“นกยูงกับนกกระเรียน” เป็นนิทานอีสปที่เตือนใจเราเกี่ยวกับความเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี และให้บทเรียนเกี่ยวกับความถ่อมตน ความมีน้ำใจ การเห็นคุณค่าของผู้อื่น
นิทานอีสปเรื่องนกยูงกับนกกระเรียน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกยูงผู้เย่อหยิ่งและสวยงามอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มันเป็นที่รู้จักจากขนนกที่สวยงามมีชีวิตชีวา และน่าหลงใหล ซึ่งมันแสดงให้ทุกคนที่ชื่นชมมันภูมิใจ อยู่มาวันหนึ่งนกกระเรียนที่เรียบง่าย เข้ามาหานกยูงที่สง่างาม
Once upon a time, a proud and beautiful peacock lived in a forest. He was known for his vibrant and mesmerizing feathers, which he would proudly display to anyone who admired him. One day, a simple and graceful crane approached the peacock.
นกกระเรียนประทับใจในรูปลักษณ์ที่สวยงามของนกยูง จึงแสดงความชื่นชม มันพูดว่า “โอ้ นกยูงผู้ยิ่งใหญ่ ขนของคุณช่างน่าทึ่งจริงๆ ฉันหวังว่าฉันจะมีขนนกที่สวยงามเช่นนี้” นกยูงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง มองลงไปที่นกกระเรียนและตอบว่า “ขนของข้าช่างน่าชมเสียจริง น่าเสียดายที่เจ้าไม่สง่างามเหมือนข้า”
The crane, impressed by the peacock’s stunning appearance, expressed him admiration. He said, “Oh, mighty peacock, your feathers are truly remarkable. I wish I had such splendid plumage.” The peacock, filled with arrogance, looked down upon the crane and replied, “Indeed, my feathers are a sight to behold. It’s a shame you are not as majestic as I am.”
นกกระเรียนรู้สึกเจ็บใจกับคำตอบของนกยูงแต่ก็ยังใจเย็นอยู่ มันกล่าวว่า “แม้ฉันอาจไม่มีขนนกหลากสีสันเหมือนคุณ แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณสำหรับคุณสมบัติพิเศษของตัวเอง ฉันสามารถบินได้สูงบนท้องฟ้าและเดินลุยน้ำอย่างสง่างามด้วยขายาวของฉัน เราต่างมีความงามและจุดแข็งของตัวเอง ”
The crane felt hurt by the peacock’s response but remained composed. He said, “While I may not have colorful feathers like you, I am grateful for my own unique qualities. I can fly high in the sky and gracefully wade through the water with my long legs. We each have our own beauty and strengths.”
เมื่อเวลาผ่านไป ความแห้งแล้งได้เข้ามาปกคลุมผืนป่า ทำให้พืชพันธุ์ที่เคยอุดมสมบูรณ์เหี่ยวเฉา นกยูงซึ่งมีขนยาวมากพยายามดิ้นรนหาอาหารและน้ำ นกกระเรียนที่มีจงอยปากเรียวยาวและขายาวสามารถหาอาหารเลี้ยงชีพได้ในบ่อน้ำตื้นและหนองน้ำ
As time went on, a drought hit the forest, causing the once lush and abundant vegetation to wither away. The peacock, with his grand feathers, struggled to find food and water. The crane, with he slender beak and long legs, was able to find sustenance in the shallow ponds and marshes.
เมื่อตระหนักถึงสถานการณ์ของมัน นกยูงจึงเข้าหานกกระเรียนอย่างนอบน้อม และขอความช่วยเหลือจากนกกระเรียน มันให้อาหารและน้ำแก่เขาอย่างสุภาพ นกยูงจึงได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับความอ่อนน้อมถ่อมตน และความสำคัญของการเห็นคุณค่าของผู้อื่น
Realizing his predicament, the peacock humbly approached the crane and asked for him help. He graciously offered him food and water, and the peacock learned a valuable lesson about humility and the importance of recognizing the worth in others.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ความงามที่แท้จริงไม่เพียงแต่อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุปนิสัยและความสามารถด้วย และสิ่งสำคัญคือต้องชื่นชมและเคารพคุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้อื่น”
และนิทานเรื่องนี้สอนบทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ
- ความเย่อหยิ่งและความจองหองทำให้เรามองไม่เห็นความงามและคุณค่าของผู้อื่น
- แต่ละคนมีคุณสมบัติและจุดแข็งเฉพาะตัวที่ควรค่าแก่การชื่นชม
- ความอ่อนน้อมถ่อมตนช่วยให้เราเรียนรู้จากผู้อื่นและขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
- ความงามภายนอกไม่ใช่ตัวชี้วัดคุณค่าหรือความสุขของคนๆ เดียว
“True beauty lies not only in appearance but also in one’s character and abilities, and it’s essential to appreciate and respect the unique qualities of others.”
The story teaches us several important lessons:
- Arrogance and pride can blind us to the beauty and worth of others.
- Each individual possesses unique qualities and strengths that should be appreciated.
- Humility allows us to learn from others and seek help when needed.
- External beauty is not the sole measure of one’s worth or happiness.
โดยสรุปแล้วนิทานเรื่องนี้เตือนใจเราให้ยอมรับความอ่อนน้อมถ่อมตน ชื่นชมคุณสมบัติที่หลากหลายในตัวเราและผู้อื่น และตระหนักว่าความงามที่แท้จริงนั้นนอกเหนือไปจากรูปลักษณ์ภายนอก สอนให้เราเห็นคุณค่าของคุณสมบัติภายในและปลูกฝังความรู้สึกชื่นชมและเคารพในคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละคน