกว่า “ พระอินทร์ท่านสั่งให้เราไปธุระทางฝั่งโน้น ให้ พวกท่านเรียงแถวเข้าเป็นสะพานให้เราเดินข้ามไปเดี๋ยวนี้ ” จระเข้แก่ตัวหนึ่งรู้ว่าเป็นอุบายของ กระต่าย พอกระต่ายมาถึงตนก็แกล้งดำน้ำลงไปเสีย กระต่ายตกลงไปในน้ำ รู้สึกกลัวเป็นอัน มาก “จระเข้รู้ทันเราเสียแล้ว” มันคิด “เราไม่ควรหลอกเขาเลย” ตอนที่จระเข้แก่ดำน้ำลง ไปนั้น เป็นตอนใกล้ฝั่ง กระต่ายจึงตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งได้ แต่ก็สำลักน้ำอยู่หลายครั้ง พอขึ้นฝั่ง ได้ กระต่ายรีบวิ่งหนีไปไม่เหลียวหลัง เมื่อเสือมาถึงฝั่งแม่น้ำ กระต่ายก็วิ่งไปไกลเสียแล้ว

สรุปความของสำนวนหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ การที่ผู้น้อยที่ล้อเล่นกับผู้ที่มีกำลัง ผู้ที่มีอำนาจมากกว่า หรือการไปท้าทายกับผู้ที่มีอำนาจ บารมีมากกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกระต่ายแหย่เสือ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกระต่ายแหย่เสือ

  • สมชายโดนกระทืบเนื่องมาจาก การไปล้อเล่นกับมาเฟียท้องถิ่น เหมือนกระต่ายแหย่เสือ ดีนะแค่โดนกระทืบ ไม่โดนมากกว่านี้ สงสัยแค่จะสั่งสอนให้เข็ดหลาบ
  • เธอกำลังทำตัวท้าทายเป็นกระต่ายแหย่เสืออยู่นะ เขาเป็นผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนี้ อย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า
  • คนบางคนเล่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทำตัวเป็นกระต่ายแหย่เสือ สักวันคงจะเจอดีเข้าสักวัน เช่น นักการเมืองหน้าใหม่ ที่คิดว่าตัวเอง เก่ง เจ๋ง แน่
  • ก็เพราะเขาทำตัวเป็นกระต่ายแหย่เสือ ไปจีบลูกสาวนักการเมืองชื่อดัง สุดท้ายก็เลยโดนสั่งสอนแบบนี้นี่แหละ
  • เด็กสมัยนี้บางคนทำตัวเกเร ไม่มีความเกรงใจ หรือความเคารพผู้ใหญ่เลย ทำตัวเป็นกระต่ายแหย่เสือ พอเห็นผู้ใหญ่ไม่ทำอะไร ก็ได้ใจ ระวังสักวันจะเสียใจ ถ้าไปล้อเล่นผิดคน

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกระดูกร้องได้ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กระดูกร้องได้

ความหมายสุภาษิตคำพังเพยกระดูกร้องได้

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงเมื่อผู้ตายที่ถูกฆาตรกรรมแต่ยังจับคนร้ายมาลงโทษไม่ได้อยู่ระยะหนึ่งต่อมาฆาตรกรถูกจับได้ คล้ายกับว่ากระดูกของผู้ตายบอกร่องรอยเพื่อร้องขอความเป็นธรรม

สรุปความของสำนวนหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ การจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ หลังจากได้พบหลักฐานโดยบังเอิญ เหมือนเป็นผลสะท้อนจากการฆาตกรรม

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกระดูกร้องได้

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกระดูกร้องได้

  • กระดูกร้องได้!? การจับผู้ร้ายคดีลักทรัพย์ได้ แต่ผู้ร้ายคนนี้เผลอยอมรับสารภาพเรื่องเคยฆ่าคนมาก่อน
  • เรื่องนี้เหมือนกระดูกร้องได้เลยนะ คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่สร้างความหวาดกลัวให้ประชาชน แล้วยังเป็นปมปริศนามากว่า 15 ปี ไม่น่าเชื่อว่าจะจับฆาตกรได้
  • ตำรวจพบชิ้นส่วนเป็นนิ้วของศพในบ้านร้างแห่งหนึ่ง โดยในซอกเล็กมีเศษเนื้ออยู่ด้วย เมื่อตรวจดีเอ็นเอจึงพบว่าเป็นดีเอ็นเอของลุงผู้ตาย นี่แหละกระดูกร้องได้
  • สงสัยกระดูกร้องได้จริงๆ อยู่ๆชาวบ้านก็พบศพลอยน้ำมาติดอยู่ข้างสะพาน หลังจากตำรวจได้ลงไปพิสูจน์แล้ว พบว่าเป็นร่างของนักธุรกิจหนุ่มคนดังที่หายตัวไป เมื่ออาทิตย์ก่อน
  • บางครั้งสิ่งศักดิ์สิทธื์อาจมีอยู่จริงและให้ความเป็นธรรมกับคนตาย เฉกเช่นกระดูกร้องได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายที่คิดว่าลอยนวลไปได้ จับกลับมารับโทษที่ตนก่อได้ในที่สุด

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกระชังหน้าใหญ่ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กระชังหน้าใหญ่

ความหมายสุภาษิตคำพังเพยกระชังหน้าใหญ่

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงกระชังเครื่องมือนี้ทำด้วยไม้ไผ่ ใช้ดักจับปลา โดยหน้าใหญ่คือรับปลาได้มาก อุปมาเหมือนคนที่ชอบทำหน้าใหญ่ใจโตออกรับหน้าที่ทุกอย่างหมด หรือไม่ก็พูดจาจัดจ้าน

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ คนที่ชอบทำหน้าใหญ่ใจโต จัดจ้าน ออกหน้ารับทุกอย่าง

สำนวนมักใช้สื่อความหมายในทางที่ไม่ดี การออกหน้ารับเสียทุกอย่างย่อมเกิดผลเสีย มากกว่าผลดี

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกระชังหน้าใหญ่

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกระชังหน้าใหญ่

  • เวลาเพื่อนเดือดร้อน ออกตัวใหญ่เลยนะ แม่กระชังใหญ่ ปากจัดจ้านไม่เบา ระวังภัยจะมาถึงตัวล่ะ แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน
  • อยู่ดีๆ ก็หาเรื่องใส่ตัว ทำเป็นกระชังหน้าใหญ่ ไปออกหน้าว่าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย สุดท้ายก็ต้องมาขอให้ฉันช่วยอีก
  • สมชายเป็นคนชอบออกหน้าแทนในทุกเรื่องจริง โดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าสาวๆ มักชอบทำตัวเป็นกระชังหน้าใหญ่ จ่ายไม่ยั้งแบบนี้ กลัวจะหมดตัวจริงๆ
  • ไม่รู้ว่าเขาไปรวยมาจากไหน ตั้งแต่กลับมาจากกรุงเทพครั้งนี้ ก็ทำตัวเป็นกระชังหน้าใหญ่ ออกหน้าเลี้ยงเหล้าคนนู้นที คนนี้ที
  • จำไว้นะลูก อยู่ในสังคมปัจจุบันอย่าทำตัวเป็นกระชังหน้าใหญ่ เงินทองสมัยนี้หายาก แม้แต่คนรวยเขายังไม่ทำตัวแบบนี้กันเลย

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยกบเกิดใต้บัวบาน ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กบเกิดใต้บัวบาน

ความหมายสุภาษิตคำพังเพยกบเกิดใต้บัวบาน

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงกบ เมื่อเกิดในสภาพแวดล้อมที่ดีงามขนาดไหน ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์สถานที่แห่งนั้นได้ ไม่เห็นคุณค่าของสถานที่ที่กำเนิดมา

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ใกล้สิ่งที่ดีงาม แต่กลับไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น

คนที่เกิดหรือมีชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี มีชีวิตที่ดี แต่กลับไม่ซึมซับสิ่งดีๆ ใส่ตัว กลับกลายเป็นคนชั่ว เป็นคนไม่ดี คนโบราณเลยบอกกล่าวเป็นสำนวนนี้ และเป็นเรื่องที่น่าเสียดายโอกาส

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยกบเกิดใต้บัวบาน

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตกบเกิดใต้บัวบาน

  • ครอบครัวของ ดร. วินัย เป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีฐานะดี มีหน้ามีตาในสังคม โดยมีลูกชาย 3 คน ลูกชายคนโตและคนรองจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองไทย แต่ลูกชายคนเล็ก กลับทำตัวเหมือน กบเกิดใต้บัวบาน ไม่รักดี เป็นเด็กเกเร ไม่ได้ซึมซับสิ่งดีๆ ที่ครอบครัวมีให้แต่อย่างใด
  • เหมือนกบเกิดใต้บัวบานจริงๆ รู้หรือไม่ว่าสูตรอาหารชาววังโบราณที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่นนั้น ไมใช่ว่าใครก็จะทำได้ง่ายๆ แต่เธอที่อยู่ใกล้ชิดสิ่งเหล่านี้กลับไม่สนใจจะเรียนรู้
  • พ่อแม่เขาก็เป็นคนดีเป็นที่นับหน้าถือตา แต่ลูกกลับทำตัวเป็น กบเกิดใต้บัวบาน วันๆ เอาแต่เที่ยวเตร่
  • เจ้าแดงอาศัยอยู่ใกล้วัดได้รู้ได้เห็นวิธีปฏิบัติตนที่ดีงามของพระและคนที่มาทำบุญ แต่กลับไม่เอาเป็นแบบอย่าง กลับทำตัวเกกมะเหรกเกเรไปทั่ว
  • คนที่เกิดในครอบครัวที่ดี สังคมดี แต่กลายเป็นคนเกเร นิสัยไม่ดี สาเหตุหลัก ก็มาจาก การเลี้ยงแบบตามใจ และคนเหล่านี้ หากเป็นคนไม่ดี ก็มักจะสร้างความเดือดร้อน และความเสียหายมากกว่าคนอื่น โดยเฉพาะคนที่พ่อแม่ พี่น้อง มีอำนาจอิทธิพล นี่แหละกบเกิดใต้ตัวบานจริงๆ

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยสวมหน้ากากเข้าหากัน ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ส. สวมหน้ากากเข้าหากัน

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยสวมหน้ากากเข้าหากัน

ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงสังคมส่วนใหญ่ของมนุษย์ที่ภายนอกแสดงอีกอย่าง ภายในเป็นอีกอย่าง เช่น ภายนอกอาจดูยิ้มแย้ม จริงใจ แต่ภายในคิดไม่ดี ปลิ้นปล้อน เสมือนกันสวมหน้ากากเข้าหากันนั่นเอง หรือแสดงออกแบบหน้าซื่อใจคด

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ แสดงทีท่าหรือกิริยาอาการที่มิได้เกิดจากนิสัยใจจริง แสดงกิริยาท่าทีลวงให้เข้าใจผิด ไม่ได้เกิดจากความจริงใจ ไม่ใช่นิสัยที่แท้จริง

สำนวนนี้ไม่ใช้เตือนผู้คนเวลาจะทำความรู้จัก ทำงาน ทำธุรกิจ ฯลฯ ร่วมกับใคร บางทีอาจเป็นการสวมหน้ากากเข้าหากัน

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยสวมหน้ากากเข้าหากัน

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตสวมหน้ากากเข้าหากัน

  • ในโลกสมัยนี้ต่างคนต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น สังคมทุกวันนี้จึงต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน บางคนรู้ว่าไม่ชอบกัน แต่ก็ทำเหมือนชอบกัน เพื่อหน้าที่ เพื่อการงาน อะไรก็ตามแต่
  • ฉันไม่อยากจะมางานสังคม งานเลี้ยงพวกนี้เลยจริงๆ มีแต่คนสวมหน้ากากเข้าหากัน ไม่ได้มีความจริงใจให้กันเลย มาเจอกันเพื่อหวังผลประโยชน์กันทั้งนั้น ต่อหน้าก็ยิ้มให้กัน พูดจาหวานหู แต่ลับหลังก็นินทากันสนุกปาก
  • ในสังคมปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนทุกคนล้วนแล้วแต่สวมหน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น แต่ต่างคนก็ต่างมีเหตุผลหรือเจตนาที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าการสวมหน้ากากของคนในสังคมจะมีเจตนาที่ไม่ดีเพียงอย่างเดียว บางคนสวมหน้ากากเพียงเพื่อปกป้องตนเองหรือบางคนก็สวมไว้เพื่อปกป้องคนที่รัก ต่างคนก็ต่างเหตุผลกันออกไป
  • ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตด้านสุขภาพ ตั้งแต่ “ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5” ไปจนถึง “โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” หรือ โควิด-19 หน้ากากได้เข้ามามีบทบาท กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันมากขึ้น “สวมหน้ากากเข้าหากัน” สำหรับยุคนี้ อาจเป็นการป้องกันสุขภาพของตัวเอง ไม่ให้เชื้อโรคจากบุคคลอื่นที่เป็นพาหะเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว มากกว่าความหวาดระแวงในทางลับหลัง ที่เกิดจากต่างฝ่ายไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน
  • มารยาททางสังคม คุณไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง 100% แน่นอน หากอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีคนจับตามองกันและกัน หากคุณยังคาดหวังให้อีกฝ่ายปฏิบัติกับคุณแบบมีมารยาทดังนั้นแม้ว่าวันนี้มันน่ารำคาญแค่ไหน ก็จงมอบมารยาทที่ดีตอบแทนด้วยเช่นกัน ดังนั้นการทักทาย เดินเหิน การกินไปจนถึงการกล่าวลา ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยแบบแผนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางที่จะหลุดจากกฎนี้ได้… นอกเสียจากคุณต้องอยู่คนเดียว ดังนั้นแล้วการสวมหน้ากากเข้าหากันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็น

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพยศิษย์ก้นกุฏิ ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ศ. ศิษย์ก้นกุฏิ

ความหมายสำนวนสุภาษิตคำพังเพยศิษย์ก้นกุฏิ

ที่มาของสำนวน ในสมัยโบราณประชาชนคนสามัญมักฝากตัวไปเป็นศิษย์ในวัด หรือเรียนในวัดการเยอะ การที่ศิษย์คนใดคนหนึ่งได้อยู่ที่ก้นกุฏิ หมายความว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับอาจารย์ หลวงพ่อ ทำให้ถูกมองว่าเป็นศิษย์เอก, ศิษย์รัก เป็นที่ไว้ใจได้ของครูบาอาจารย์นั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ คนที่สนิทสนม ได้สั่งสอนมาอย่างใกล้ชิด จนเป็นที่เชื่อใจ ไว้วางใจได้

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพยศิษย์ก้นกุฏิ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตศิษย์ก้นกุฏิ

  • สิ้น ‘หลวงพ่อเฉลี่ย’ ลูกศิษย์ก้นกุฏิ ‘หลวงพ่อเจริญ’ เกจิดังเมืองสุพรรณ สิริรวมอายุได้ 76 ปี 55 พรรษา
  • เด็กคนนี้มีความสามารถจริงๆ เก่งเจริญรอยตามอาจารย์ สมกับคำล่ำรือที่เขาว่าเป็นศิษย์เอกก้นกุฏิของอาจารย์
  • เผยความในใจศิษย์ก้นกุฏิ “เมื่อ 31 ปีที่แล้ว ได้รู้จักวัดพระธรรมกาย…” ชีวิตที่ไม่อาจเล่าให้จบได้ เพราะนี่คือชีวิตสมณะนักสร้างบารมีในต่างแดน ที่ห่างไกลสิ่งที่คุ้นเคยทุก ๆ สิ่ง แต่ด้วยความรักในพระพุทธศาสนาที่เพิ่มขึ้นเต็มหัวใจ จากการเห็นต้นแบบอันงดงามจากหลวงพ่อธัมมชโย จึงเชื่อมั่นว่ายังมีคนรอพระพุทธศาสนาอยู่ในทุกแห่งทั่ว
  • ได้ข่าวว่าลูกศิษย์ก้นกุฏิของมือหนึ่งเปียโนระดับตำนาน จะแสดงเดี่ยวเปียโนในงานดนตรีนานาชาติ แบบนี้ต้องไปชมให้เป็นขวัญตา
  • ผมเป็นศิษย์ก้นกุฏิรุ่นท้ายๆ ของ “ท่านอาจารย์ใหญ่“(เจ้าของฉายา “ซาร์เศรษฐกิจ” ผู้ยิ่งใหญ่ทางการเมืองที่ล่วงลับ และเป็นชาวเมือง ได้เห็นวิถีการทำงานของคนการเมืองที่ชาวบ้านไว้วางใจเเละขอความช่วยเหลือท่านบุญชูเสมอมา

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube

สุภาษิตคำพังเพย ก ข ไม่กระดิกหู ความหมาย, รูป, ตัวอย่าง

สำนวนสุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. ก ข ไม่กระดิกหู

ความหมายสุภาษิตคำพังเพย ก ข ไม่กระดิกหู

ที่มาของสำนวน เป็นสำนวนโบราณใช้ในการเปรียบเปรยถึงคนที่ไม่รู้หนังสือ การได้ยินอักษร เช่น ก ข หรือคำต่างๆ ไม่กระดิกหู คือฟังแล้วไม่รู้เรื่องนั่นเอง

สรุปความหมายของสำนวน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คือ ผู้ที่เรียนหนังสือแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

รูปความหมายของสุภาษิตคำพังเพย ก ข ไม่กระดิกหู

ตัวอย่างการใช้สุภาษิต ก ข ไม่กระดิกหู

  • ผมนี่อยากจะเรียนภาษาอังกฤษจริงๆ แต่หัวไม่ไปเลย ฟัง A B ก็เหมือนก ข ไม่กระดิกหูเลย ไว้วันหนึ่งสมองโล่งๆ จะกลับมาตั้งใจเรียนภาษา เพราะสำคัญในสมัยนี้มาก
  • นี่ฉันเลือกผิดหรือเปล่าที่มาเรียนภาษาจีน เรียนมาตั้งหลายปี ก ข ไม่กระดิกหู เสียดายเงินค่าเรียนจริงๆ
  • สอนคนที่ไม่พร้อมจะเรียนรู้ก็เหมือนสอนให้ตายยังไงก็ไม่ได้ผล ฟัง ก ข ไม่กระดิกหู เสียเวลา เสียพลังงานคนสอนเปล่าๆ
  • ที่เขาต้องลำบากอยู่ทุกวันนี้เพราะไม่รู้หนังสือ ตอนเด็กๆ พ่อแม่ส่งให้เรียน แต่เขาเป็นคน กข ไม่กระดิกหู ก็เลยต้องออกมาทำงานรับจ้าง
  • จำไว้นะลูก เราต้องตั้งใจเรียนเพื่อจะได้มีการมีงานดีๆ ทำ ไม่เหมือนพ่อที่ไม่ตั้งใจเรียน ก ข ไม่กระดิกหู ชีวิตเลยลำบาก ถ้าอยากสบายต้องตั้งใจเรียน

สำนวนสุภาษิตอื่นๆ

Thai Proverb Youtube